วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดลิเทล ตอนที่14"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ"

            ลอร์ดลิเทล
             ตอนที่14
"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ"
         และเพื่ออยากรู้ว่ามันมีอะไรอีกมากมายนักต่อนัก  ที่เขาผู้อำนวยการสร้าง  นำมาเสนอขายเรียกคนดูเพื่อให้ดูกันสนุกอุราเท่านั้น 
         แต่ถ้ามีฉากขุดผีดิบมาชำแหละศพแล่เนื้อขายส่งหรือทำพิธีลงคาถาอาคมผี หรือมนต์ดำชนิดเอาน้ำมันไปทำเสน่ห์ยาแฝด ในทำนอง
นี้ ด้วยวิธีเวทย์มนต์หรือแบบแม่มดหมอผี ตนเองนั้นขอสารภาพว่า ไม่อยากดูหนังประเภทนี้ เพราะมันแปลกเกินและไม่ค่อยจะสมจริงและมันจะ"เอกเซเจอเรต"(exaggerated )เกินที่ตนเองจะรับได้
         เรื่องผีลอร์ดมิคานนะกลัว !  เพราะถ้าลอร์ดมิคาน ทำเป็นคนไม่กลัวผี  มันดูเป็นการทำตนคือทำตนเองให้เห็นเป็นคน"แข็งในบุคลิก"เกินไป  ลอร์ดจึงจึงบอกว่า"กลัวผีดีกว่า" แล้วสบายใจดี  เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เป็นคือใครๆก็กลัวยิ่งคนประสาทอ่อนยิ่งกลัว
          แต่กระนั้น" ฟรอม-ไทม์-ทู-ไทม์"คือตลอดเวลา(from time to time)  เช่น  การฉีดยาแบบกระทำ"โอตอปซี่"(auto psy=ทำแบบการฉีดยาให้ศพอย่าให้มีกลิ่นเหม็นเหมือนการทำมัมมี่ของอียิปต์ ( mummy Egypt)ให้เพื่อนรักของตนเอง หรือกับศพอนาถาที่ถูกร้องขอมา
         ลอร์ดมิคานเคยทำด้วนมือ ฉีดยาฟอร์มาลีน(formalin=ยาขนานที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อศพ) คือมีตอนเพื่อนตกยาก"คนหนึ่งชื่อว่า"เอวอน"( Avon) "ตายลงอย่างอนาถ
        ในวันหนึ่ง คือ"เอวอน" ตกหน้าผาตายเพราะไปเล่น"กีฬาปีนผา"ที่ผา"คลิมองต์" คลิฟฟ์=(cli m o n t cliff ) เชิงสะพาน"สุสังชัน"=s u s u n g -s i o n) ของลอร์ดแบจา(lord Baja)     ท่านลอร์ดผู้นี้เป็นผู้คิดทำสะพานข้ามแม่น้ำคลิมองต์นี้และท่านเป็นวิศวกรและออกแบบสร้างและท่านบริจาคทรัพย์ให้ทำให้เพื่อสาธารณะเปล่าๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากมรดกที่ไม่มีสิ่งสีเทาเคลือบแฝง "ท่านทำได้สำเร็จ" ชาวประชาได้ใข้  ระเบิดสงครามหลายครั้งผ่านมา สะพานนี้รอดไปได้มันนานมากแล้ว สะพานนี้เลยกลายเป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์สืบต่อมา
         
          และด้วยเหตุที่ลอร์ดมิคานเป็นคนกล้าทำหน้าที่(ช่วยผู้มีทุกข์)นี้  เพราะตอนลอร์ดมิคานเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยตอนปีสาม"จูเนียร์เนียร์"(junior year )ตนเองเคยเรียนวิชาศพวิทยามา3หน่วยกิต (unit)ด้วยนั้นเองและสอบผ่าน
          ลอร์ดมิคานจึงกล้าทำและฉีดยาศพให้เพื่อนผู้วายชมน์ แต่มิทำอาชีพ หรือเป็นสับปะเหร่อหมอดอย หรืออะไรเทือกนั้น
        แต่ธาตุแท้นแล้วตัวลอร์ดมิคานเองนั้น  เรื่อง
ผี ๆ เรื่องการสู้รบอย่างของชาติชายทหาร  เรื่องการตายในสนามรบ  สมรภูมิรบเพื่อมาตุภูมิ เรื่อง
"มโนธรรม"นั่น  ลอร์ดมิคานไม่เคยกลัวและต้องไม่กลัว เพราะเมื่อสถานการณ์จรืงมาถึง ที่อาจจะมาประสบพบเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่อาจจะมี
      และลอร์ดมิคานต้องยอมรับความจริง ในฐานะเป็นชายชาตรีให้จงได้  กรณีเช่นนี้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ไม่ว่าจะเป็นขุนางหรือเป็นทาสเป็นกรรมกรชาวไร่ชาวนาอะไรก็ ต้องทำหน้าที่นี้เมื่อชาติต้องการ
       เพราะตามหลักยึดติดในเกณฑ์นี้ เพราะมันเป็นไพล์(p l i g h t= การยอมตายเพื่อมาตุภูมิและเพื่อนร่วมชาติในสมรภูมิ) มิใข่คลั่งชาติหรือบ้าอุดมการณ์อะไร 
       ที่บางจุดเป็นสิ่งดีงามสากล คนทุกคนต้องมีครอบครอง  เพื่อชาติและอุดมการณ์เพื่อขาติและประชาชนตามปกติที่ต้องมีกันอยู่แล้ว  แต่ลอร์ดมิคานมิได้ภาวนาให้เกิดสงคราม เพราะคันมืออยากจับอาวุธเข้าประหัตประหารกัน แบบเด็กซนใช้หนังสติ๊กยิงนกสวย"ก็หาไม่"
       มิติที่เคยกล่าวมา  ในตอนต้นๆ ในประเด็นเรื่องราวนี้ลอร์ดมิคานคิดว่า  "มันอาจจะเป็นจินตนิยายทางลัมธิการเมืองเพื่มาตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มีคติว่า"เมื่เกิดมาใหม่ก็ต้องมีสิ่งใหม่ลัทธิใหม่ๆขึ้นมารองรับความใหม่" แม้จดไม่ถูกเสมอไป แต่มันก็เกิดมีขึ้น ด้วยการพิสูจน์ว่า 
     ตือการค้นหาตนเองว่า   ตนเองด้วยเพื่แตอบคำตอบโจทย์แห่งการชำระปัญหาอย่างสันติวิธี.  
      แต่ก็พบว่าปัญหา "เรื่องปากท้องและความไม่อมตะของชีวิตของคนส่วนมากยังคงมีต่อไป ฉะนั่นอะไรต่อมิอะไรเกิดมามากมายอย่างท้าทายประวัติศาสตร์ของอดีต ก็จะมาท้าทายกัลปัญหา"ปากท้องและความอดอยาก"ของเพื่อนมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ ตามภาพที่สังคมปรากฏ
          มันก็คงเหมือนเหมือนเรื่องของ(ป้ากูดี้= a u  n t y  go d y) คือป้ากูดี้ ชื่อหน้าคืออันตี้ส่วนกูดี้เป็นชื่อนาสกุล
      ป้าคนนี้  "ลอร์ดมิคานพูดขึ้น"
     " ก่อนที่บ้านแกก่อนแกตายลง แกเคยมี หมาแมว ไก่ กระรอก กระแต และหนูและแกะ แพะและวัว ค้างคาวนกฮูก เป็นเพื่อนชีวิต ก่อนตาบแกตั้วใจมิได้เลี้ยงไว้ขายฆ่ากิน หรือส่งตลากสด หรือเสนอขายเป็นอุตสาหกรรม  คือแกได้ปล่อยและอนุรัษ์มามันทั้งหมด คล้ายแม่พระผู้มีเมตตาเพื่ออยู่อาศัยเป็นเพื่อนสหชาติของแก ก่อนตาย
      ใครมาถามแกว่า"เลี้ยงไว้ทำไม"มากมายหลายอย่าง อยู่ตัวคนคนเดียว มีเพียงหมากับแมวก็พอ เพื่อให้ช่วยเฝ้าบ้านก้อพอ หมาเฝ้าคนแปลกหน้า และงูและสัตวว์ร้าย แมวเฝ้าหนู
       แกตอบเพื่อนบ้านที่ชื่อว่ามิเกลที่ถามแกอย่างนั้นว่า:
     " มันคือเพื่อนตายและเป็นสหขาติของฉัน ใครจะทำไม "  มันเป็นเรื่องอะไรของแก
ที่แกมาถาม  มันเดือดร้อนมึงหนรืองัย มิเกล"
        ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
   "  ป้ากูดี้"   แกก้อเล่าต่อไปว่า
        " เมื่อตอนฉันเป็นสาวๆ สมัยเรียนหนังสือ ฉันได้พบคนรัก  และก็รักกันมาก แต่ตอนนี้เขาตายไปเขาชื่อ"พันตรีมิค็อก " แกคงจะรู้จักน่ะ!
"ฉันเคยคิดว่า""
"เราตั้งใจว่าจะอยู่กินกันจน"มีมือถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรน่ะ"
        แต่ต่อๆมา" มันหาเป็นเข่นนั้นไม่"" แกหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำตานิดๆแสดงให้มิเกลเห็น แกมิ ได้บีบน้ำตาด้วยหวังเรียกความเห็นใจจากมิเกลหรือเอาหัวหอมมาเช็ดตาแต่อย่างไร แต่น้ำตามนไหลออกมานิดๆด้วยความเสียใจของป้ากูดี้เอง
" พระเจ้าช่วยฉันด้วย" ท้ายสุดแกอุทานออกมา
         มิเกล (m i g e l) แกรู้ดีมิใช่หรือ?
แล้วมันเรื่องอะไรของแกแกล้งมาเสือกถามฉันะอีก
        "เรื่องราวของชีวิตคนอื่น "ซึ่งไร้สาระของตนเองสิ้นดี" ไม่น่าจะถาม แกก็กล่าวต่อไปอย่างขึงขังว่า
           มันเป็นหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นที่จะมีสิทธิที่จะทำ และถามแบบนี้กับฉัน
"หรือว่าแกไปเป็นนักสังคมสงเคราะห์(social service worker) แล้ว""
"เปล่า"ๆ
"ไม่"ๆฉันมิได้เป็นนักสังคมสงเคราะห์""
"มิเกลตอบทันที"
           คนเพื่อนบ้านติดกันกับป้ามิเกลที่มีผัวเป็นคนกวาดขยะเทศบาล คนนี้ที่ชื่อมิเกลรีบตอบอย่างนั้น  เพราะความโง่และความไร้เดียงสา(naive )ขงตน ที่ไม่มีประโยคอะไร
ที่จะเริ่มต้นพูดทักทายกับป้ากูดี้ในวันรนั้น!
         ทันทีที่มิเกลรีบตอบกลับคุณนายป้ากูดี้ทันทีนั้นมันเป็นการสนทนากัน อย่างละล่ำละลัก  อย่างกะนายกับไพร่คุยกัน แสดงอาการออกมา"จนป้ากูดี้เห็นใจ
      คำตอบของมิเกลคือเงียบงำไปเลยละหนาตอนนี้ หลังจากป้ากู้ดีเฉลยเสียยาวเหยียดจนมิเกลยืนฟังแทบเมื่อย " เพียงประโยคเดียวที่มิเกลถามไปเท่านั้น"
        การตอบหลังจากถูกถามกลับจากเพื่อนบ้านที่ชื่อป้ากูดี้"ทำไมแกก็รู้ดี"อย่างนี้
        และพบว่าป้ากูดี้มีท่าทาง"แกก็จะดูโกรธกับมิเกลนับตั้งแต่นั้นมา และ ไม่พูดกันอีกเลย  และมิเกล   ไม่พูดกับป้ากูดี้แต่นั้นมา ทำให้มิตรภาพของเพื่อนบ้านที่ติดกันต้องท"สะบั้น" และมาตัดขาดสะบั้นจริงๆต่อมา  จบ ลงเพียง"ประโยคเดียว"ที่มิเกลนี้แท้ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนนั้น
        ป้ากู้ดีแกเมนส์(menstruate) กำลังมาพอดีเพราะ"ประจำเดือน-เมมนส์"ตัวนี้กำลังมามันจะทำให้หญิงอารมณ์เสีย  และเสียงง่ายกว่าอารมณ์เสียที่เกิดจากแดดร้อนจากภัยธรรมชาติของโลกชื่อว่า"แอลนีโญ"(e ln e y o=เปล่งเสียงมาจากภาษาสเปน)เสียอีก
    "   ป้ากูดี้และมิเกล" มนฉากทัศน์อันไม่พึงประสงค์นี้   ทั้งสอง เเม้เป็นเพื่อนบ้านกันมาตลอเชีวิตที่แสนดีเมื่อตอนไม่สนทนากัน  แต่พอสนทนากันกลับเป็นว่า"เลยไม่ถูกกันไปเลย"
         บ้านมันอยู่ติดกันแล้วเสียด้วย "น่าอนาถใจจริง"ลอร์ดมิคานรำพึงถึงฉากทัศน์ในสังคมชนขั้นลักษณะนี้  และยืนกรานถือว่าคือถือเสมิอนหนึ่งว่า"ปกติ" มันเกิดขึ้นตลอดเวลา  แม้กับตนเอง ที่ตนเองไม่อยากจะพูดถึงมัน  แต่ต่างกันที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น ตนเองไม่อุทธธรณ์มัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด และต่อมาต่างฝ่ายก็เงียบไปเองเสมือนหนึ่งว่า  ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
      ถ้าเขาดมากเกิน ก็มีกฎหมายรองรับทีทแน่นอนต้องเสียเป็นเงิน และติดคุกเป็นตารางกำหนดโทษ   เมื่อหยุดคิดต่อทุกอย่าวก็สงบไปเองมันเป็นปรัขญาของลอร์ดมิคานยืนยันอีกครั้งในที่สุด


     ลองจิตนนาการดูว่า "อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนบ้านติดกันแลัวไม่ถูกกันอย่างแรงจากปมเพียงนิดเดียว
"จะมีคือย้ายบ้านไปเสีย" ข้อยุติทั่วไป
        แต่เรื่องนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น 
รายนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่กันต่อไป และ ยังคงอยู่กันต่อไปเพราะต่างฝ่ายต่างมีปรัชญาชีวิต เหมือนต่างฝ่ายต่างก็ถูกเสี้ยมสอนมาจากชีวิตโรงเรียนอย่างงั้น! คือ  มันตรงกันว่า:=
       คือคนเรา"ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน  "    มันก็คงมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง  เกิดแทรกขึ้นมาแทนที่อยู่ดี 
"มันหลีกเลี่ยงยาก มันเป็นเรื่องเหมือน"ลิ้นกับฟัน
        " ที่ต้องเคี้ยวบดข้าวบาร์เลย์ทุกวันทางปากกินนั่นเอง
         "ใช่"      แต่ทั้งสองคนนี้ก็ไม่พูดกันอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อนบ้านอื่นทุกคนยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
          จะรู้กันก็เพียงสองคนเท่านั้น  เหตุการณ์วันนั้นที่เกิดและต่างฝ่ายต่างปิดเงียบสนิท
         "มิเกล"จะบอกผัวตน หรือป้ากูดี้จะบอกกับน้องแมวสัตว์สหชาติของตนเองก็ไม่เช่นกัน  กะว่าชาติหน้าเกิดมาพบกันอีกคงจะอโหสิกั
              มาที่นาย"พันตรีมิคอก"=sun -leuterne n t -colonel)อดีตสามีคนรักของป้ากูดี้จบโรงเรียนนายร้อยและเตรียมทหารมาใหม่ๆ และถูกส่งเข้าหน่วยสอดแนมเชิงจารกรรม  ทันทีที่พันตรีมิค็อกออกปฏิบัติงานแต่ถูกฝ่ายศัตรูจับได้  คือฝ่ายศัตรูจับได้ว่า เป็น"สายลับ"และถูกศาลทหารฉุกเฉินของฝ่ายตรงกันข้ามลงโทษให้"ทำหมันนายพีนตรีมิค็อก"คือ"ถูกตอน"ตลอดชีวิต
        ถูกตอนในที่นี้   คือตัดส่วนส่งต่อท่อสเปิร์มชายออกที่ทำให้คนมีลูกได้เป็น บางส่วน แต่ไม่ไตัตัดอวัยวสืบพีนธุ์ของท่านพันตรี มิค็อก ออกเสียเท่านั้น เพราะความลับยังไม่ถูกนำไปใช้เบ็ดเสร็จ มันเป็นข้อหาคือเป็นการเพียง"ละเมิดเข้าเขตหวงห้ามสำคัญของฝ่ายศัตรูทางทหาร เท่านั้น"เป็นข้อหา
        หลักโดนฝ่ายปรปักษ์ฉีดยาทำหมันแล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมา  เวลาต่อมาพันตรี"มิค็อก"ก็เป็นหมันตลอดชีวิตจริงสมใจนึกของฝ่ายตรงกันข้าม  คือพันตรีมิค็อกก็ไม่มีลูกกับป้ากูดี้  หรือกับหญิงใดอีก  แต่เรื่องนี้  นายพันตรีมิค็อกกีมิได้บอกให้ป้ากู้ดีรู้  หลังโดนกระทำดังกล่าว บำเหน็จพิเศษของท่านพันนงตรีมิค็อก คือถูกยกจากยศว่าที่ร้อยตรีเป็นยศพันตรีทันที หลังถูกปล่อยตัวออกมาจากฝ่ายศัตรู  และพบรักกับป้ากูดี้ต่อมาที่โรงละครแห่งหนึ่ง(ชื่อโรงละครนี้ขาดหายไปในเศษหนังสือที่ลอร์ดมิคานพบนั้น)
         ป้ากูดี้เคยสงสัยเหมือนกันว่า"ทำไม่มีลูก ทั้งๆที่ป้าดู้ดี้และพันตรีมิค็อก(sub . Lt. Col. Micoc k) นอนด้วยกันกับป้ากู้ดีย่างฉันท์สามีภรรยา  ร่วมเพศกันอย่างสนุก "ลงตัว " และ"มันส์"เกือบทุกคืนหลังแต่งงานกันมา" หลายปีแล้ว
        แต่ป้ากูดี้คิดว่า"ก็ไม่คิดอะไรคือปลงใจคิดเสียว่า "ในเมื่อมันไม่มี ก็ึคือไม่มี"จบ""  ทั้งสองอยู่ร่วมกันมาราบรื่นแสนดีด้วยชีวิตแสนจะดีมากสุดจะราบรื่น จนกระทั่งนานพันตรีมิค็อก ท่านผู้นี้ได้ตายลงในวัยที่ป้ากูดี้ตอนนั่นยังสาวอยู่ด้วย"อายุอันสั้น""ของสามีที่รัก"พันตรีมิค็อก""
              ส่วนนี้ลอร์ดมิคานไม่ติดตามสนใจอะไรต่อไป  เพราะลอร์ดเองมีภารกิจมัดตัวท่วมท้น คือนอกจากต้องออกไปแสวงหา"หยาดน้ำค้างสีฟ้าครามดื่มกิน เพื่อประทังชีวิตที่แแสนดี ที่เทือกเขาโอเฟ(o f e- plateau )
            แต่เรื่องราวของป้ากูดี้นั้นมันเป็นนิยาย  สำหรับลอร์ดมิานเชื่อว่านิยายมันก็ชีวิตจริงของใครบางคนนั่นเอง เศษกระดาษค่อนเล่มขาดๆ  เป็นเพียงส่วนที่เรียกว่าในเศษนิพนธ์ของหนังสือนิยาย ไม่บอกชื่อว่าเรื่องอะไรพิมพ์ที่ไหน มันคงอยู่ในส่วนที่ขาดไป
          ที่ลอร์ดมิคานพบตอนเดินทางไปแสวงหาน้ำค้าง  ที่เทือกเขานั่น   แล้วก็ก้มลงหยิบเอามาอ่านอย่างสงสัย  เพราะแปลกจากปกติคือที่เทือก"เขาโอเฟไม่มีขยะเด็ดขาด""
       และหลังจากอ่านแล้วก็ติดใจ อ่านมันจนหมดกระแสความในส่วนที่ขาดเหลือมานี้ทั้งหมด  ส่วนที่เป็นบทบาทของตัวนิยาย มันมีบริบทที่สะดุดมาก  มันถูกแต่งขึ้นมาได้หลือเชื่อจริงๆ  คือว่ามันทำให้ตนเอง"ทึ่ง"  จนทำให้ลอร์ดมิคานพาไปคิดในวลาต่อมาว่า
       "นี่หรือขีวิตและชะตากรรมของมนุษย์เรา"ยังมีอีกต่ออีกแต่เอาไว้หลังจากสนใจเพียงบางตอย พออ่านเสร็จก็คิดอึ้งอยู่สักครู่
         เพราะที่เทือกเขาเช้านี้ มีหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าตกลวมามาก  สำหรับที่นี่มีป้ายติดไว้ดูจะเก่ามากแล้ว  ป้ายเขียนไว้มีมจความว่าดังนี้"ใครทิ้งขยะไว้ จะถูกลงโทษอย่างหนัก เท่ากับการประหารชีวิตแบบหมาที่เป็นโรคบ้าเลยทีเดียว 
      เพราะฉะนั้นสิ่งนี้  จึงเป็นเศษนิพนธ์ที่ถูกทำหล่นโดยไม่มีเจตนาว่าจะทิ้ง  แต่มันหล่นตกเอาไว้โดยบังเอิญ  
      จากคนบางคนที่มีรสนิยมมาเที่ยวที่เทือกเขานี้ เหมือนกับตนเองนั้นเองแต่ไม่ได้มาหาหยาดน้ำค้างกินประจำวันเท่านั้นองเหมือนตน
        หยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟที่ลอร์ดมิคากินพบว่า"กินเข้าไปแล้วอิ่มเหมือนน้ำทิพย์และอดอาหารได้เป็นเวลาหลายมื้อของวันทีเดียว
        แต่ลอร์ดปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่บอกให้ใครรู้เพราะเป็น"การทำคุณบูชาโทษ มีอันตราย" อันที่จริงปกติน้ำดื่มนั้น"มนุษย์ทุกคนขาดไปหาได้ไม่เกิน3วันถึง7วันก็ตายได้  มันจึงถูกเชื่อโดยลอร์ดมิคานว่าได้มาดื่มหยาดน้ำค้าง ที่นี่  มันรอดตายไปได้วันๆหนึ่งโดยไม่ต้องทำอะไรมันลงตัวกับชีวิตของลอร์ดมิคานยิ่งนัก
       อนึ่ง     เพราะลอร์ดไม่ชอบปรุงอาหารมากรสมากสำรับโดยตนเอง และตนเองมีตัวคนเดียวสันโดษอิสระมั่นคงและปลอดภัยและมีศักดินานิรนามอีกต่างหาก  ตนเองจึงใช้หยาดน้ำค้งวนี่ละ เพื่อดำรงขีวิตลดงบประมาณค่าอาหารไปมากมายต่อวันๆ 
         แม้บางครั้งลอร์ดก็จัดมื้อเต็มบ้าง  อย่างไรก็ตาม  หลังดื่มมันลอร์ดพบว่าชีวิตดีขึ้น พบว่าอิ่มเอืบและมีความสุขใจ  น้ำนี้มันมีรสเหมือนหยาดน้ำตกมากจากสรวงสวรค์  ที่มีเทพเจ้าพระองค์หนึ่งทรงประทานมากับมนุษย์ "ที่คิดได้คิดเป็นและกล้าดื่มกินมัน"