วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565

คำสารภาพ

ชีวิตผมเริ่มจะเป็นAnimal farmแล้ว
ทำไม
ก็ผมตัวคนเดียวขาดเพื่อนจึงคิดเลี้ยงโน่นนี่นั้นเพื่อเป็นเพื่อนและเพื่อขายหรือกินเพื่อการอยู่รอด
และสบาย
แต่ผมไม่เคยได้กินได้ขายมัน
เพราะสงสารเคยเอาไข่มันมาตีแตกเพื่อทอด แต่พอเคาะไข่แตกออกมามีสีเลือดในไข่แดง
ผมเห็นแล้วไม่อยากกิน คือกินไ
ม่ลง แต่นั้นมาผมคิดเเลี้ยงเพื่อเหตุอื่นมากกว่าไม่คิดจะเอาไปเชือดกิน
แต่ระวังคนขโมย แกล้งพวกเสือหิว
แมวโกงคอยกัดมัน
ผมไม่ใช่เคร่งในศาสนาอะไรที่คิดไม่กินมันแต่เลือกกินาตว์เลือดสี
น้ำเงินมากกว่าเช่นปูหอย ทะเลไม่ไกลจากบ้านผมไปทางทิศตะวันออก คันเบ็ดซื้อไวุ้มีอยู่
แต่ด็อีกนั้นแหละ "มีพอเป็นปรัชญาเท่านั้น มิใช่มีไว้เพื่อใช่หากิน"
แต่ผมจนนะผมมิใช่คนรวย

ไก่แจ้เขาตื่นแต่เช้า เสียงดัง
ขันบ้างกะต๊ากบ้าง
ตามเวลาทุกวัน
หมาแมวอีกผมต้องให้อาหารหนั
กพวกทุกวันหลังจากทุกมื้อที่ผมกิ
น น้อยมากต้องให้
หมาไว้เตือนเมื่อใครมาแบบแปลก
แมวไว้ดูหนู
สรุปผมมีหมาเป็นทหารบกของผม
มีแมวเป็นทหาเรือของผม
มีไก่เป็นทหารอากาศของผม
จึงจัดเป็นกองทัพชีวิตอย่างดีเพื่อทีชีวิตที่ดีมั่นคงพร้อมสรรพ์รอตาย

นี่Animal farm  ของผมนี่คือกองทัพชีวิตของผมตอนนี้เพื่อธำรงไว้ซึ่งสัจธรรมและสันติภาพใ

นชีวิตประจำวันที่ผมมีอยู่ตอนนี้


ถามว่าพอใจมั้ยถ้าผีแม่ลุกขึ้นมาถาม
ปมก็คงต้องตอบว่า"พอใจ"
"ก็มนุษย์เราเกิดมาก็เพียงเท้านี้นะแม่"
อย่าให้ลูกตอบว่าพอใจหรือไม่
พอใจเลยครับแม่
แต่อยากให้"แม่เกิดหนูมามีอะไรมากกว่านี้ถ้าลูกขอได้"

คำว่าAnimal farm เป็นชื่อนิยาย
เขียนโดยGorge Orwell อดีตนายทหารอัวกฤษในสงครามพม่าเป็นผู้แต่งแต่ผมไม่ได้เอานิยายนี้มาพูดถึงแต่เพียงชอบชื่อมันคล้องจองกับ
นิยายของผมดี ผมเคยอ่านเรื่องนี้
แต่อ่านไม่จบ มันเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กปีหนึ่งOxford
ผมจำได้

ผมมีวัตถุดิบมากจนเขียนไม่ไหว
มีเพื่อนนักเขียนไส้แห้งไม่ขอเอ๋ยนามของผมคนหนึ่ง ชอบเอาสัตถุดิบของผมไปแต่งแล้วแบ่งเงินให้ผมกินขนมเป็นประจำ

เอาละเขียนสารภาพมาถึง10ตอนแล้ว
ยังไม่ได้แกนพลอตเรื่องราวเลย
ผมจึงบอกแกนของเรื่องฉากหนึ่งคือ
ความเป็นมาเขาเรียกว่า"หัวนอนปลายตีน"งัย
พ่อแม่ผมอละผมคร่าวๆ

พ่อเป็นคนจีนลี้ภัยวัฒนธรรมจีนเข้าไทยสมัยคอมมิวนิสต์อนุพันธุ์จีนแดงจะยึดครองแล้วนั่งสำเภามาไทยมีน้องสาวมา
ด้วยหนึ่งคนแต่หายไป


พ่อต้อง

สบชะตากรรมหลายตลบจนพบแหล่งน้ำโดยพบแม่ผมแม่เป็นคน
มีฐานะในชุมชน เกิดรักกันแม่เห็นว่าพ่อทำงานเป็นปลูกผักขึ้นขยัน
เคยเป็นลูกจ้างที่ไร่ของตาพ่อของแม่

พ่อของแม่เชื้อจีนไฮหลำแต่ไม่ใช่คนอพยพ


เมิ่อพ่อกับแม่รักกันก็มีการสู่ขอแต่งงานจดะทะเบียนสมรสมุเถ้าแก่สู่ขอตามแระเพณีมีสินสอดทองหมั้
นเรียบร้อย เถ้าแก่คนจีนอพยพเช่นกันคนมีร้านค้าและรับจ้างได้สู่ขอแม่เขาเป็นจับกังแบกของขึ้นตู้รถไฟที่สถานีที่บ้านผมนั่นเอง
และเถ้าแก่สู่ขอคนนี้มีลูกหลานเป็นมหาเศรษฐี(มีสนยางและปาล์และการลงทุน)ในชุมชนนนี้ต่อๆมา

พอแต่งงานมีลูกคือผม
ผมเกิดโดยมีแพทย์หญิงตำบลทำคลอดให้มีสูติบัตรแตผมทำหายไปมีสำเนาแต่เปิดไม่
ได้เป็ยเอกสารเก่าอยู่ที่ตัวจังหวัดเคยร้องขอจนเรื่องถึงคณะกรรมกฤษฎีกาแต่สรูปยังทำไม่ได้แต่ต่อมาอำเภอออก

หนังสือรับรองให้ เหตุผลขอสำเนาสูติบัตรถ้าไปนอกมีปัญหาอาจขอกลับไทยยาก


ขณะที่ขนาดพอผมยังๆไม่อดนมดี พ่อกับแม่ตัวจริงแท้ (ต่อมาผมมีพ่อแม่ยกอีกหลายคน)เมื่อท่านทั้งสองของผมแยกทางกัน แม่ไปบวชชีไม่มีผัวใหม่ตลอดชีวิต ส่วนพ่อมุ่งสู่ใต้ไทยและไม่แต่งงานกีบใครอีกเลยจน30ปีผ่านไปจึงกลับมารวมกันสาเหตุผมจะเล่าตอนอื่น ผมได้
รายละเอียดเมื่อนึกได้จะมาเล่าเสริม
ต่อมาพ่อมาขอคืนดี แต่แม่ปฏิเสธ
และต่อมาพ่อได้ช่องทางจับที่ได้200ไร่ที่มาบอำมฤต ชุมพร เพื่อทำสวนยางแต่รอแม่เซ็นด้วย แต่แม่ก็ไม่เห็นด้วยคือไม่สึกจากชี


พ่อเป็นจีนครอบครองที่ดินไม่ได้ตอนนั้น  ความฝันของพ่อ
จึงล้มเหลว
พ่อไปสบชะตากรรมต่อ
ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ต่อมาผมเรียนถึงประถม2
จากโรงเรียนบ้านเกิด
ตาจึงพาผมไปอยู่กับพ่อ
และตาฝากเข้าเรียนต่อชั้นประถม3 จนประถม5 (ม.1เดิม) ที่รร.ธีราศรมวิทยา
อ.พุนพิน เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่นี่
ผมเรียนเพื่อนร่วมห้องรุ่นเดียวกัน
ได้เป็นศาสตราจารย์คนหนึ่งและเป็นเศรษฐีอีกหลายคนอีกตนเป็นตำรวจสันติบาลที่ ปทุมวันกทม.ทำงานกอง7ต่อมาถูกยิงตาย

พ่อมีร้านขายก๋วนเตี๋ยวในตลาดท่าข้าม
ต่อมาพ่อจะให้ผมจะเปลี่ยนโรงเรียนให้ผมไปเรียนต่อที่รร.รัฐบาล ที่ท่าข้าม แต่ผมไม่ชอบเพราะเด็กสองโรงเรียนไม่ค่อยดีกันนัก  ผมจึงงว่างและช่วนะ่อขายก๋วยตี๋ยว พ่อมีลูกจ้าง พ่อทำก๋วยเตี๋ยวอร่อย คนกินติด

ต่อมาในขณะเดียวกัน พ่อจึงให้ผมเรียนภาษาจีนกลางกับครูจีนฝึ

กและรับจ้างโดยเรียนภาษาจีนกลางสัปดาห์ละ5ครั้งในท่าข้าม

และต่อมาพ่อคิดจะส่งผมไปเรียนที่มาเลย์เซีย แต่ผมผิดหวัง
และผมคิดถึงแม่มาก รอโครงการของพ่อต่อไปไม่ไหวแล้ว
และคิดถึงแม่มากๆ
ผมจึงหนีพ่อออกจากพุนพินจนมาพบพ่ออีกครั้งเมื่อพ่อจะตายลงนี้เอง


พ่อของผม จะว่าเข้าไทยตามแผนลัทธิซามินจูหยี -คนจีนโพ้นทะเลออกมาหาเงินส่งกลับบ้าน ก็ไม่ใช่ทีเดียวแต่พ่อแอบส่งไปให้ปู่ใช้ที่เมืองจีน สร้างบ้านอย่างดีให้ปู่ บางครั้งโดนคนอาสารับส่งเงิน

เข้าจีนโกง ผมสงสัยมานานและผมอ่านหนังสือจีนไม่เป็นๆเฉพาะเซ็นชื่ออย่างเดียวชื่อ แม้เรียนภาษาจีนมา

"แต้จือเหยียง" ชื่อจีนของผม เป็นชื่อที่ปู่ที่สองอยู่แถวตลาดพลู ฝี่งธนบุรีติดวัดอินทารามได้

ตั้งให้"


ต่อมา

ผมได้หนีจากพ่อมาหนนีไปบวชตามแผนเพื่อจะได้พบแม่ และต่อมาได้พบแม่และเรียนหนังสือต่อสืบต่อๆมา
จนได้เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักธุรกิจ
เป็ยผู้จัดการบริษัทฝรั่ง
เดินทางไปจีนเยี่ยมปู่ที่กวางตุ้ง
ยุคสงครามเวียดนามโดยถือหนังสือเดินทางนักหนังสือพิมพ์
มีตำรวจสันติบาลท่านหนึ่งเพือนกันไปทำหนังสือเดินทางให้สมัยนั้นกระทรวงต่างประเทศที่ทำหนังสือเดินทางอยู่ที่วังสราญรมย์ข้างวัดพระแก้ว สันติบาลท่านนี้มาทำงายคุ้มกันนักลุนทุนต่างด้าวที่ผมทำงานอยู่ ที่สีลม ผมจึงสนิทกัน
ต่อมาผมเขียนหนังสือรจนาวิลาศ
พิมพ์แล้วขาย
แล้วเดินทางไปอังกฤษเรียนต่อ
และไปดูงานอีกหลายประเทศ
ต่อมาสงครามอินโดจีนสงบ
ผมกลับบ้านและบวชพระให้พ่อ
จนเรียนสอบได้เปรียญธรรมสามประโยค
ตอนแม่ป่วย
และต่อมาจบปริญญาโทตอนแม่จะตาย
และผมเป็นพระปาฏิโมกข์สอบได้
เคยนั่งปาฏิโมกข์
ตอนอยู่อังกฤษผมเข้ารีดนับถือศาสนนาคริสต์นิกายAnglican
และที่อังกฤษผมได้พบแม่บุญธรรมเป็นชาวรัสเซียและพ่อยกเป็นชาวเยอรมันยิวลี้ภัยที่นั่นและ
พ่อบุญธรรมเป็นชาวอังกฤษที่นั่น

และอีกมากมายเมื่อนึกได้จะเล่าต่อ
แต่เมื่อสัยเอสมาถึงผมงดสนใจการเมือง หรือไม่ใฝ่ฝ่ายใดใด
เพราะคิดว่าตนเองอ่อนโลกการเมืองและไม่ทันโลก
จากทฤษฎีที่ว่าดอกฟ้ากับหมาวัดมันเป็นไปไม่ได้ในยุคจรวดนี้ จึงงดคิดการเมืองแต่อยู่เฉยจนวันตาย
คิดอย่างนี้เสมอตอนนี้
พอดีมีสงครามยูเครนเกิดขึ้น
มัคนชอบถามว่าเอาใคร
ผมรีบตอบว่าเอาคนฝ่ายประเทศชนะ
เพราะผมไม่อยากถูกการเมืองทับถม
ใช่อาจจะเห็นแก่ตัว ที่ผมตอบอย่างนี้

แต่ผมยืนยันว่า
สงครามมีแพ้มีชนะเหมือนมวย
เราคนดูมิใช่คนเล่น
รัสเซียหรือยูเครน ใครผิดใครุกเป็นเรื่องความจริงความชอบธรรมของสงครามที่ศาลและสังคม
จะวินิจฉัยด้วยอารยธรรมสงครามมิใช่คนจนๆคนสนธยาอย่างผมจะไปวิ
นิจฉัย


จะมีคือถ้าสงครามาเข้าตัวเรา ผมก็หนีและหลบสงครามๆหน้าที่ของทหาร
ผมตั้งใจเสีนภาษีให้รัฐทำตามผู้มีอำนาจสั่งมาและตามคำสั่งปลายกระบอกปืนก็เพียงพอแล้วตอนนี้
"ถามว่ากลัวรึ"
ผมตอบว่าไม่กลัว
แต่ปัญญาชนต้องตัดสินความจริงด้วย
ปัญญานะ
มิใช่หาข้อยุติในสรรพสิ่งแบบไม่มีเหตุผล
และมิใช่ใช้น้ำตาแก้ปัญหาความขัดแย้ง
และผมเชื่อว่าทุกอย่างมีค่าวีในตัวมันเอง
จะอย่างงัยก็ตาม
ตอนนี้ผมขุดหลุมรอศะผมฝังตัวเองรอลงดิน
ที่ผมเชื่อว่า ทุกชีวิตต้องยอมรับความเป็นธรรมอย่างนี้เมื่อวาระสุดท้ายของคนมาถึง

และ้จะถามอะไรผมอีก
ให้ไปถามคณะทำงานในชีวิตของผมคือ
แมว2ตัวหมา1ตัวและไก่แจ้4ตัวที่ผมเรียกมันทุกชีวิตว่ารวมว่า"เหมียว"
ถามอ้าบเหมียวที่ผมเลี้ยงมันมาด้วยมือถามเขาแทนนะ

ว่าอะไรจะเกิด

ปัญญาชนอย่างผมมันสนธยากาล
เสียแล้วแม้ผมยังไม่ไร้ควา
มสามารถก็ตาม

เหมือนจะถามว่าจะเกิดนิวเคลียร์มั้ยสงครามงวดนี้
ผมตอบว่าต้องถามคนกดชนวนระเบิดนิวเคลียร์นะ
และผมไม่มีคำตอบเรื่องนี้

จงถามเจ้าเหมียวของผมเถิด ถ้าหากอยากถาม
แต่ตอนนี้ผมกำลังหาค่าวีและกำลังขุดหลุมหลบภัยที่หลังบ้าน
ที่สระบัวของแม่ผม
ถ้าสงครามมาประชิดตัวผม
และถ้าผมตายลงในสงครามนี้หนือตอนนี้ขอฝากเหมียวไว้กับสรรพสิ่ง
และขอให้ค่าวีของผมจงผลิดอกออกผลปกป้องเหมียวให้เธอพ้นจากภัยทั้งปวงด้วยเถิด

และท้ายสุดผมยึดหลักพลเมืองดีCivic

คำนี้ผมถูกถามตอบ ตอนสอบติดธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สอบเข้าที่ปริญญาโทสอบข้อเขียนแต่ตกสัมภาษณ์