วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

คิมาน1.ลอร์ดลิเทล

       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น

          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา

      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น

       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"

      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว

          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล

       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด

        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร

       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน

        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล

      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน
ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงครามได้เกิดขึ้นแต่นั้น
มา















       

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"(4820)

     ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"
(4820)




"เมคะนอสารถาพเรื่องสตรีเพศ"
         เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
         ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศวายๆเอกซ์ๆน่ะหลังประสบการณ์ตัวนี้
        เพราะจุดนี้เองที่มันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุก
       ผมเมคะนอเคยอกหัก2ครั้ง
ในชีวิต
      "  เนฟฟังจบแล้วเฉยพร้อมแสดงอาการตกกระใจนิดๆให้เขาเห็น"
เมคะนอกล่าวต่อ
"ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาเมื่อตะกี้ และด้วยรนี้ละ่กระมังผมจึงอยากออมาจากเมืองโหราอินเพื่อพเนจรมาขอลี้ภัยที่นี้ด้วยอันเป็นสาเหตุบวกของผม
"ทันทีที่เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม

     เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่คุยอะไร?
เนฟรู้จักแต่ยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอเป็น"ผู้ชายคนนี้มแปลก"

      แต่ไม่สำหรับพระจ้าพระองค์ท่านมิใช่คนเมืองจิ "เมคะนอเชื่อ"
     เมคะนอเชื่อว่าพระเจ้าคง
ไม่อาย้ดตัดตอนสื่อสารอะไรเราที่เป็นมนุษย์เพราะเหตุผลอันดีงามของพระองค์ และกระนั้นการกระทำของพระองค์ที่ไม่มีใครเห็นได้เลยคือ"ลับมีแต่ลมจะเห็นได้ก็แต่แรงโน้มถ่วงของความลับ""
และการกระทำของพระองค์จะมีอุบัติการณ์ปรากฏออกมา
    นอกจากท่านเทพอสูรตนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ทำลายมนุษย์
     ที่หลายคนเชื่อว่าท่านชั่วร้ายและอาจจะทำด้วยมิติแห่งความพลั้งเผลอ
จากลูกน้องทีาเป็ยเสมือนหนึ่งเป็น"ยมพบาล"ตามวรรณคดีที่ครีเอท(create) ขึ้นมาน่าเชื่อถือและเป็นที่เป็นทุจริตชน
    
   ก็ ถ้าภาษาเราไม่ดีพอมันอาจจะทำให้เข้าใจผิดกันได้
เคยพูดมาแล้วเนฟจะใช้เข็มมีด้ายเย็บปากเอาไว้
ด้วยภาษาที่ตนเองพูดไม่เป็น
พูดไปสองไพเบี้ยและเสียเวลาที่หายไปเพื่อข้อมูลวิจัย ไม่พูดเสียเป็นตำลึงทอง และไมรทำให่ซูกิเหนื่อยอีกด้วย ที่สำคัญซูจิก็เป็นล่ามพูดเป็นภาษาเจอร์ซี่  (jer c y= ภาษาปรวนๆ)ค็อกนี่(c o c k n e y=ภาษาต่ำๆมิใช่ทางการ) อีกด้วยเพราะ
เมคะนอเป็นต่างด้าว

        แต่เนฟฟังสื่อและอาการรู้ ด้วยสัญชาตญาณชน  อฃะภาษาใบ้และอากัปกิริยาอาการและการกินกระท่อมการดูดกัญชานั่นเขาที่เมืองจินี้เขาทำงัยกัน !
      แต่บางส่วนบางส่วนเนฟได้อัดเทปมาให้ซูจิอ่านฟังสำนวนแปลให้อีกครั้งแล้วเนฟจึงมาเรียบเรียงรายงานปรับเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ


          


         ที่นี่เป็นหมูบ้านกัญชาและกระท่อม เนฟขอให้มันแต่ชื่อหมู่บ้านนี้คือ"คะธาและมายตาย" 2หมู่บ้านชื่อติดกันเพราะมันอยู่ติดกันเพียงคลองเป็นเส้นแบ่งเท่านั้นมีบ้านนับได้
บ้านส่วนหนึ่งเป็นกระจุกส่วนหนึ่งแยกห่างกัน เดิมมีคนรักกันมีหนึ่งคู่
รักกันมากคือวันสมรสพอเสร็จพิธีก็ลงไปลอยคอดื่มน้ำปึ้งพระจันที่คลอง"เกชาน"หน้าบ้านนั่นเอง
แก้ผ้าเปลือยทั้งคู่เป็นประเพณี
ในหมู่บ้านนี้ถ้าลงอาบน้ำในคลองนี้ต้องแก้ผ้าหมด  เพราะถือว่าเป็นการชำระมลทินเป็นความเชื่อน้อยๆว่าคลองเกชานนี้เป็นคลองศักดิ์สิทธิ์ดุจดั่งแม่น้ำคงคาของอินเดียทีเดียว
       แต่วันนั้นทั้งคู่ได้เสียชีวิตและเธอคือ"คะธา"และ"มายตาย"นั่นเอง
เพราะถูกงูเห่าน้ำกัดปกติที่คลองนี้
ไม่มีงูเห่าน้ำ จะมีเพียงปลาปู่และปลาตะเพียนสีทองที่คนหม๊บ้านนี้ไม่กินเพร่ะถถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเทพเจ้าคอยรักษาคลองนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปีนับได้7ชั่วคนได้ "ซูจิเป็นคนเล่าและยืนยัน"
 บังเอิญวันที่คะธาและมายตายนนั้นตายลงเพราะพิษงูเห่าน้ำกัดตาย
เป็นงูที่ มีคนไม่รู้จักนำมาปล่อยไว้
ในช่วงน้ำหบากเพราะคิดว่าเป็นลูกปลาบู่
        ที่รู้ว่าทั่งคู่รักถูกงูเห่ากัดตาย
เพราะทั้งคะธาและมายตายและงูกอดรัดกันแน่นอยู่ ตาคลินีมาหาเม็ดทรายไปปักธูปเพื่ทำพลีกรรมบางอย่างได้เดิมาที่ท่าน้ำ"เกชาน" นั่นตอนบเช้าหลังงานแต่งงานเสร็จเมื่อวานของคะธาและมายตาบพอดี
พบศพที่ริมคลองททั้งงูและคะําและมายตายตายศพททั้งสองนอนทับงูอยู่

ต่อมาทางหมู่บ้านจึงคั่งชื่อหมู่บ้านนี้
ว่าหมู่บ้านคะธาและมายตาย
นั่นเองทางสภาเมืองจิรับรองเรื่องนี้
จากอดีตหมู่บ้านนี้ไม่มีชื่อมีแต่ต้นกระท่อมตามริมคลอง และกัญชาตามป่สละเมาะแดดรำไรเรียกได้ว่าเป็นทุ่วเลยทีเดียวส่วนตามไกลเขา
"นับนาน" ใกล้คลองเกชานมีทุ่งฝิ่น
ที่นี่จึงเป็นสวนสมุนไพรตัวสำคัญของเมืองจิในอดีต แต่ต่อมาเมื่อบางเมืองประกาศวมุนไพรชนิดนี้เป็นยาเสพติดให้โทษประเ
ภทหนึ่ง ทุงกัญชาป่ากระท่อม ทุ่งฝิ่น
จึงค่อยๆหมดไปแต่กบับกระจายมาอยู่ตามถนนและตามบ้านใรเมืองจิทั่วไปและคนเมืองคะธาและมายตายถือว่ากัญขากระท่อมฝิ่นนี้เป็นยาของเทพเจ้าพระองค์ที่ประทานให้มนุษย์
เพราะทรงเห็นว่ามนุษย์ที่คะธาและมายตายนั้นลำบากและเป็นคนมีมโนธรรมกว่าสัตว์เดรัจฉาน
       ประวัติโดยย่อของหมู่บ้านทั้งสองนี้มีดังนี้แล


แต่เมคะนอ มาทำชีวิตลี้ภัยแบบ
ลูนาติกไซเลม(lunatic asylem)ที่บ้านคะธานี้มิใช่เพราะเหตุาถรรพณ์ใดๆหรือมีสมุนไะรต้องห้ามในเใทองโหราอินขึ้นอยู่ก็หาไ
ม่
เเต่เขามาอยู่ที่นี้ได้โดยบังเอิญด้วยเงินซื้อสัญชาติของเขาและตอนที่
เมคะนอมาอยู่ที่นี้ทุ่งยาเสพติดทุกอย่างมันไม่มีสภาพเป็นทุ่งไปแล้ว
แต่เป็นสภาพวัขพืชขึ้นทั่วไปหมด
ตามถนนหนทางและหมู่บ้านและในเมือง แทนวัขพืชชนิดอื่นเช่ยหญ้าแพรกหญ้าเกรยและหญ้าปากควาย
เพราะมันจะโดนเหยียบแล้วเหยียบอีกเพื่อคนเข้ามาเด็ดใบกระท่อมมากินและมาเด็ดดอกกัญชาแห้งไปสูบอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
      คนที่นี่ถือว่ากัญชากระท่อมและฝิ่นเป็นอาหารชนิดหนึ่ง และกฎหมายเมืองจิกำหนดให้เสรี ยกเว้นยาบ้ายาม้าที่สกัดจากสารเคมีผสมสูตรถ้าตำรวจพบที่ใครมีโทษหนักมาก
      คือจะเนรเทศไปอยู่เกาะร้างที่มีงู
มีพิษชุมและตายที่นนั่นทุกคน โทษนี้เทียบเท่าโทษประหารชีวิตนั่นเอง
ทางเมืองจิจะประกาศเป็นเสรีทุกอย่าง แต่เคยคือไม่ผ่านสภาเลยสักครั้ง มีการต่อสู้กันมานมนานแล้ว ขณะที่เนฟเดินทางมาถึงเมืองจินี้กฎหมายทุกอย่างยังเหมือนเดิมเว้นกัญชากระท่อมฝิ่นและกาแฟชาที่เสรีสุดขีด
เคยพบว่าคนเสนอสถาให้ยาบ่ายาม้าเป็นสิ่งเสพติดเสรีด้วยแต่ถูกจับเรฝนรเทผสปล่ิยเดาะเพราะพบมีสิางผิดๆเหล่สนี้ไว้ใรครอยครองขณะไแหาเสียงเสนอกฎหมายนี้
ที่สภาและตายที่เกาะร้างดังกล่าว

        อนึ่งเกาะร้างนี้เป็นเกาะเล็กๆ
ที่ทางเมืองจิกำกนดให้นักโทษเด็ดขาดและหนักขั้นประหารชีวิตเท่า
นั้นอยู่ได้คนละหนึ่งเกาะเท่านั้น และตามแต่ละเกาะมีทะเลรอบเกา
ะมีปลาฉลามเสือชุกชุมและไม่มีเรือเดินน้อยใหญ่แล่นผ่านเพราะมีหินโสโครกจำนวนมาก มีประภาคารปรากฏอยู่










ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3


Attention :เหตุผลมิใช่"สีเทา"ที่นำมาผนวกลงที่นี่เพราะการนำเรื่องขึ้นแท่นมีปัญหาเทคนิคแต่ที่บล็อกไม่
มีปัญหาเพื่อประโยชน์ผู้ติดตาม
งานนี้มีประมาณ1320ท่านได้พบทางเลือก "ขอขอบคุณและขอประทานอภัยในความไม่สะดวกด้วยในทุกรณีที่เป็นจริง"

ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
    
         แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อาหรับเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"
เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพูดพร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก หตุผลเพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก พ่อของเธอไม่ชอบ "จบ"
ที่ชอบกันตอนไปตีผึ้งที่คุ้งนางแมว
เอามุ้งไปให้เธอนั่งในแล้วมองดู
ส่วนตนเองใบหรี่มวนเดียว
ได้น้ำผึ้ง5ขวดขายได้ซื้อกะโปรงให้เธอ1ตัวหลังจากนั้นเราก็รักกัน
และแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันที่คุ้งนางแมวนั้นแต่ไม่มีหรือทำอะไรหรือแตะต้องตัวกัน
"เธออมยิ้ม"
แต่แฟนชื่อว่า"สิรา"ฟญิงคนนี้และเธอคนนี้ที่เใตะนอจ้องจดจำ หล่อนเป็นชาวเมืองหลวงของเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเมคะนอเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"กองวาหรือหน้าผาคองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ
   "   เมคะนอ"มิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทยที่จะชอบผู้ชายที่ใจยังว่าง
          และเนฟไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือขะเรียกวาาลูกค้าเป็นโปรสเปกตัส=prospectus ของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น
    เมคะนอ  เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้นรถไฟที่ชานชาลาเปลี่ยวๆชิ่อว่า"เมคาตอฟ"ชื่อทางการ เหตุเกิดที่ ณ.สถานีรถไฟ เมคาตอฟในเช้าตรู่วันหนึ่ง
        เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบกระท่อมที่ห้อมส่ถุงพลาสติกไว้กันแห้งและพกพา
       และเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดๆแทนมื้อข้าวเช้าที่สถานีรถไฟ ส่วน ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครองใบละ100โหรอิน
(สกุลเงินเมืองโหราอิน)
       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพาใส่ขวดนำพาไปไหนได้
แบบคนแก่พกขวดยาลม
      แต่แบบผงมิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินเนฟพบว่าสิ่งที่เม
คะนอเล่าแปลกมาก เขาไมพูดเรื่องว่าแก้เบาหวาน แต่แก้หิวแก้เหนื่อยมากกว่า
      ที่โหราอินพอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎหมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินก็ไม่ต่อต้าน

       ถ้าหากว่าประชาชนในเมืองนี้ผิดหวังในการปกครอง เพราะเอาเวลาไปทำมาหากินกันส่วนใหญ่
แต่ว่าใรความเงียบเขาสาปแช่งแทน
เพราะเดขาถือว่าคำสาปเป็รแรงเช่นเดียวกับ"หลุมดำและแรงความโน้มถ่วง
       
       บางกรณีมีการลอบสังหา
รนักกกาเมืองตัวการทีาคบชู้กับเทียหัวคะแนน การลอบดักสังหารตัวนัก
การเมืองนี้มีอยู่ แต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจที่นั่น"ไวเท่ามือถือเป็น"  ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข้มงวด ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อมทิ้งให้หมดทุกบ้านที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่วประเทศ
ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
       คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้งคนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งทุก10ปี
อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีกระทรวงใบยาสูบ
      
    เนฟพบว่า   หลังเขาหืดเข้าปอด
เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย เหมือนเดินอยู่บนสวรรค์
พอเขาหืดเข้าปอดเสร็จเขาก็ไอและจามมันนิดๆ นั่นแสดงว่ากฃไกชีวิต
สุขภาพของเขาบางครั้งมันไม่ตอบรับควันกัญชามันนั่นเอง
     
     ทีนี้เมคะนอ จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาชนิดดูดลมในกระปุกน้
ำที่มุไฟจุดเลนแล้วใช้หืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบงิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี
คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
"เนฟกล่าวต่อ"
        ผมชอบควันเพราะควันมันเหมือนตอนเข้าโบสถ์
ที่มรโบสถ์มีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีเทพเจ้าครับที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
      เมคะนอพูดต่อว่า"เขาไม่ชอบผู้
หญิง"" มิใช่หมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ดูดกัญชามีประปราย

สสสสสสวส


        ชนิดฝนพรำโจรจะออกหากินยังกะอึ่งปากขวดตื่นขึ้นมาในเวลาฝนตกห่าใหญ่ บนทุ่งนาที่ร้อนจัดมาแรมเดือนและขาดฝนมาหลายเดือน" ร้องระงม" จากความคิดนี้ควสมโง่ของอึ่งเท่ากับความฉลาดของโจร
ความบริสุทธิ์ของอึ่งอาชีพดินไม่เดือดร้อนใครแต่ถูกทารุณกรรมโดนจับกินเพราะความโง่ของตน ที่ดัน
ร้องให้คนมีรสนิยมกินอึ่งและครับฉมวกแทงกบหรืออึ่งไวขงจะรู้ดี เหมือนโจรใจบาปที่มองตัวเองไม่เป็นท้ายสุดคุกและตารางคือแดนสุดท้ายคือสิ่งเชิงลบนี้มาเป็นอมตธรรมของตนเองนั้นเเล
      เช่นการขโมยของเพื่อนมนุษย์มันบั่นทอนจิตใจเพื่อนให้อีกฝ่ายที่โง่และอ่อนแอและอ่อนแอ และคน ที้ปกครองง่าย และยอมทำตามอิทธิพลมืดตลอดก็ยังโดยโจรฉกดดั่งงูพิษกัดคนไม่เว้นจะเป็นคนดีคนชั่วนั่น โจรทำงี้มันไม่ดีเลย"เมคะนอคิด"" แต่เนฟนั่งฟังความในใจของเขา
      และอย่างที่สำคัญ สุดยอดมากเอาตัวรอดด้วยการทำโตรกรรมที่นจับไม่ได้ชนิดมีดแทงบาด
     แต่พบไมมีบาดแผลว่าใครเป็นคนทำ
   

          ประเด็นนี้ต่อมาพวกที่สมญาตนเองว่าเป็นพวกชนอนาคีย์ปลอมๆนี้เเม้"เมคะนอ"พบว่า"สิ่งนี้"เป็นเหตุร้ายที่ทำให้เกิดสงครามทางมหาชนจลาจลขึ้นอันเป็นชนวนก่อเหตุปั่นป่วนต่อรัฐ ถ้ารัฐใดอ่อนแอก็จะล้ม ถ้ามีจลาจลเกิดขึ้น
           เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด
ว่ามีการใช้อำนาจสีเทาต่อกันจนกลา
ย เป็นดลายเป็นการเดินขบวนและเกิดกบฎรัฐประหารอันรุนแรงของบางรัฐ
      จากชนวนเหตุที่เกิดเชิงสีเทาแบบนี้ในจุดปฐมฐานมาก่อน
      ที่เมืองจินี่จึงมีกฎหมายขี้นมาว่า
การลักขโมยมิใช่การเอาของคนอื่นซึ่งหน้าและจับได้เท่านั้น
        แต่การลักขโมยอาจจะเกิดจากองค์ประกอบอื่นๆที่เป็นการขโมยแบบ"สีเทา" หรือฟอกเงิน" คือมีเจตนาทำ
        แต่ผลคนที่ถูกลักขโมยก็ถูกขโมยของไปหมดอย่างน่าเกลียด
ที่มีฟิเวอร์(fever)คนดีถูกทำที่มีองค์ประกอบในปริบทแบบชิลๆ
คือปริทรรศน์ของวิธีที่การที่คนถูกขโมยสิ่งของ ทั้งที่จับได้แต่คลายไม่ออกและก็ถูกโจษจันว่าเป็นขโมย
       
         และทั้งจริงไม่จริงใกล้เความจริงเช่นกัน จนบางครั้งตำรวจนำไปทำจับเท็จกับเครื่องๆยังเหนียมอายจะจับเท็จก็ยังไม่อยากจะพูดด้วยเลย กัลคนขี้ขโมยททั้งหลายที่แสดงบทเป็นผู้ชำนาญการขโมยในโลกเชิงลบ
แล้วยังมีขโมยชนิด"อนาคิชต์"=(อนาธิปัต์ เป็นปรัชญา อย่าตีความตามตัวอักษรเกินไปแล้วจะเข้าใจดีว่าพวกเขาคืออะไร)เนฟเคยเรียนปรัชญาปรูดอนท่านผู้นี้ ตอนเรียนหน่วยกิตทางรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบลนดิสกี
ก็มีพวกมั่วนิ่มโมเมใช้ ปรัชญาอนาธิปัตย์เพืนอประโยชน์ส่วนตนที่เขายืมแม่บทปรัชญาอนาคิชต์มาใช้บังหน้าลักสิ่งของไป"เนฟเข้าใจอย่างนั้น"
       ซึ่งเป็นขโมยแบบการเมือง คือคนมีปรัชญาขโมยแบบนี้"เขาถือว่าทรัพบ์สิน เป็นของทุกคน"และลัทธิ อนาธิปไตยตามแนวคิดลัทธิแนวคิดนี้ของ"pr u d o n g" -Pierre-Joseph Proudhon- (1840)  =Ana r c h i s t  นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส
"จนนิสัยขี้ลักมั่วนิ่ม"ไม่รู้ว่าขโมยจริงหรือขโมยการเมือง ชีวิตสับสน
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
     แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อดีตกษัตริย์โบราณ"อาหรับ"

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่5"เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"

 ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(6000)

      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา

อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ

มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก

    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม

    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ

เนฟไม่สนใจถามจุดนี้

อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง

ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?

           เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
"ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี"

       วันอาทิตย์ ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้

และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ

และค่าปรับที่ตรวจคน
     ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(8978)




      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสงสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา
อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ
มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก
    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม
    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ
เนฟไม่สนใจถามจุดนี้
อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง
ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?
 เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ปานมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี วันอาทิตย์
ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้
และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ
และค่าปรับที่ตรวจคนเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"

เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพู
ดที่ทางดูเหมือนคนจะ"เมากัญช
า"พร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง 
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า 
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก
เพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก
แต่แฟนคนนี้เป็นชาวเมืองหลวงเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย 
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"คองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ

      เมคะนอมิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทย
และไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือลูกค้าของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น

      เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่
สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้น
รถไฟ ในเช้าตรู่วันหนึ่ง
เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบดระท่อมและเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดที่สถานีรถไฟ ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครอง

       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพา
      แต่มิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินแปลกมาก
พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎกมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินไม่ต่อต้าน
หากผิดหวังในการปกครอง แต่เขาสาปแช่งแทน บางกนณีมีการลอบสังหารตัวการแต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจไวเท่ามือถือเป็น

ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข็มงวด
    ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อม
มทิ้งหมดที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่ว
ประเทศ




ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
      คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้ง คนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งกันทุก10ปีที่เมืองโหรนาอิน
"เนฟขัดจังหวะนิดนึง"
     แล้วเมือง"เหราอิค"ล่ะ"เนฟถาม"
อ๋อ!
มันเป็นพี่เมืองน้องกัน มีแระวัติศาสตร์อันยาวนานก่อนสมัยถังของจีนเสียอีก "ถ้าจะขุด""
     "ไช่" แต่ว่ามันไม่ถูีกกันมี
สงครามตลอดเวลา มันเหมือนหมากับแมวฟัดกัน "ผมไม่อยากจะพูดถึงเมืองนี้
       เพราะน้องชายผมคนหนึ่งตายที่นั่นตอนคนที่นั่นเขาเดินขบวน การ"เดินขบวนเป็นประเพณีที่นั่น"
         น้องผมโดนลูกหลงคือโดนกระสุนฝ่ายปฏิวัติปราบปรามตาย. เพราะน้องมีนิสัย"ไทมุง"นั่นเอง"เมคะนอพูดที่สุด"
         อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงที่ประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีในกระทรวงใบยาสูบ และลูกพี่ลูกน้องของท่านผู้นี้เคยค้ากัญชาเถื่อนจนรวยเลยสละเงินทำบบุญแบบเล่นการเมือง 
ต่อมาชนะเลือกตั้งแต่ทว่าถูกหัวบฎลอบสังหารตายคาที่ด้วยปืนลูกดรด"เหตุผลสาเหตุการตายขิงท่านไม่ชัด" ว่าทำไมเป็นอย่างงั้น

    ถ้าเขารอดเขาจะได้เป็นถึงรองนายกแห่งเมือง"เหราอิค"=(Heraik)ทีเดียว












      เนฟพบว่า   หลังเขาหืดควันกัญชาเข้าปอด เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย แทนการมวนดูด คือเอาแต่ควันและรสกลิ่นกัญชามันส์ๆนั่นเอง เขาพูดออกมาด้วยเสียงกึ่งหัวเราะว่า"มันเป็นยาครับท่าน"



     ทีนี้"เมคะนอ" จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาบ้าง เพืาอให้การสนทนามีราชาติ ชนิดดูดเอาแต่ลมและควันกัญชาในกระปุก "กัญชาหลอดฟันแก้ว""
     ทำทีเล่นควันไฟจุดเล่นแล้ว สูบควันใช้ปอดหืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบวิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี โดยเฉพาะหลังเก็บองุ่นในไร่องุ่นของเมืองจิ

คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!   "if you like to try s ir""เมคะนอเสนอ""
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา ตาสีฟ้าผมสีทองปากแดดแจ้ดเหมือนตูดกัง
"อ๋อ!ไม่ๆครับ"
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
แต่"เนฟกล่าวต่อ"
ผมชอบควันมันเพราะควันมันเหมือนตอนหอมกลิ่นธูปกัญชาตอนเข้าโบสถ์
       ที่มีในโบสถ์จะที่จะมีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีกรรมเทพเจ้าครับ!ที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
  
      เมคะนอพูดต่อว่า"ตัวเขาเองไม่ชอบผู้หญิง"" มิใช่สันดานแต่มีปมครับและเมคะนอเพ้อต่อไปว่า
อันนี้รวมถึงหมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ผู้หญิงชอบดูดกัญชานะจะมีประปราย

    คือมีเรื่องหนึ่ง  เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
      ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศทั้งแบบเอกซ์และแบบวายๆน่ะ!
        เพราะกลิ้ยผู้หญิงมันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุกเมื่อติดและหลงรักผู้หญิง

       ผม"เมคะนอ" ผู้พบาดพลั้งผมเคยอกหัก2ครั้งครับในชีวิต
       ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาบ้างเมื่อตะกี้
     "ทันทีที่ฉากสนทนาฉากนี้เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม เพราะเนฟเคยมี
ปมความรักที่ซ้อนเร้นอยู่ในใจเช่นกัน
 

    " เมคะนอ"เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่รู้จะคุยอะไร นอกจากปริบทที่สันติบาลสัญญาเมือวจิทำสัญญามาว่าห้ามเวอร์คุย" (ที่เมืองจิเขามีอะไรที่ไนอย่างไร กะใครคอนเทนจ์อะไรดรามาอะไร แม้เข้ากินกาแฟที่ร้านโรงเตี้ยมกาแฟเขาต้อง
เซ็นชื่อสัญญาก่อนจึงจะกินกสแฟที่ร้านได้ สรุปไม่ว่าอะไร 
เขาจะทำเป็นหนังสือสัญญาหมด)

       เนฟรู้จักดีแต่อมยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอคนนี้ว่า"ผู้ชายคนนี้แปลก"เท่าที่เข้ามาที่จิเพื่อการวิจัย

     จากจุดสนทนาจุดนี้
ทำให้เนฟคิดว่าอยากจะเปลี่ยนหัว
ข้อวิจัยจากเรื่องกัญ
ชาเป็น"เรื่องแนวสังคมวิกฤต"
เพราะเนฟสนใจอ่าน"เเอมิล-เดอไคม์(Emile Derkeim)นักปรัชญาสังคมชาวฝรั่งเศ สตอนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาชั้นสูงที่มหาวิทยาลัยเบล็นดิสกี

และเนฟพบว่าตนเอง
คิดว่าปรัชญาที่เป็นแม่แบบของศาสตร์ทั้งปวงตามแผนคลาสสิคกรีซเก่า
      แต่มาพบว่าสีงคมต่างหากเป็นแบบแผนใหม่แทนที่ระบบคลาสสิค
ที่ตนเองเห็นจะเป็น
      ก็!สังคมมนุษย์เกิดจากคนสองคนคุยกันสรรพสิ่งจึงเกิดม นี่คือการเริ่มต้นของปัญญา
"การตบมือแบบมือข้างเดียวตบไม่ดังถ้าตบสองข้างตบดังฉันใด"
ฉันนั้นแนวคิดของเนฟจึงได้กระนั้น
      แต่ต้องยื่นเรื่องขอเปลี่ยนหัวข้อที่ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะผ่านการอนุมัติหรือไม่อนุมัตินี้ได้ในภาวะเศรษฐกิจสังคมและการเมืองเฉกเช่นปัจจุบันนี้เมื่อจะทำอะไรสักอย่าง










วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ตอนที่31คำสัตย์จริงนั้นแลที่อมตะเนฟพบ คัดย่อเรื่องเบล็นด์จากเด็กดี.คอมโดยมารต์ตรินิอิ.


(ตอนนี้สับสน)9528
ตอนที่31คำสัตย์จริงนั้นแลที่อมตะเนฟพบ
เนฟเชื่อว่า:=

     แม้ในดงโจรก็มีสัจจะๆมันทำให้เกิดองค์กรที่แข็งแกร่ง เช่น ผัวเมียรักกันต้องมีสัจจะต่อกันมิฉะนั้นความรักจะเกิดขึ้นไม้ได้เลย "เนฟเชื่อ"แม้ตนเองไม่ชอบพวกโจร
     และแล้วเนฟจึงเชื่ออีกต่อไปว่าสัจจะนั้นแลอมตะและสรรพสิ่งที่เป็นสัจนิยมก็คือสัจจะด้วย
    ที่มาของเรื่องราวตอนนี้
ที่ไม่กล้าจะจบลง
     หากมันไม่มีสัจะต่อตนเอง
ในช่วงที่เนฟคิดมากไป เพื่อให้ความรักของเอวเมียรักและตนเอง
ได้ราบรื่นเพราะเนฟตั้งสัจจะที่ศาลพระภูมิที่บ้านเบลนดิสกีและศาลเพียงตาที่ข้างถนน"มิเก"ว่า"
    หลังมีเธอเป็นเมียแล้วจะทำสัจจะหลายอย่างขอสววนว่ามีอะไรบ้างเพราะอายที่จะพูดออกมา
ขอเก็บเป็นความลับ"
     ที่ที่ตนได้ตั้งปณิาณเอาไว้ให้เป็นจริง แต่ไม่ได้บอกให้กับเอวรู้เรื่องนี้เลย
     สัจจนิยมอมตะจึงเกิดขึ้นมนหลายมิติต่อมาที่เนฟจะชงมันต่อๆไปเพื่อให้ตนเองได้ชิลชิลกับชั่วงเวลาที่หงอยเหงาและเดียวดาย
     แต่บางครั้งอารมณ์มันไหลมันโลดทะนงไปเหมือนแรงที่มอวไม่เห็นเช่นดั่งแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำทีเดียวของนักวิทย์ทีเดียว

    มิติของสัจจะริยมที่เนฟประสบมานั่นมีรายการดังต่อไปนี้
     
       เนฟพบคำว่า"ยามชิงหมิงฝนพรำ....ที่ข้างฝาไม้สักเรือนบ้านเมืองจิ เอ่ยถึงกวียุคถังเขียนไว้แต่ถูกแปลเป็นภาษาจิ
เพียง1บทนี้ทำให้เนฟนำมาทำเป็นกระทู้ตั้งในการคิดตีวามให้ยาวเพื่อคว้านหาสัจธรรมของกวีบทนี้ตามตัวอักษร

      เนฟถือว่ากวีบทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์
มันเกินไปที้จะคิดแบบนี้
แต่มันเป็นเราของความเป็นเรา
เนฟจึงอนุสนธิว่าจะร่ายอธิบายความในใจของตนเอง โดยไม่กลัวคำวิจารณ์
ใดๆหรือแม้เอวเมียรักอาจท้วงติง
จึงแก้กระทู้นี้ต่อไปเพื่อค้นหาคุณค่าทางสัจธรรมนิยมใหม่ความว่า
       ณ โอกาสบัดนี้ เนฟจะได้กล่าวความตามกระทู้สัจธรรมลำนำกวีภาษิตที่ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นว่า"ยามชิงหมิงฝนพรำ พอเป็นนิเขปบทนี้ เพื่อการมองมโนธรรมจากคุณค่าต่อใจของเนฟขณะเดินทางรอนแรมหนีเมียมาเมืองจินี้ต่อไป
      แต่เนฟจบด้วยบทสรุปว่า
จะคิดอีกถ้ามันคิดได้ว่ามีอะไรมากกว่า"ฝนพรำ" ในโลกนี้ฝนพรำมันคือความสงบมันเป็นคุณค่าของ.    
     ธรรมชาติที่ทำให้ใจคนมีความคิด
อยากพักอยากนอนอยากกิน เหล้าอยากสูบกัญชา อยากเสพกาม
ทำอะไหลายๆอย่างที่เนฟเคยนึกแต่ไม่ออกตอนที่ฝนยังไม่พรำที่"ชิงหมิง"
     
         บัดนี้เมื่อฝนพรำแล้ว เนฟคิดได้คิดและคิดออก และตีความลำนำกวีบทนี้เพื่อความหมายอีนเจิดจ้าและแท้จริงที่กวีบทนี้ซ่อนเร้นหรือที่จะสื่ออย่างแท้จริง นอกจากตามตัวอักขระและตัวอักษรที่สื่อความหมายตามที่อ้างไว้ ณ เบื้องต้น

     " ใจคนเริ่มรวนเร พอคนพบฝนพรำ" เมืองกวีถังท่านนี้ร่าย 
      ขณะฝนพรำใจคนเริ่มรวนเรคิดไขว่คว้าเพื่อหาที่พักหรือ"เพิงพัก"เพื่อหลบฝนหนัก
      จิตคิดว่า โรงเหล้าที่ขายแบบร้านขายเหล้าที่นิยามว่า"โรงเตี้ยม" คงเหมาะยิ่งจะจะแวะเข้าไปหาเพิงพักและดื่มเหล้าสักเป็กนึงเพื่อกันหนาว ที่จะตามมา และเพื่อย้อมใจตนเองให้หายและอบได้ไออุ่นจากใจและเหล้าที่กระดกเข้าลำคอไป เพื่อทดเทิดตนเองที่เพลียอย่างระเหี่ยมา
        ให้มันได้พักมัน เมื่อยามฝนพรำนี้ 

คำถามต่อไป:



        และไม่รู้ว่ามันอยู่หนใด "โรงเตี้ยมนั่น"
       ใจและตาเหลือบไปเห็น เด็กเลี้ยงวัว(เนฟนิยามว่าวัวและควายในจินตนาการนี้เป็นสิ่งเดียวกัน)
       "จึงถามเด็กผูเดียงสา ว่า
"ไปทางไหนโรงเตี้ยม"
' น้อง'
        เราไม่รู้จึงถาม
น้องคนเลี้ยววัวเห็นแล้วนึกสงสาร
คนถาม
    'เจ้าเด็กนั่น'
เขาพลันจึงตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ได้หวังอามิสสินจ้างอะไร
เป็นค่าชี้ช่องทางไปที่โรงเตี่ยมใดๆ แด่ชายผู้นิรนามนั่นว่า
ว่า "มันไปทางโน้น"
      จากไม่รู้ว่าไปยังงัยในมืดมิดมนสมอง
      เพราะเด็กเลี้ยงวัวบอกเท่านั้น
สิ่งที่ตนจะเดินทางเข้าไปจิบเหล้า
ที่โรงเตี้ยมนั่น
      จึงสำเร็จตามมาถ้าไม่ได้เธอบอก "ฉันคงไมได้รู้สิ่งนี้"
      ที่เนฟคาดว่าตอนนี้ที่บ้าน"คิชาน"
ที่เมืองจิในบรรยากาศเดียวกัน
กับที่"ชิงหมิง"ฝนพรำ
มันเคยเป็นเมื่อเวลานับได้จนวันนี้
1,170 ปี ผ่านพ้นไป
      จนวันนี้มันพันกว่าปีมาแล้วน่ะ!
วันนี้ที่"คิชาน"ที่เนฟมาทำวิจัยที่"เมืองจิ"นี้
    เมืองชิงหมิงและเมืองซินหวามันอยู่ในเมืองจีนเมืองในจินตยคติของจินตกวียุคราชวงศ์ถัง
    แต่เมือง"คิชาน"นี้มันเป็นหมู่บ้านลับๆล่อๆตั้งอยู่ในเมืองจิ เมืองในอุดมคติของเนฟ
     

      ตอนฝนพรำแบบนี้
เนฟไม่คิดหาเหล้าหรอกดอกน่ะ!    
   "  ความจริง"
      
      แต่เนฟอยากมองหากัญชามาสูบมาดูด หรือมองคนทำ
เพื่อทดสอบว่ารสชาติแหางการได่ดูดหรือการได้เห็นคนอื่นทำนั้น
    มันเป็นเช่นไรในช่วงฝนพรำที่คิชานแบบนี้
    หรือใบกระท่อมสดๆสักใบมาเคี้ยว
เพื่อให้จิตของตนเองมันจรรโลงไป
กับสายฝนพรำแล้ว จึงมีแรงขยับเดินได้และขยันเดินต่อไป
เพื่อกลับไปที่โรงพักฟื้นที่ตนเองเช่าไว้ตอนเข้ามาในหมู่บ้านลับ"คิชาน"แห่งนี้กับซูกิ
     เพื่อทำวิจัยฝิ่นกัญชากระท่อมพืชต้องห้ามของโลกยาเสพติดให้โทษในอดีต ที่เพิ่งจะผ่านเลยไป
     กัญชามีชนิดอัดแท่งชนิดอย่างผงอย่างน้ำชนิดอย่างอัดแท่งสำหรับมวนสูบเป็นสีทอง และชนิดอัดใส่ซองมวนแบบบุหรี่สูบ หลายคนนิยมมัน
แต่อีกหลายคนเลิกเพราะตำรวจจับ
     เนฟพบว่ากัญชาและกระท่อมทำให้เบาหวานที่ตนเองเป็นหายไป
     ส่วนฝิ่นนั้นเนฟยังไม่ทราบ เพราะยังไม่สะดวกถ้าจะหาความจริงก็ดูในเทกซ์ต่างประเทศเขียนเอาไว้มาก
ฝิ่นเยเป็นชนวนเหตุมีสงครามคือสงครามฝิ่นเช่นสงครามฝิ่นในจีนในอดีตแต่กัญชาและกระท่อมมีแต่สงครามระหว่างคนเสพกับตำรวจเท่าที่เนฟพบในเขตประเทศที่หวงห้ามเด็ดขาดโทษจากการประหารชีวิตถึงการริบกระท่อมและกัญชาและเผาทิ้งถอนทิ้งเป็นต้น
      แต่ในบางประเทศฟรีเสรีสุดขีด
จึงเกิดลัทธิการเมืองเรื่องกัญชาและกระท่อมและฝิ่นขึ้นมา เป็นระดับอิสซิว(Issue) ขึ้นไป มีพืชเสพติดเหล่งนี้เป็นมูลฐานจนมีหน่วยสากลดูแล
ป้องกันติดตามทำลายล้าง สอดแนมและจับกุมร่วมกันตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ

     กระท่อมมีอย่างชนิดผงที่ตำ
และอย่างน้ำต้มกระท่อมและกระท่อมชนิดสดทั้งชนิดหางกั้งและที่ไม้กั้งและชนิดที่นักชีวะต้นไม้สายพันธุ์ประดิษฐพืชจีโนม(G M O  )ประดิษฐ์พบไหม่ๆอีกต่อๆมา
      ส่วนฝิ่นเนฟของดกล่าวถึง เพราะ
มีภัยกับข้อมูลและตำรวจ แม้ที่เมืองจินี่จะเสรีหมดตอนนี้


     แต่เนฟก็พบว่า
อนิจจา!
สามสิ่งที่กล่าวมา
"มันไม่มีที่โรงเตี้ยมที่-คิชาน-แห่งนี้""
แต่สิ่งที่กลับมีคือ
"เหล้า"เท่านั้น
     เท่านั้นที่มีและเตาผิงมือ
และไออุ่นไว้บริการคนที่ซมซานเร่หรือไม่เร่ร่อนเข้ามา และมันเปิดโต้รุ่ง
ชนิด24ชั่วโมงปีละ365วัน
มีกาแฟทำเองบริการที่"คาเฟคิชานและโรงเตี้ยม"
มีหมอนวดไว้เสิร์ฟและโสเภณีเร่ร่อนอาจมีแต่ปกปิดและไม่เปิดเผยเพราะโรคหยองในระบาดและรักษาหาย
ที่เมืองจินี้คนจึงไม่นิยมเที่ยวและใช้บริการ
       ถุงยางอนามัยที่เมืองจิหาซื้อยาก
เพราะเมืองจิเป็นเมืองปิด การส่งออกและสั่งสินค้าเข้าถูกควบคุม
โรงงานอุตสาหกรรมเมืองจิไม่ส่งเสริมนโยบายเมืองจิคือ"ทำเท่าที่มีเป็นเท่าที่ได้"
ทั้งนี้ท่านบอกว่ากันเป็นหนี้สินนานาชาติและถูกยึดเมืองเป็นเมืองขึ้น

   ใช่!   และเนื้อย่างรมควันรสโปรตีน
ย่างไฟจากถ่านรมควันสดกรุ่นๆ โขมงๆอ่อนๆ กรุ่นจมูกดีเมื่อโชยมาสัมผัสจมูก แถมยังหัวมันสำปะหลังปิ้งและกล้วยจี่ไว้บริการอยู่ที่หน้าร้านอีกด้วย รวมทั้งงหอยย่าง กุ้งมังกรย่าง ปลาซาบะย่างอีกด้วย ปลาเมคคารอลอินทรีย์ทองย่างและมีลูกเกาลัคคั่วและแคชชิวนัท(มะม่วงหิมพานต์ผลสีแเดง)เมล็ดแห้งคั่วสด และลูกเกาลัก ตลอดถึงกาแฟขี้ชะมด และอื่นๆอีกมากมายล้วนเอกโซติก(exotic) และแปลกแต่ไปรเวท(private  )
        เคยมีนายทุนสากลจะมาลงทุนสร้างสนามบินและการนำทัวร์มาเที่ยวและทำโรงแรมห้าดาว
ให้เมืองจินี้
และเปิดเป็นตลาดระหว่างประเทศสากลให้ ชนิดไม่ต้องกู้ยืม
แต่เมืองจิไม่รับข้อเสนอนี้ เพราะกลัวจะมีมลทิลพิษชนิดใหม่เกิดขึ้นและแก้ยาก

    
      ที่คิชานโรงเตี้ยมและคาเฟ
มีไว้เสนอให้บริการกับคนเร่ร่อนสัญจรมา

      เนฟไม่ด่วนปฏิเสธหรือด่วนรับ
ทันที่เห็นเห็นตามที่ซูกิพามาแม้ปากชองตนจะหิว

       แต่พลันควักเงินที่มีติดตัวมาจ่ายไปตามธรรมเนียมเมื่ออยากได้อะไร
ส่วนซูกิห้ามดื่มเหล้าขณะทำหน้าที่มัคคุเทศก์กับแขก
       เพราะที่"คิชาน"แห่งนี้เงินเท่านั้นเป็นเพื่อนและเงินเท่านั้นที่พูดได้อย่างสมศักศรีที่เป็นมนุษย์
       พูดคุยกันได้อะไรก็ได้ลงตัวหมดด้วยเงินทำกันอย่างสมภูมิธรรมที่นี่ที่"คิชาน""
      ที่คิชานคนที่ไม่มีเงินซื้อเหล้าและเนื้อแพะแกะกระต่าย เนื้อวัวและปลาทะเลและหอยย่างกิน คนที่คิชานเขาถือว่าคนๆนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดหนึ่ง "ซูกิยืนยัน"

      ก็สิ่งที่มิได้คาดคิดก็เกิดขึ้นและตามมา นั่น!มิใช่เหล้าวิสกีรสแรงหรอก!
     แต่ตอนนี้ ที่แก้เหงาและความหนาวได้และเป็นรสใหม่ของสังคมแห่งเมือง"คิชาน"คือ สิ่งที่เนฟตาโพลงทันทีเมื่อเห็น

    และนั่น! มันคือกัญชาและกระท่อมดูเหมือนว่ามีดอกฝิ่นมาด้วย
    และในจำนวนนั้นทั้งหมด เขานำมามิใช่เพื่อขายแต่เขาพาเข้ามาโรงเตี้ยมเพียงติดเข้ามาเพื่อพักแรมกินเหล้าแก้หนาวและกันลืมก่อนออกจากโรงเตี้ยมไป เท่านั้นหรอกจึงแบกทั้งหมดมาด้วย เพื่อพากลับบ้าน
ไปเลี้งแพะแกะและตนเอง
         
         และที่นี่คิชานไม่มีขโมยสำหรับใคร ไ ม่มีอาญากรรมใดๆเกิดขึ้นเพราะสาเหตุจากสามสิ่ง(กัญชากระท่อม ฝิ่น)นี้เพราะ มันที่นี่หาง่ายและเสรีเต็มพิกัด

    สำหรับ   เหล้า และกาแฟดำร้อนต่างหากที่เขาเขาเข้ามาที่โรงเตี้ยมนี้ตอนนี้ แฃะเหล้าและกาแฟดำนี้ยังมีอาญาข้ามชาติเสมอเพราะการลักลอบ นำกาแฟและเหล้าเถื่อนรสดีเข้ามาเมืองจินั่นเอง

      ตอนนี้แม้ว่ามันจะดึกมากแล้ว

      (คำว่าเมืองในนิยายนี้สื่ออะไรก็ได้ที่เป็นที่พักอาศัยของคนมิจำเป็นจะต้องเป็นเมืองตามพิกัดภูมิศาสตร์เสมอไปแต่อย่างใด)


      ทุกอย่างมันไม่ฟรีในโลกนี้โดยทั่วไป
      มันจึงต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนและสิ่งตอบแทน
       เนฟถือว่าทุกสิ่งนนโลกนี้ไม่ฟรีถ้ามันไม่มีสิ่งต่างตอบแทน
มันคือ"อคุณธรรม คือไม่มีคุณธรรม"
ครครอบครองมันมันคือของ
ของโจรได้มาจากการปล้นจากผู้บริสุทธิ์
        คุณธรรมชองกำไรคุณธรรมของการขาดทุน! เนฟฟบว่าไม่มีใครกล่าวไว้


      ต่อๆมา!
มันโผล่มากับคนหนวดเคราแเดง
     เขาแบกมันมาหลังเลิกงานนับจ้างเก็ยไวน์องุ่นสีแดงจากไร่ แต่พอดีฝนพรำ
      เขาจึงแวะเข้ามาโรงเตี้ยมนี้ด้วย
เนฟสำรวมไม่ถามและสนใจว่ามันคืออะไร
     ชายผู้นี้  เขาชื่อ"นิเช"ผู้มากับสามสิ่งและสายลม คือคำแปลจากชื่อ
ของเขาว่า"นิเช"

      ที่เนฟใฝ่ฝนหามาตอยเช้ามาในบ้านคิชานนี้
ใสแต่มองไม่เห็นอะไรที่นี่ในสิ่งตนต้องการจะเห็น

แต่ตอนนี้เห็นมันแล้ว
เนฟพอใจมาก
ว่าวันนี้การวิจัยของเราไปตามเป้า
คือได้เห็นสิ่งตรง"ปก"ว่าปกของพืขกัญชากระท่อมฝิ่นนั่นวัฎจักรของมันนั้นอย่างไร
แต่ที่เนฟทำสิ่งนี้มิใช่อยากเสพสามสิ่งนี้ไปในตัวเป็นสันดานก็หาไม่
อย่างบทปรัชญาที่ว่า
" ฝนมันตกหรอกถนนมันจึงเปียก"

เนฟเชื่อว่านี่คือ"นิโช"แห่งเมือง"คิชาน"เท่านั้นที่เป็นหรอก หลายคนคงทำอย่างนี้ คือพอเหนื่อยมาก็หาเหล้าย้อมใจเป็นทางออกให้ชีวิตและความเหนื่อยเพราะนี่คือชีวิตของเขา
เหมือนๆเราดุจเราเป็นเช่น
ร่อนเร่รอนแรมมา และถามหาจากเด็กเลี้ยงวัวว่าโรงเตี้ยมอยู่หนใด... จากกวียุคถังเขียนไว้ซึ่งเป็นข้อความธรรมดาของคนธรรมดาๆ
แต่ำเขียนมีค่ามากต่อจิตใบของคนรุ่นหลัง

นั่นเองแม้1,000 กว่าปีผ่านไป
และเนฟอ่านรำลึกถึวความในใจได้
พลันจบลงด้วยบทกวีว่า" ชี้ปลายทาง หมู่บ้านชิงฮวา "(กวีราขวังศ์ถังค.ศ(803-852)

           ในเรื่อง "เบลนดิสกี" เนพพูด
ความจริงสำหรับเนพคือสัจจะ
เนพรักเอวและขอมีเธอคนเดียวในโลกนี้เว้นเธอตายลง เนพคหาใหม่
ถ้าผีของเอวเนพถามใจเธอดูแล้วไม่ขัดข้อง ก็จะแต่งงานใหม่อีกคนหนึ่งถ้าพบว่า"เธอนั่นช่างลงตัว"

       เพราะการมีหญิงเทียเป็นศรีเรือนผู้ชายนั้นจำเป็น สำหรับเนพ เมียคือคู่คิดคู่ผวาคือมีชีวิตรอดอยู่มาด้วยกันและก็ต้องไปด้วยกัน
ความสุขของมนุษย์จึงจะเกิด
สำหรับกามารามณ์อาจมีวัน
เบื่อหน่ายขึ้นได้เมื่อถึงจุดหนึ่ง แต่ความรักมันไม่มีเบื่อและมันก็ไม่มีเก่า

        ความรักนั้นใหม่เสมอ นี่คือปรัช
ญาของเนพในเรื่มไม่มาที่เมืเมืองดิโบจิ ลมมาแทนหนาวสะท้านตื่นขึ้นมาตอนเช้าหายใจออกเป็นหมอกควัน
นั่นคืออานุภาพของความหนาว
แต่ในเขตหมู่บ้านที่เนพเล็ดลอดเข้าไปเป็นแจกไม่ได้รับเชิญของเ
ขา
          พบว่ายังมีฝนบ้างเพราะที่เนพเข้าไปเป็นเขตเงาฝน บรรยากาศนจึงมืดๆ ขวนนอนกอดหมอนยิ่งนัก
คำสัตย์จริงนั้นไม่ตาย
เนพรำพึงถึงคำเพราะๆคำนี้
และรักษามันเคารพมัน
    
         ในชีวิตนี้แม้เบื้องต้นจนวันไปนอนที่หลุมศพเนพจะรักษาคำพูด
เพราะมันเป็นสัญาญาประชาคมทางใจ "แม่และครูของเนพสอนมา
ว่าคำสัตย์นั้นเป็นคุณธรรม
แม้บางครั้งเหล้าอารมณ์และเหล้า
        
          และบุหรี่แบะเงินและสายลมมันจะทำให้สัจจะและคำสัตย์ละลายได้เหมือนความควบแน่นของน้ำแข็งที่ถูกความร้อนแผดเผา แต่เนพมิใช่น้ำแข็ง "น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน"

       แต่ใจเนพไม่เคยกร่อนแม้มีซาตานมาทำให้จิตใจของตนเองแปร
เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเนพจึงดชื่อว่าคำสัตย์เป็นสิ่งที่ไม่ตาย และเป็นอมตะด้วยประการฉะนี้
นกเค้าแมวหลายตัวจับเกาะที่กิ่งไม้
หว้าในหม๊บ้านกัญชา

        มันเห็นเนพชำเลืองดูมัน ทันทีที่มันสบตากันแล้วมันก็รีบบินไป
      เพราะสำหรับมันชอบจะคุยและชำเลืองตาก็กับหนู
และลูกไก่เท่านั้น กับคนมันไม่ชอบคุยด้วย เพราะคนมีปืนใช้ปืนเป็น และส่วนใหญ่คนจะยิงปืนแม่น

        พบว่าเหยี่ยวนกเขามันจะส่งเสียงร้องเมื่อมันมาเที่ยวในตอนกลางวัน
ในป่าใหญ่ที่ทัหมู่บ้านหลังคาใบไหม้แห้งที่ดิโบจินี้แต่นกเค้าแมว
มันไม่ค่อยส่งเสียงร้องให้ใครได้ยินเหมือนเหยี่ยวนกเขา

        นก"พิทึดพิทือ " เสียงมันร้องเปล่งออกมาเหมือนชื่อมันๆจะมาตอนกลางคืน
      มันจะร้อง"พิ-ทึด-พิ-ทือ"
ฟังเสียงมันแล้วเราจะพองขน โดยเฉพาะในคืนมืดเดือนที่มีคำ่คืน
มีเดือนหงายและเมฆดำทมึนวนเวียนผ่าน เป็นระยะๆและตอนน้ำค้างตกเผาะยามรุ่งเช้ามืด

        มีนกฮูกตาโตนั้นกับนพิทึดพืทือ
ชื่อสองชื่อนี้นี้จะเป็นนกชนิดเดียวกันหรือไม่ เนพไม่คยถามใคร
แต่พิทึดตัวใหญ่สีมืดๆน้ำตาล
นกเค้าตัวเล็ก นกฮูกตัวใหญ่และตาโต ที่เนฟเห็นทุกชนิดจมูกเล็กงอนเข้าหาตัวหมด
        ใครแม้ตนเองจะสงสัย"
แต่มันเป็นนกในสกุลเดียว ที่เชื่อว่าหลายๆอย่างยังรอการแยกแยะที่ถูกที่สุดจากนักวิทย์ผู้พลังนะเออ!
           นิสัยของมันคล้าย ๆ กัน ขนาดต่างกัน เสียงร้องของมันแปลกแตกต่างกันไป
พอสังเกตได้
ทุกหมู่บ้านทที่เนพไปที่เมืองดิโบจินี้เนพจะค้างคืน ส่วนซูกิจะกลับไปนอนบ้านกับเมียของตนเอง ซูกิ
สารภาพว่า"เมียของตนเองทุกคนกลัวผี ถ้าขาดตน(ซูกิ)ไป"

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ตอนที่17คนตายนิรนาม2

ตอนที่17คนตายนิรนาม2ตอนที่34 คนตายนิรนาม
อาจซ้ำ(7158)
         จากวิถีชีวิตบ้านลับที่เมืองดิโบจิ
เป็นมิติพิศวงที่เนพมาพบสิ่งนี้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด คิดว่ามันเป็นเพียงนิยายที่เขาแตางให้สนุกอ่านเท่านั้นและ แต่มิได้อยู่ในหัวข้อวิจัย
ไม่เข้าไปไกลและติดตามในร
ายละเอียด
        ที่นี่มือถือใช้ฟรี เนตใช้ฟรีคลื่นฟรีสัญญาณหรืออะไรฟรีหมด
เสรี ไม่มีปิดเข้าถึงไม่มีอะไรเลย
พวกมิจฉาชีพหมดภารกิจมาหลอกคนที่นี่เมืองจินี้ได้
      มันฟรีแต่ไม่มีคนใช้มันสักคน และจนทุกคนไม้รู้ว่ามือถือและเนตคืออะไร?และมีประโยชน์อย่างไรและทำอะไรได้บ้างเนฟงงไปหมด เขาปกครองบริหารทำกันอย่างงี้ได้งัย

     วันๆหนึ่งเขาพอใจกับธรรมชาติของลำธารห้วยละหานและนกกา
     ในที่มีสายน้ำใส่มีปลาว่ายน้ำเล่นอย่างพอใจ  "เนฟพลันเหลือบสายตาไปมอง"
     มองเห็นตัวปลาแหวกว่ายปทุมมาอยู่ไหวๆเหมือนเห็นแม่นางขาอ่อ
น สีขาวเนื้อผัดแป้งฝุ่นดูอุ่นตาและทำให้จิตนี้คิดได้ชุ่มฉ่ำละไม
เกมือนกวีนิพนธ์ของถังท่านหนึ่ง
เขียนว่าด้วยอารมณ์จินตกวีอันเลิศเลอว่าเป็นนัยะว่า:- 
เมื่อ"ชินหวา"ยามมีฝนตกพรำ 
ดั่งใจรวนเรที่เร่ร่อนไป...
จึ่งถามเด็กเลี้ยงควายว่า
โรงเตี้ยมแห่งเมืองนี้อยู่หนใด
พลันรู้แจ้งว่า
นั่นงัย มันไม่ไกลตรงโพ้น"(ถอดความเข้าใจาของเนฟ)
     แม้บัดนี้เนฟยังไม่เข้าใจเลยว่าท่านสื่อเพื่อให้เห็นความหมาบว่าอะไรคือเพราพลำพัง "ฝนตกปรอยๆคนมีจิตหงอยเหงาอยากกินเหล้า พบเด็กเลี้ยงควาย จึงบอกว่านั่นคือทางตรงไปโรงเตี้ยม"เพียงข้อความเท่านี้มันธรรมดา มันเป็นกวีนิพนธ์ของยุคราชสำนักถังได้อย่างไร" เนฟอ่านอยู่หลายวันหลายครั้งหลายหนก็พบความหมายตามตัวอักษร แต่เพราะ
อ่านหลายครั้ง"เนื่องนี้"จากการจีความว่าในลำนำกวีนิพนธ์บทนี้ ต้องมี
ปรัชญาวิเศษแบแฝงอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ดั่งเห็นลูกตาลอ่อนหล่น เนฟเห็นแล้วอยากกินจาวตาลและน้ำในจาวตาลนั้น เห็นซูกิบอกว่า"มันหวานอร่อยลื่นคอหอมชื่นน่ากินและดมมันยิ่งนัก" เนฟจึงพลันเก็บมันมา แฃะพยายามจะเจาะกินจะเจาะก็แสนยาก ใช้มีดเฉาะก็กลัวมีดบาดมือเลือดออกหรือเฉาะสับโดนมือขาด
จะไหว้วานคนอื่นทำ ก็ไม่พอส่วนแบ่ง
ค่าแรงเฉาะลูกตาลให้ตามที่เราวาน
เพราะดนฟเชื่อว่าทุกอย่างในโลกนี้มีค่าแรง การใช้เขาฟรีเป็นบาป ฉะนั้น"
     ทันทีที่อุปนัยลำนำกวีนิพนธ์นี้ได้
แล้วเนฟจึง หาเศษนิพนธ์ที่เหลือ
ของถัวมาอ่านอีก แต่ยากนักจะหาเจอที่เบลนดิสกีเพราะคนที่เบลนดิสกกีและที่เมืองจิไม่ชอบคนจีน ทุกคนที่นั่นจึงไม่สะสมงานนิพนธ์ของจีน แต่เมื่อเนฟอ่านพบกวีบทนี้ขิง"ถัง" เนฟเแลี่ยนใจทันทีว่า"คนจีนนั่นต้องมีดีมีอะไรอีกต้องสนใจและแอบรักติดใจเขาขึ้นมาทันทีไม่คำนึงลัทธิธการเมืองชาติเผ่าพันธุกรรมที่ทุกคนที่นี่ปักใจว่า"จีนนั่นช่างน่าเกลียดน่ากลัว เหมือนคนที่เคยเหยียดผิว
ระหว่างผิวดำผิวขาวหรือระหว่างชาติอารยันของแนวคิดทางการเมืองของนาซีกับชาวยิวผู้ถูกหาว่าเป็นอนารยันชนนั่นสดุดหยุดอยู่ทันทีในใจของเนฟ ต่อความคิดว่าจีนน่าเกลียดน่สกลัวกลับกลายมาเป็นมิตรรักเพราะจินตกวีสองสามประโยคนี้ตอนฝนตกพรำที่"ชินหวา" เท่านั้น
เนฟจึงเปล่งอุทานว่า
โอ้หนอ!
    กวีนิพนธ์นี่หนอมันคือสะพา
นสันติภาพและมิตรภาพและมวลมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง คือมันไม่มีแดนแห่งความล้าหลังอีกต่อไปให้
คนรุ่นใหม่เหล่านี้มา"ไฝ่คิดกันอีกเลย" ชาติวรรณะยศศักดิ์ฐานะและศริงคารเป็นของนอกกาย
ไฉนเล่าพวกเราตาบอดหมดมองว่า
มันคือ"รั้วเหล็กหนามคมกั้นมิให้เรารู้อะไรอีกที่ดีและดีกว่าและ'เอนจอย'(enjoys )กว่าไปได้"
จิตของเนฟตอนนี้ทเหมือนเบอร์ลินเลิกมีคำว่า"เบอร์ลินตะวันออกเบอร์ลินจงตะวันตกขึ้นมาพลันทันที"
"โธ่เอ๋ยสันติภาพเนฟคิดว่ามันหาได้ยากเย็น"
ที่จริงสันตติภาพหาพบได้เพียงทกวีนิพนธ์ประโยคเดียวแท้ๆสันติภาพมิได้หาได้จาก"อำนาจ-หรือความชิงชัง-หรือจากสงครามหรือด้วยร
ระเบิดไฮโดรเจนนิวเคลียร์ที่เขย่าขวัญเท่านั้น"
 ถ้าเช่นนั้น เนฟคิดว่าตนเอง
จงเขียนบทกวีเถอะ
แต่อนืจจาเนฟชอบกวีนิพนธ์มาก
ชอบกวีนิพนธ์ยิ่งกว่าชีวิตแม้ก่อนวินาทีสุดท้ายได้อ่านกวีนิพนธ์สักบทที่ดีมีความมันไพเราะกินใจจนสามารถทำให้
ขึ้นสวรรค์ในทันที ที่จิตของตนเองดับลง แต่ว่าเนฟเขียนกวีไม่เป็นและคิดกวีไม่เป็นเนฟชอบแต่เสียงเพลงเพราะเนฟเชื่อว่าเสียงเพลงมันสามารถกล่อมเกลาจิตใจตนเอง และมอมเมาสังคมที่เบลนดิสกีและเมืองจินี้ให้หลับสนิทลงได้
        ขอให้ตนเองได้พบและอ่านบทกวีเป็นนิจ!
      เนฟอยากเห็นกวีนิพนธ์ผ่านหูประสาทและได้ยินนกร้องเพลง
อยากเห็นผีเสื้อบินว่อนไปม
าอยู่ต่อหน้าต่อตา
ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้บุพชาติอันสง่างาม

      "ใช่!เนฟเริ่มคิดและเข้าใจสรรพสิ่งได้ดีขึ้น หลังการมาเที่ยวเยือนเมืองจินี้" จึงอุทานว่ส"โลกนี้จริงๆหนอหมดพรมแดน หมดผิวหมดเผ่าพันธุ์
หมดสงคราม หมดลัทธิการเมือง
ด้วยกวีนิพนธ์เพียงบทเดียว
       เนฟย้ำเตือนกับซูกิว่า:ตนเองเขียนกวีนิพนธ์ไม่เป็น และไม่หัดเพราะเนฟเชื่อว่า'กวีมันต้องมีพรสวรรค์
มันจึงทำได้'
     มันต้องเกิดเป็น"ไม้อ้อ"มันจึงจะเป็นปากกาชุบหมึกจารู้กลงบนพระราชลัญจกรประทับเขียนของ
แท่นประทับหมึกที่พระราขอาสน์ของกษัตริย์ฟาโหร์ของชาวไอยคุปต์แห่งอียิปต์ที่พระองค์ทรงทำได้
ขณะลงลายเซ็นต์พระคำสั่งเพื่อ
 ประกาศเป็นรัฐโองการประศาสนรัฐโชบายใดๆได้


    ในตู้กระจกของโรงงานอาบอบนวดเพื่อสุภาพ อันปดปิดมิดชิด
ชนิด เมื่อใครเกิดเห็นจะตาถลน และตอนใครติดมากกว่าได้เห็นอนามัยของมนุษย์ที่ไม่กลัดมันทำกันแบบถูกๆวัฒนธรรมหทัยประจำในทุกวันนี้
ได้อย่างวิเศษยากนักที่ใครจะปฏิเสธ
เพราะมนุษย์มีความเป็นคนขึ้เมื่อยเป็นธรรมชาติทั่งหญิงชายอย่างเนขนบธรรมมดาอันเอกอุนั่นเอง

     อาหารทุกอย่างมีผักผลไม้เพียบเกินความต้องการ "ที่นี่"เมืองลับแห่งจื
     ดอก"ทิตทู"กินอร่อยมากมันมีโปรตีนและคาโบไฮเดรตแต่เนพไม่รู้ว่า ดอก"ทิตทู"คืออะไรและไม่สนติดตามมัน เพราะจะทำให้รกสมอง
  
      ทุกคนดูมีความสุขที่นี่ ไม่มีหน้
าคนกินวิตามินที่นี่
       ถึงจะมีก็คือหน้าเนื้อแห่งธรรมชาติสร้างสรรค์มาอย่างงัยอย่างงั่น
      มาอีกมิติหนนึ่งก็คือคือ
คนตายนิรนามหมายถึงตายแต่
ชื่อแต่ตัวตนจริงยัง!
     คือเวลาตายเขาเอาคนปลอมมาทำผีแทน แต่มิใช่ที่บ้านลับในเมืองจินี้
    มันอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า"แคทตาคาม""
ที่มีคนตายนิรนามมาหลบซ่อนถาวรอยู่ใกล้บบ้านลับ
อมตะที่ไม่ตายนี่เอง 
แต่คนในบ้านลับเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยและเขาไม่สนใจมันว่ามันคืออะไร

      ที่นี่!นี่มีอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ"เมโลเน"มีคนแอบซ่อนอบู่ที่นั่น !
เขามาจากโลกแห่งความจริงสู่โลกแห่งความมซ่อนเร้นและปกปิดมิดชิด
ซ่อนเร้นและเป็นสถานที่ที่ราวกะที่สมณะหัวโล้นธุดงค์มาปักกลดเพื่อบำเพ็ญฌานและแอบมีใจรักปลีกวิเวกตลอดกาล
     ในป่าใหญ่และที่ปิดตนเองโดยสิ้
นเชิง แต่ทั้งหมดนี่อยู่ที่เมืองดิโบจิ(เมืองนี้มีชื่อย่อว่าเมืองจิ)


       เขาที่นี่รับเก็บดูแลคนตายแต่ชื่อแต่ตัวจริงแบบแอบซ่อนอยู่ ส่วนใหญ่จะมีเงินมากแอบมาซ่อนไว้ก่อนที่ไม่มีใครจับได้ ด้วยกลวิธีแยบยลสุดขีด
"ซูกิยืนยัน"
       เนฟพึ่งจะรู้ความลับของสิ่งเหล่านี้ว่า"มีอยู่จริง"
      ตอนแรกตนเองคิดว่างเหล่านี้ ถ้าจะมีคงเป็นนิยายเท่านั้น จึงมีได้)
       เนฟจึงคิดต่อไปว่า"ถ้างั้นในโลกนี้ยังมีสรรพสิ่งมหัศจรรย์น่า"ทึ่ง"อีกมากที่ยังไม่ค้นพบ เช่นตามทะเลลึก
ถ้ามีและในใต้ทะเลโลกอื่นที่เราไปไม่ถึง คงต้องมีสิ่งเร้นลับซ่อนเร้นและแอบแฝงยู่เป็นสังกัป
      ฉะนั้นในการทำวิจัยนี้
คือเพราะฉะนั้นการมาวิจัยเรื่อง
กัญชากระท่อมและฝิ่นที่เมืองจิ
นี่มีเหตุผลตรงประเด็นแล้วในภาคสนามที่จะทำต่อไป "เนฟคิดว่า'ผู้ให้ทุนเราคงคุ้ม'
ถ้าไม่เสร็จดีจะได้มีคนนำไปย่ต่อยอดให้เป็นประโยชน์สักอย่างขึ้นมาเป็นรูปธรรมได้กับมนุษยชาติได้
เป็นแน่ เช่น เกิดภาวะอสงคราม
เกิดสันติภาพเกิดมโนธรรมสากล
และอรรถประโยชน์สากลได้เป็นต้น

       กล่าวคือมิใช่เพรสงไปพบเห็น
กวีพขน์ลำนำเช่นอย่างกวี"ถัง"เพียงว่า"ยามเมื่อชิงหมิงฝนพรำ......" แล้วเกิดประทับใจ ที่ทำให้เนฟชอบจนเกือบจะเลิกวิจัยงาน
หลังพบกวีนิพนธ์บทนี้เข้าโอยบังเอิญที่เมืองจิ "กวีมีค่าทางใจต่อเนฟมาก"

      ต่อไป
ที่นี่หมู่บ้านนี้ๆชื่อว่า"หมู่บ้านไม่มีชื่อ"เนพจึงให้ชื่อว่าบ้านใกล้
หมู่บ้านลับว่า"หมู่บ้านอมตา"เผื่อไว้อ้างอิง เพราะสรรพสิ่ง(สรรพสิ่งเนฟ
ชอบใช้คำๆนี้เพราะมันอาจเป็นเหมือนสรรพยามชนิดหนึ่ง แต่มิใช่
จะเป็นคำปรัชญานามเเสมอไปก็ได้จึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกัน
)
             "มันต้องมีชื่อ" เหมือนคนเกิดมาต้องมีทั้งชื่อและนามสกุลทุกคนนี้
ที่บ้าน เบลนดิสกี 'หมา แมว กระรอกกระแต ผีเสื้อ นก ไก่ ที่มาพบเห็นกัน
ประจำ เนฟตั่งชื่อให้หมด แม้ปืนและมีดดาบ หนังสะติ๊ก ที่เนฟสะสมก็จะมีชื่อให้มันเสมอ)

      ที่หมู่บ้านใกล้หมู่บ้านลับ"อมตา"นี้
โลกภายนอกเขาหมดสิทธิเข้ามาเห็น
      "ถามว่าทำไมเนฟได้สิทธิเข้ามาเนฟเดาว่าเป็นเพราะว่า "เนฟเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย-รักแม่ เชื่อฟังเพศแม่มาตลอด
จากการตรวจสอบสายตาและบุคลิกภาพและยาชุดทดสอบของตำรวจสันติบาลในเมืองจิที่สอบผ่
านอนุญาตให้เนฟเข้ามาเมืองนี้ได้นั่นเอง


    ที่บ้านลับ"อมตา" วันๆหนึ่งๆเขามีแค่ฟืนและหม้อข้าวหุงและสาวงามสายพันธุ์นางไม้คอยดูแลคนที่มาหลบซ่อนอยู่เนฟไม่ได
ถามซูกิว่า คนที่มาหลบซ่อนรนั้นเป็นคนดีหรือคนเลว ในวินาทีนั้นที่ไปเห็นด้วยกัน


      เนพไม่กล้าเข้าไปวิจัยนิกเรื่องที่ขออีก งัย เพราะเชื่อว่าอาจารบ์ผู้ควบคุมงานวิจัยของเนฟคงไม่ต้องการ เพราะไม่ตรงประเด็นในหัวข้อวิจัยที่เสนอไปและได้รับอนุมัติมา
      กล่าวคือเพราะมันอยู่นอกขอบเขตการทำงานตามจุดหมาย
ที่หนีเมียมาทำแบบนี่ที่เมืองจืโบติ
ๆ มีไวน์เหล้าที่หมู่บ้านลับมีให้กินเพียบฟรี
       แต่กินกันแต่ไม่เมามายเพราะเขาไม่มีเลือดเมา
       สำหรับกัญชามีเป็นกะตั้กๆ ทุกแห่ง มีขึ้นตามริมฟุดพาท เหมือนดอกหญ้าเพตจารีกา (p a t g a r i g a )และหญ้าเดฟฟาดิล(d i f f a d i l )
ที่มีในตะวันตก แต่ไม่มีใครสนใจมัน
     
      กัญชาที่นี่ นอกจากไว้บูชาเทพเจ้าและผสมในมื้ออาหาร
     เนฟลองกินกัญชาพบว่ามันทำให้กินอาหาจุและนอนหลับขึ้เซาเอาเลยทีเดียว มีกลิ่นตัวกัญชาถ้าเสพมากๆเข้า และยอดกระเต็นที่เป็นขั้น"ช่อดอกอ่อนกะหรี่เมล็ดอ่อนก่อนเป็นกระเต็น"นั้นมันตากแห้งแล้วนำมวนสูบดีหอมมัน"เนฟพบมันที่นี่"
    ส่วนกระท่อมพืชกินแล้วขยันทำงาน ทนแดด ทนฝน มันมีรสขมลิ้น
     ที่นี่ที่นี่มีแต่ภูเขาเนินเป็นทิวสูงต่ำไปหมดเมืองจิ
      คนที่นี่เขาไม่รู้จักกิน
บางครั้งกระท่อมเขานำมาเคี้ยวเล่นแก้หิวข้าว แบบคนเคี้ยวหมากฝรั่
งที่เบลนดิสกีทำแล้วเพลินลิ้นดีกระนั้น

     นอกจากนั้นก็จะมีก็นกชนิดหนึ่งชอบกิน ๆ เสร็จมันจะร้องเพลงแห่งความสุขเป็นภาษามนุษย์ได้
ควายมหิสามีเครายาวเขางอนเผือก
ที่นี่สัตว์ตัวนี้ ที่นี่มีตัวใหญ่อ้วนพีเพราะกินแต่พืชกระท่อมมันชอบมาก
เพราะไม่มีหญ้าอื่นให้กิน
     
         กัญชาและกระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษผิดกฎหมายที่เบลนดิสกีแต่ผ่อนปรนเพื่อการบำบัด
 แต่ที่นี่ฟรีโลดไปเลยไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัด แต้เงื่อนไขห้ามนำเคลื่อนย้ายออกนอกเมืองจิเด็ดขาด"จับได้ใครทำโทษหนัก ปล่อยเกาะงูพิษทันทีถ้าใครฝืนทำ" และห้ามส่งออกนอกเมืองจิเป็นสินค้าอีกด้วย



วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ตอนที่34 คนตายนิรนาม(งานร่าง)นิยายเรื่องยาว"เบล็นด์-เบลนดิสกี( The Blend-blendisKY)

ตอนที่34 คนตายนิรนาม
ข้อความซ้า5800
จากวิถีชีวิตบ้านลับที่เมืองดิโบจิ
เป็นมิติพิศวงที่เนพมาพบสิ่งนี้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด คิดว่ามันเป็นเพียงนิยายที่เขาแตางให้สนุกอ่านเท่านั้น
และ
แต่มิได้อยู่ในหัวข้อวิจัย
ไม่เข้าไปไกลและติดตามในรายละเอียด
ที่นี่มือถือใช้ฟรีเนตใช้ฟรีคลื่นฟรีสัญญาณหรือฟรีหมด
เสรี ไม่มีปิดเข้าถึงไม่มีอะไรเลย
พวกมิจฉาชีพหมดภารกิจมาหลอกคนที่นี่ได้
มันฟรีแต่ไม่มีคนใช้มันสักคน และจนทุกคนไม้รู้ว่ามือถือและเนตคืออะไร

วันๆหนึ่งเขาพอใจกับธรรมชาติของลำธารห้วยละหานและนกกา
สายน้ำใส่มีปลาว่ายน้ำเล่นอย่างพอใจ
อาหารทุกอย่างมีผักผลไม้เพียบเกินความต้องการ ดอกทิตทูกิยอร่อยมากมันมีโปรตีนและคาโบไฮเดรตแต่เนพไม่รู้ว่า ดอกทิตทูคืออะไรและไม่ติดตามมัน
ทุกคนดูมีความสุขที่นี่ไม่มีหน้
าคนกินวิตามิน ถึงจะมีก็คือหน้า
เนื้อแห่งธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างงัยอย่างงั่น
มาอีกมิติหนนึ่งก็คือคือ
คนตายนิรนามหมายถึงตายแต่
ชื่อแต่ตัวยัง คือเวลาตายเขาเอาคนปลอมมาทำผีแทน แต่มิใช่ทีทบ้านลับนี้มันอีกแห่งที่มีคนตายนิรนามมาหลบซ่อนถาวรอยู่ใกล้บบ้านลับ
อมตายนี่เอง แต่คนในบ้านลับไม่ร๊เรื่องนี้เลยและเขาไม่สนใจมัน

ที่นี่นี่มีอีกหมู่บ้านหนึ่งมีคนแอบซ่อนเขามาจากโลกแห่งความจริงสู่โลกซ่อนเร้นและสมณะหัวโล้นธุเงค์มาปลีกวิเวกตลอดกาลในป่าใหญ่และปิดตนเอง แต่ทั้งหมดนี่อยู่ที่ดิโบจิ

เขาตายแต่ชื่อแต่ตัวจริงแบบซ่อนอยู่ที่นี่หมู่บ้านนี้ๆชื่อว่า"หมู่บ้านไม่มีชื่อ"เนพจึงให้ชื่อว่าบ้านใกล้
หมู่บ้านลับอมตาเพื่อไว้อ้าง
อิง เพราะสรรพสิ่งต้องมีชื่อ เหมื
อนคนเกิดมาต้องมีทั้งชื่อและนามสกุลทุกคนนี้นแล
ที่หมู่บ้านใกล้หมู่บ้านลับอมตานี้
โลกภายนอกเขาหมดสิทธิ
วันๆหนึ่งๆเขามีแค่ฟืนและหม้อข้าวหุงและสาวงามสายพันธุ์นางไม้คอยดูแล
เนพไม่กล้าเข้าไปวิจัยอีก งัยอาจารบ์ผู้ควลคุมงานนวิจัยของเนพคงไม่ต้องการเพราะไม่ตรงประเด็นในหัวข้อวิจัยที่เสนอไปและได้รับอนุมัติมา
กล่าวคือเพราะมันอยู่นอกขอบเขตการทำงานตามจุดหมาย
ที่หนีเมียมาทำแบบนี่ที่ดิโบจิ
ไวน์เหล้าที่หมมู่บ้านลับมีกินเพียบฟรีแต่กินแต่ไม่เมาเพราะเขามีเลือดเมา
สำหรับกัญขามีเป็นกะตั้กทุกแห่งขึ้นเหมือนดอกหญ้าเพตจารีกา
ที่ในตะวันตก
แต่ไม่มีใครสนใจมัน
นอกจากไว้บูขาเทพเจ้าและผสมในมื้ออาหาร
กระท่อมพืชกินแล้วขยันทำงาน
ที่นี่ที่นี่มีแต่เขาไม่รู้จักกินบางครั้
งเขานำมาเคี้ยวเล่นแก้หิวข้าวแบบคนเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วเพลินลิ้นดีกระนั้น

นอกจากนั้นก็จะมีก็นกชนิดหนึ่งชอบกินๆเสร็จมันจะร้องเพลงแห่งความสุขเป็นภาษามนุษย์ได้
ควายมหิสาที่นี่สัตว์ตัวนี้ที่นี่มีตัวใหญ่อ้วนพีเพราะกินแต่พืชกกระท่อม
กัญชาและกระท่อมเป็นพืขเสพติ
ดให้โทษผิดกฎหมายที่เบลนดิสกี

เนพก็ไม่ติดตามคือว่าเพราะลำพังมาวิจัยสืบเสาะข้อมูลเชิงลึก
เอาส่วน
คุณค่าของพืชกัญชาในเบื้องต้
นเท่านั้น
เพราะลำพังมาติดตามกัญาชาหัวข้อนี้เนพก็เต็มอ่วมแล้ว

สรุปไม่มีอะไรที่นี่ ในเรื่องคุณภาพชีวิต
และที่นี่เนพขอยืนยันว่าไม่ใช่ถิ่นมนุษย์กินคนของโลก
วันๆคนที่บ้านลับเขาเติมเต็มๆเสพความสุขเท่าที่เลือกได้ เท่าที่เนพเห็นคืออากาศบริสุทธิ์เท่านั้นที่เป็นจุดเด่น ส่วนกัญชาคือหญ้าเหมือนหญ้าแพรกเหมือนหญ้าแะจจารีกาและดงแห่งดอกดัฟฟาดิล 

ที่นี่จึงเหมาะสำหรับคนมีปรัช
ญาและผู้พลัดหลงเข้ามาจะพึงไ
ด้มันโดยบังเอิญเท่านั้นและเขาก็ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว
และรับคนติดกัญชาหรือจะสร้าง
รายได้กับกัญชาเขาไม่สนใจเรื่องเงินๆทองๆ
นอกรนั้นคนที่นี่ไม่มีความคิดใฝ่ฝันมันที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่อื่น
ชนิดที่มีปรัขญาว่าเกิดที่นี่ตายที่นี่จบสำหรับชีวิตคนๆหนึ่ง

ที่นี่ไม่ใช้ลัทธิยูโทเปียที่นี่ไม่มีข้
อกติกาสังคมไม่ทีอำนาตนิยมและ
หลักภาราดรภาพ
แต่เป็นอีกแบบหนึ่ง
ที่เนพๆไม่รู้จะนิยามมันอย่างงัย

ที่บ้านลับอมตา
มีหุบเขามีหมอกดูเหมือนสวรรค์ในเทพนิยายและหนังโกหก
เนพชอบมากจนเกือบลืมหัวข้อวิจัยเมื่อมาพบหุบเขา"เนพอุทานค้านกาลเวลาที่ไม่ถามตนเองก่อนว่าทำไมถึงชอบ"
ก่อนพูดออกไปกับตนเอง
ของเช้าวันหนึ่งที่หุบเขาดอยเคธา
ที่หีบเขานี้ไม่มีแม้วมีกะเหรี่ยงจะมีก็แต่นางไม้และนกสมิหลาดงและนกคีรีบูน

แต่ก็จะพบรอยยิ้มทและรอยแห่งความความรัก
พบรอยคุณธรรมประจำตัวประจำใจทุกคนที่นี่
ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง
แต่มิได้หมายความว่าที่บ้านอมตานี้จะเป็นบ้านแห่งสันติภาพ เพราะนิยามคำว่าสันติภาพมันยังกว้าง

ไกลเหลือเกินที่เนพจะใช้มันในตอนนี้
แต่สำหนรับที่ที่ตอนนี้นี่มีแต่สันติภาพนั่นคือสันติภาพแบบของเนพไปพลางก่อนนั่นเอง
เพราะคนอย่างเนพไม่เชื่อใครง่ายๆ
นอกจากเอว


หมู่บ้านลับแห่งนี้เนพจึงให้ชื่อมันคือหมู้ย้าน"คายา"
เนพคิดว่าใครน้อยคนได้มีโอกาส
มาที่หมู่บ้านคายานี้

และที่นี่มีผีเสื้อสมิงอยู่หนึ่งคู่
ผีเสื้อสมิงคืออะไร
มันคือผีเสื้อยักษ์มตาที่ปีก
ที่เราเห็นมันในจินตนิยาย
มันมีจริงเนพยืนยัน

ดอกไม้ที่ขื่อว่าคาวอน
เป็นดอกไม้ทีกลอ่นหอมคล้ายดอกราตรี
ที่เบลนดิสกี
มันหอมมากตอนดอกเควอนหอมมากมากในตอนเที่ยงวัน
แฃะหอมน้อยหน่อยตอนเชเยและเย็นและตอนค้ำคืน
แต่ในคืนเดือนหงายมันจะหอมเพียงนิดๆ เนพเคยเรียนชีววิทยาดอกไม้มากลับไม่สนใจว่าที่มันเป็นเช้นนี้เพราะเหตุอะไร
เวลาลมพายุโหดร้ายบัดโบกโชยมาทุกคนที่หมู่บ้านคาธานี้จะได้กลิ่นเควอน
แต่ว่า
มันมีแต่ที่นี่เท่านั้น
ส่วนตัวผีเสื้อสมิงนั้นมันตัวใหญ่ และกลิ่นดอกไมนี่คืออาหารของมัน
กลางคืนมันนอนพักผ่อนอยู่ในถ้ำแบบค้างคาวที่ที่หมู่บ้านไม่ทีค้างคาวถ้ำจึงสะอาดด้วยกลิ่นเว้นกลิ่นของดินแล
ะหินและกลอ่นของน้ำตกสายย่อยๆ
มันไม่กินอะไรมันกินกลิ่น
มันกินความมืดและความสงบ
ตาของมันเป็นสีเขียวสีดำมืดมรกต
คนเห็นแล้วจะกลัว เพราะนึกว่าผี
ซูกิเล่าให้เนพฟังฝ้ายเนพฟังเพลิน
จนเกือบโงกหลับ เยพๆม่ตื่นเต้นสักนิดเดียวและอยากจะรู้มันไปกว่าที่ซูกิเล่าและเนพไท่สนใจมัน
ที่จะมาทำวิจัย และเนพพบว่ามีกัญชาอยู่ประปรายที่นี่แม้อากาศเย็นกัญชาก็ขึ้น เพราะปกติกีญขามันชอบอากาศร้อนแสงสลัวฝนตก
มาบ้างหรือพายุต้นกัญชาชอบขึ้น
ส่วนอากาศเย็นเสียเรไรที่ดาษดื่นที่นี่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงียบสงัดเย็นกัญชาจะไม่ชอบ ใช่ที่นี่เป็นถ้ไที่ผีเสื้อสมิงมาพักอาศัยนอนแฃะทีดกาะใกลมันจะบินไปมาพักร้อนพักเย็นท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของคลื่นลมทะเลสีคราม น้อยคนนักจะ
ได้ผ่านมานอกจากเรือบินบินผ่านบ้างนานๆครั้ง

เนพมีโอกาสได้เห็นมันเวบหนึ่งรู้สึกพองขน แต่ไม่สนใจอะไรเพราะที่มหาวิยลัยเบลนดิสกีมีปรัชญาสอนให้คนไม่ตื่นตระหนกเมื่อพบของ
แปลก

เพราะกลัวมันจะมาทำร้าย
แล้วเนพก็ถอยบกบัจออกไปห่าง
เพราะไม่อยากจะรู้สิ่งแปลกๆเหล่านี้ มันรกสมองเปล่าๆสำหรับเนพ
สิ่งประหลาดเหล่านี้หลายอย่างเกิดขึ้นขณะเนพมาทำวิจัยเรื่องของกัญชา

สิ่งเหล่านี้เนพถือว่ามันคือความฝันและมันคือนิยายคือนิยายที่ๆม่มช่ตวามจริงอะไร
ตอนเนพมีชีวิตที่เบลนดิสกีเท่านั้น
ก็เพียงพอแล้วที่เกิดมาทีเรื่องรกสมองจนบางครั้งถือว่ามันสรรพสิ่งที่นี่รกเกินจนทำลายสมาธิของตนเอง

ที่หมู่บ้านคาธาและอมตานี้ไม่มี
ตำรวจทหารและกฎหมายอะไรนอกจากคสามพอใจของทุกคน
แต่ก็ไม่เคยมีเหตุเจ็บปวดอะไรเกิดขึ้นกับใครๆ
ความไม่มีวามไม่เหมือนกันของ
ที่นี่กับโลกภายยนอก สำหรับเนพ
มันเหมือนกันนั่นแหละแต่เจาไม่มีชื่อจะนิยามมันเท่านั่นเอง
เช่นกฎหมายมันต้องมีถ้าไม่มีสังคมก็คงตั้งอยู่ไม่ได้ คำสั่งแนะให้ลูกทำนั่นมันก็คือกฎหมายชนิดหนึ่งเอง
สำหรับเนพคิดอย่างนั้นเมื่อซูกิกเล่าว่าที่หมู่บ้านคาธาและหมู่บ้านอมตาไม่
มีกฎหมาย

แต่ทุกคนที่นี่เป็นตำรวจทหารและเป็นประชาชนในบุคคลคนเดียวกัน
ที่นี่รู้จักแต่ธรรมชาติดขาไม่รู้จักสสิ่งปรนเปรอความสุขในแง่ของเครื่องแสงเสียงสีเครือข่า
ยแห่งวิทยาศาสตร์ที่เจริญมากในเบลนดิสกีที่เนพเห็นมันไม่มีเสียงเพลงร้องประทับใจให้เนพเห็นก็ธรรมชาติสุดๆของที่นี่นั่นแหละ
คือเสียงเพลงที่สุดประทับใจของ
คนที่นี่ สำหรัยคนที่นี่ไม่รู้แม้คนที่นี่ไม่รู้ว่าคำว่าเพลงนั้นคืออะไร
สำหรับเนพ เพลงที่นี่เสียงนกเสียง
กาจั๊กจั่นตัวจิ้งหรีดเรไรเสียงงูร้องไห้นั่นปหละมันคือเพลงและมันมีคอร์มีคีย์ของมันยู่ใ
นตัว ยิ่งในคืนเดือนหงายน้ำค้างตก
แล้วจะพบสอ่งที่กล่าวมาแล้ว
ทั้งหมดได้ มันเป็นเพลงที่เกิดขึ้นในตัวมันเอง

เขาทุกคนมนคาธาและอมตาจะปิดหูปิดตาปิดจมูกปิดปาก
ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นจากโลก
ภายนอก เขาเห็นคนแปลหหน้าคือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งเท่านั้นและจะไม่ไว้ใจมันโดยสัญชาตญาณ
ของพวกเขา

พวกเขาเหมือนจะเป็นมนุษย์ไบ้
แต่เขาไม่ใช่มนุษย์เผ่ากินคน
ถ้าเป็นจริงเนพคงไม่ได้กลับเบลนดิสกีแน่ๆ

เขารู้จักกินสเต็กเนื้อแม้นานๆครั้
ง แล้วเขาก็ปล่อยช่วงมังสวิรัตในช่วงที่ยาวนานกว่าจะมาถึงสมัยกินสเต็กเนื้อกัน

โดนทุกคนคำนึงถึงความอบอุ่นที่ได้จากไฟว่าเป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต
พวกเขาจะรู้สึกตัวว่าอุ่นๆและร้อนเมื่อเข้าใกล้เตาผิงและฟืนๆควันๆเพราะตัวฟืนๆควันนั่นมันทำให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรงและอ่อนโยนอิ่มเอิบและมีแรงดุดันได้ในชีวิตจริงของที่นี่ เขาจึงชอบมัน และบูชามันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งไฟจากเตาผิง


แต่เขาพร้อมที่จะร้องไห้เมื่อเสี
ยใจเขาไม่รู้จักปกปิดมันเขา
จะปล่อยน้ำตาย้อยลงมาเปื้อนแก้มเมื่อเขาร้องไห้ โดยไม่เอาผ้าเช็ดเป็นเหมือนมนุษย์ที่เบลนดิสกีคิดเป็น
ที่เขาทำเช่นนั้นเพราะรอยน้ำตาคือคราบแห่งความจริงที่อมตะมันควรจารึกไว้เหมือนปูนซิเมนต์ผสมน้ำแล้วแข็งตลอดไป