วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
ปูจิโอคนถางป่าในเวบDek-D. com
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
"ท่อม "นวนิาย"และมหากาพย์"เรื่องคนถางป่า"ที่เด็กดี.คอม
คำว่ากัญชาภาษาอินเดียเขียนว่า(गांजा) (ganja)
กระท่อม ภาษาจีน 小屋 อ่านว่า
กระท่อมพืชMitragyna speciosa (Korth.) ที่องค์การสหประชาชาติมีเรื่องนี้อยู่ ท่าทีของสมาขิกบางแห่งควบคุมบางแห่งควบคุมพิเศษบางแห่งไม่ควยคุม
คำว่ากระท่อม
ใน
ตอน5กระท่อมกัญชา
คนถางป่าภาค3ตอนที่94 กระท่อมกัญชา(2743)
กระท่อมกัญชา
แต่กระท่อมมนตอนนี้ผมหมายเอา(hut -shelter) ด้วย
ผมมีบ้านกระท่อมสองหลัง ซื้อมา
หลังละ 70,00จากเงินขายมรดกแม้ผทจะจน
แต่ เพื่อไว้ทุกข์บรรพบุรุษ และเจ้ากรรมนายเวร มี่ปู่ทวดและยายเป็นต้น ผทจึงกล้าทำ
โดยหลังหนึ่งอุทิศให้ผีทวดมานอนเล่นถ้าท่านๆอยากมากันคือเจตนาจากใจผม
หลังหนึ่งอุทิศให้ยายเพราะท่านทำคลอดผมวันผ
มเกิด
ประกาศงดให้ใครใช้หรือไปเล่นตามที่ค่า"วี" จะพึงมีในสังคม
คนทั่เล่นได้"เว้นผี"นั้น
อนุสนธิ กระท่อมชื่อตอนนี้เปฌนชื่อกระท่อมคนนอนได้แต่มิใช่พืชกระท่อมที่เคยมีโทษ
แต่ทว่าผมแรกเริ่องพืชกระท่อมด้วยเพราะว่ามีประเด็นดังๆเกิดขึ้น
ขณะเสนอนิยาย"คนถางป่า"นี้ขึ้นแท่น
เหตุผลเถื่อนๆ ถามว่า
เมื่อผมจนทำไมถึงทำกระท่อมได้
คำตอบมีว่า
เพราะผมถือว่าบุญพระคุณมีค่
ทางใจและก็ทำเพียงครั้งเดียวในวาระเดียว เงินถ้าใช้ประโยชน์อย่าอื่นเช่นลงทุน มันก็ไม่ทีค่าทางจิตใจอะไรมาก สรุปค่าทางจิตใจ
สำคัญกว่าผมถือว่ามันเป็นพลังใ
ห้เกิดมีกำลังใจให้ทำสิ่งออื่นตามมาด้วยความเชื่อมั่นได้นี่คือปรัชญาของผม"จบ"
ที่วังเวงผมประสบภัยดังที่นิยายเล่ามาแม้ดูสมจริงแต่มันก็คือนิยาย
ในตัวมันเองและมีฉากทัศน์เป็นสารคดีประกอยก็เพียงทำให้นิยายมีชีวิตขึ้นเท่านั้น ผมมิได้มิได้เจตนาหวังผลประโยชน์แอบแฝงแต่ประการใด เพื่อให้คนติดตามสนใจงานมหากาพย์คนถางป่าเพิ่มขึ้นก็หาไม่ "ผมขอสารภาพและยืนยัน"
แต่"มหากาพย์"ที่วังเวง
เรื่องคนถางป่าที่เกิดขึ้นเขียนนี้ เพราะแจ้งเหตุให้คนระวังตนเองมีชีวิตเป็น
เหมือนกับว่าทางรถวิ่งที่มีที่มีหลุมลึกแต่มีน้ำคึงปกปิดหลุมไว้
มีทางหลวงๆจึงส่งเครื่องหมายเตือนไว้กันคนไม่รู้มาประสบพบอุบัติเหตุได้ฉะนั้นเป็นการเปรียบเทียบ
สอง!เพราะผมเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาและได้ขึ้นถึงหลังคาโลกและ"ผมมิใช่นก" เหตุอุบัตินี้นั้น"มันแปลกยิ่งนัก"มากนักและประกอบกับมันเกิดขึ้นกับฉากทัศน์จากตอน "ผมหนีพ่อไปหาแม่จาก"พุนพิน"เป็นปฐมเหต
และ"ผม"คำนี้เเป็นชื่อพระเอกมิใช่ชื่อสรรพนามแทนตัวจากผู้เขียนนิยายเพราะนิยายนี้ยาวกว่านิย่ยไทยฉบับ"เพชรพระอุมา"ของ"พนมเทียน" ตามที่ผมตั้งใจ
ผมเขียนไม่ไหวชื่อพีะเอกทันยาวและมันจะพบทุกบรรทัดทุกระยะในนิยายในบทบาทและหน้าที่ของพระเอก
สาม!
ผมมองว่าา"จิตนิยมและวัตถุนิ
ยมเป็นวิทยาศาสตร์หมดอัน
เป็นมุมมองอย่างถ้วนทั่วของผ
มเองมิได้คิดโต้แย้งความคิดหลักอื่นใด เพราะว่าเดิมทีมนุษย์
เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแต่ต่อมามีนักคิดพบใหม่
ว่า :ทุกชนิดเป็นบริวารของดวงอาทิตย์"เป็นและใช้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน อันนี้นับจาากยุคปโตเลมีมาถึงยุคกาลิเลโอและเคปเลอร์
แนวคิดแปลกไปอันเป็นทุมมองขอวผมนี้
นี้ที่ทำให้ผมตกรีไทร์มหาวิทยาลัยปิดวิชาวิทยาศาสตร์ถึงสามครั้
งแต่ผมสอบผ่านครั้งที่สี่และผมจบรับปริญญา(B.A. =Bachelor of Arts) แม้อาจจะมิใช่ประเด็นนี้
แว่นตาของผมกระเด็นลงกลางดงป่าวังเวงที่ผมไปถาง
เหมือนฉากหนังตอนสงครามเกิด
แว่นตาทหารหมอหล่นลงกลางทุ่งหิมะขาวขณะเหตุร้ายขอวสงครามกำลังเกิด
"ผมสะเทือนใจถาพนี้"ตอยผมดูหนัง
และมาบัดนี้ความทรงจำวนั้นๆได้มาเกิดและได้เกิด"มันเกิดกับผมเอง"
ผมจึงรู้ว่าสาเหคุแท้จริงว่า มันเกิดเพราะแรงเหนื่อยและแรงบาก
บั่นอย่างยิ่งยวดของมนุษย์สวมแว่นตาทำงาน
จึงทำให้แว่นตาผมกระเด็น
กระดอนจากเบ้าตาสองข้างที่ผมสวมใส่ มันมิได้เกิดเพราะแว่นตาผชำรุดในตัวมันเอง "เพราะเก่า"
ผมพบว่ามิใช่แว่นตาผมชำรุดแต่เพราะปัจจัยบางอย่าง
แว่นตาผทจึงหลุดออกมาจากเบ้าตาที่แว่นตาสวมใส่
และบัดนี้มันแตกหัก
และหักชำรุดจนสวมไม่ได้ และมันเป็นแว่นที่ต้องใช้เจักษุแพทย์เท่านั้นทำ
ให้ต้องวัดสายตาก่อน
มันจึงซ่อมได้มันมิใช่แว่นตาสวมเล่นทั่วไปตามตลาดนัด
"ใช้" มันหลุด" ผมคิดถึงกฎนิวตัน(Newton) ขึ้นมาทันที
แต่ผมไม่ขออธิบายตอนนี้ เพราะมิใช่ขั่วโมงที่ผมจะมาให้เหคุผลทางวินาศาสตร์ให้คนอื่นเข้าใจง่ายได้ในชั่วโมงอ่านนิยายของคน
แว่นมัหลุดจนใช้การมิได้นอกจากช่างซ่อม "ผมคิดถึงความตายทัน
ทีเมื่อแว่นตาหล่นหักแตก"ในวันนั้นตอนเที่ยงวัน ฤดูฝน
ตอนนี้ ตนเองรู้ว่าแว่นตาผมต้องใข้มันเพราะผมเป็นโรคสายตายาว
จากเดิมที่คืดว่าความสำคัญ
กว่า"มีดเคียวงอ"นั้นไม่มี
ที่ผมถางป่าอยู่นี้
จากเดิมที่ผมเคารพความคมของ
มีดเคียวงอ ผมก็จบลงไปทันทีหลัง2ปีผผ่านในการถางป่าให้แม่ผมเพื่อการรำลึกถึงความหลังของแม่ผม
มันน่าเบื่อถางป่าาตั้วนานไม่เสร็จง่าย คำตอบคือมิใช่ผมจะขายชีวิตประจำวันและบันทึกอดีตหรือรัย!
แต่นี่เป็นมหากาพย์จริงๆ
เป็นนิยายจริงๆ
ให้มันจบๆคิดลงทุนเลยง่ายมาก
จำนองสวน2ไร่ได้เงินมาลงทุนไถปลูกอะไรสักอย่างจ้างคนมาทำ
งบใช้เวลาเท่าไหร่รอเก็บกิน
จ้างนักวิขาการมาดูแลส่วนสาระ
ตลาดขายการบำรุงรักษาสมมุติว่า
กัญชาหรือกระท่อมๆปลูกครั้ง
เดียวกินขายไปจนตาย
กัญชา"गांजा" (ganja)อินเดียปลูกต้องเปลี่ยนปลูกใหม่ทุก6เดือนแนสสับปะรดอันนี้ตัดไปผทต้อวการทำครั้งเดียวแล้วไม่ต้องทำอีก
ขณะที่ฝ่ายเอยังทำสงครามกับชีวิตผมอยู่ นางเอกของผทบอกว่า
ขายแล้สไปหาที่ใหม่ คำตอบคือ
ฝ่ายเอทุกหย่อมหญ้า ที่เราไป
เหมือรเรามีอุปสรรคชีวิตเรื่องงายกินอยู่หลับนอนร่ำไปไม่มีสิ้นสุด
"ทันทีที่ผมพูดจบ"
นางเอกบอกลาผม"ไปนอกเยี่ยมแม่และพักผ่อนเป็นเวลานาน"
ไม่กลับมาอีกใช่มั้ยผมถาม
เธอตอบว่า"กลับมา"
เธอย้อนถามผมว่า "ถามทำไม"
ผมตอบว่า"คือถ้าไม่มีอะไรสนใจอีกเราไปจดทะเบียน"หย่าขาด"เลย
จะได้ฟรีเสรีชีวิตอิสระต่อกันได้"
นางเอกตอบว่า"ขอคิดดูก่อน"
ผมไปส่งเธอขึ้นสนามบิน
นางเอกผมคนนี้
"เธอเป็นคนลูกครึ่ง"
ไทย-เยอรมัน
ผมพบเธอครั้งแรกที่ (At the counter of the hostel for YMCA near Shepherd Bush London.
ผมเริ่มคิดมาทำเป็น "Animal Farm" ให้กับตนเองเมื่อนางเอกคนนี้ลาไปพักเหนื่อยจากชีวิตรักสมรส
ชั่วคราว
ตอนอยู่ออกร์ฟอร์ดในสมัยหนึ่ง ยุค"หนุ่มหน่าว" นางเอกอีกคนหนึ่งของผมยื่นหนังสือเล่มนี้มาให้ผมอ่านแต่วโดยGorge Orwell นายทหารอังกฤษในพม่า
ผมชอบเมื่อ่านเสร็จ
คือผมมีมุมมองหลังวางหนังสือเล่มนี้ลง
ว่าหมูหม่แมวเป็ดไก่ในบ้านที่วังเวงเรานี้มันด็เหมือนขีวิตเพื่อนร่วงผมโลกผมนั่นเอง
มาที่แมว "เหมียว"ของผมมันชอบกินลูกไก่แจ้ของผม"จากแม่ไก่4 ตัวพ่อไก่แจ้1ตัวตัวพ่อผมซื้อมาจากชายแดนพม่า(เมียนม่า) ผมจับได้ผมทำโทษชนิดใฟ้เข็ดหลาบ
หมาแมวชื่อเหมือนกันหมด(เหมียว)
มัาชอบคุ้ยกระถระถางเพาะชำ
ปลูกผักไว้กินของผม
ผมไม่ทำโทษมันแต่แสดง"อาการไม่ชอบ" ให้มันเห็น ถ้าพบทันทำ
แต่ผมต้องทำรั้วทำเครื่องครอบหันไว้อย่างดีก่อนทำกระถางลงเมล็ดผักก่อนมิฉะนั้นปัญหามีแน่นอน
แดดน้ำสำคัญผมจะนำกระถาง
ย้ายไปย้ายมาได้
เราจะปลูกแบบลงดินเลนเหมือนแย่ก่อนนี้แล้วมาดูอย่างสมัยก่อนนี้เศรษฐกิจแบบครัวเรือน(household economy) มาถึงสมัยเศรษฐกิจแบบเงินตรา (money system)"เราทำไม้ได้อีกแล้ว"
ผมปรับเปลี่ยนหมูและวัวผมยังไม่คิดตอนนี้ผมจพเลือกแพะ
แต่ตอนนี้ผมมีแมวกับหมาเป็นชีวิตครัวเรือนอยู่แบบพี่น้องแบบคน
พบว่าหมาแมวเขาขอกินอิ่มแล้วไท่กวน
หมาเฝ้าบ้านแมวเฝ้าระวังหนู
แต่ก่อนบ้นวังเวงไม่เคยเลี้ยงอะไรทั้งสิ้นนอกจากปาล์มะพร้าวอย่างเดียวยุคตามีชีวิตอยู่
มาที่เหมียว"น้องหมา"ของผม
มันตายลงเพราะ"ฝ่ายเอ"ทำมัน
มันถูกรถขนท้าย
เหมียวมันบอกผมว่าเจ็บมาก
ผมพยาบาลมัน
อยู่หลายวันจนตายมันชอบให้ผมก่อไฟให้มันๆชอบนอนผิงไฟในเวลากลางคืน
มันตายต่อมาศพมันผมฝังไว้ที่หน้าอนุ
สรณ์าถานของแม่ผมปักธูปไว้ทุกข์ให้1ดอก พร้อมปลูกต้นชมพูหมาเหมียวผลสีแดง1ต้น บนหลุมศพ
โรยยากัาปงสกกินรากนิดนึง
ประเด็นหมานี้ฝ่ายเอเขาไม่ชอบมัน
เพราะหมาจะเห่า
เมื่อฝ่ายเอมากวน
และถ้าทำให้มัรเจ็บมัน จะทำให้ผม
มีการเงินแย่ลงอีก นี่คือสิ่งที่ฝ่ายเอมุ่งหมายในการทำลายผม "หลักๆ"
ก็หมาตัวพยานรู้เห็นเพิ่มเติมนอกจากกล้องวงจรปิดของผม
ที่จะพยานความมืดทุกอย่างได้
เพราะว่าทุมมองของผม
ที่วังเวงโดยเฉพาะได้รับการเสี้ยมสอนมาจากฝ่ายซ้าย
ให้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก
คือเขามีปรัชญาว่า"ทำผิดอะไร
ถ้านอื่นไม่เห็นก็ไม่ผิด"
"ผมไม่เห็นด้วย"วิธีนี้ขาดค่า"วี"
ตามปรัขญาของผม
สรุปทุกคนที่วังเวงผมตีความว่า
กลางคืนเขาคืออสูรกายเลวทราม
เห็นผิดเป็นชอบ
แต่กลางวันเขาทุกคนแสแสร้งเป็าพระอินทร์หมดคือทำเป็นให้ดูดีตามที่สังคมทั่วไปกำหนด
ผมรู้เรื่องนี้ดีผมจชอบทำแผนซ้อนแผนเพื่อจับคนผิดแต่สันดานผม
ไม่เป็น
แต่ฝ่ายเอนั้นเขาจะทำเป็นสันดาน
เลยทีเดียวแม้ในภาวะมโทัศน์สงครามหรือไม่สงครามก็ตาม
คือ "ฝ่ายเอจะคิดว่าเอาฃนิดกูได้กินได้ใช้เป็นสำคัญ
เรื่องอื่นกูไม่สน"
นี่คือประเด็นเกิดสงครามสองค่าย
ของฝ่ายเอและฝ่ายเอมขึ้นมาในนิยายนี้
มนภาวะสงครามความเลวอาจถฟุกสร้างเพื่อชนะสงครามได้ แต่ทหารฝ่ายเอยึดสิ่งนี้เป็นมโนคติของตนเองแม้ในภาวะสันติภาพแอบแฝงหรือไม่เขาก็ทำ
ที่ไม่เป็นภาวะที่ประกาศสงครามก็ยังทำอันนี้มุมมองของผมถือว่า
"ผิด"จึงได้เกิดนิยามฝ่ายเอนี้ขึ้นมา
เพราะปรัชญา
ในข้อที่ว่า"ธรรมย่อมชนะอธรรม" เพราะธรรมไม่ให้ความเจ็บปวดกับมนุษย์ทั้งในอดีตและอนาคตเท่าอธรรมได้
คือที่ผมเคยอ่านและฝึกกาเรียนรู้มาอย่างนั้น"ที่ผมเข้าใจ"
ผมถางป่าไปกับมีดเคียวงอให้มันทำไป
ตามที่ใจและมือผม
ที่ใช้มันอย่างไม่สะดุด แม้ยุคเหล็กผ่านไปในแล้วมีดงอเคียวของผมทำจากเหล็กเหมือนที่ยุคเหล็กเขาพบเหล็กมีประโยชน์อย่าวงที่มันเป็นมา
แต่บัดนี้เมื่อ"แว่นตา"ผมเสีย
ผมจึงต้องหยุดทุกอย่างเพราะผมจะมองอะไรเป็นสาระไม่เห็นอะไรชัดๆเป็นสาระอีกต่อไป
จนกว่าผมจะนำแว่นตาไปซ่อมที่ช่างประจำของผม
ที่โรงซ่อมซึ่งห่างอยู่ไกล
ถึง150กิโลเมตรไกงจากวังเวง
(หมายเหตุบ้านวังเวงนี้เป็นนิยายมิได้หมายถึงหมู่บ้านวังเวงที่ปรากฏจริงตามแผนที่โลก)
อันความจริงขความสำคัญว่าอะไรคสรมาก่อนอะไรคสรมาหลัง
เมื่อผมหวนคิดคำนึงถึงปรัชญาแห่งมันๆแล้ว
ฉะนั้นตอนนี้
ที่โรงขายแว่นตามันคือ โรงพยาบาลที่สำคัญในชีวิตผม แต่นั่น
มัน!
ผมแต่ก่อนนี้เคยเรียกใช้อาหารสมุนไพร
กระท่อมและกัญชา มันยากเย็นก่อนจะได้มาเพราะมีข้อห้ามมากจนห้ามสนิทเหมือนต้นฝิ่นตอนนี้ในไทย2565)
แต่ตอนนี้2565ผมเรียกมันว่า ทศวรรตที่70ของผมเอางั้นเลย
พืชกระท่อมและพืชกัญชารัฐบาลไทยอนุญาตให้ใช้เสรี
ไม่ต้องกลัวตำรวจกลัวกฎหมาย
อีกต่อไป"เรา" หลังรัฐบาลประการศปลดล็อกมันแล้ว
เราไม่กลัว
ไม่ว่าโดยรีดไถจากตำรวจปลอมหรือใครหรือสา มันจึงเหมือนข้าวสารารที่เราจะกินมื้อต่อๆไปทุกวันนั่นเอง
สืบใดๆ
ยาเสพติดตัวนี้มิใช่สิ่งเสพติดอีกต่อไป
แต่ต่อมาผมพบว่าตอนนี้ผมไม่จำเป็นอาหานสารสมุนไพรบำบัดชนิดนี้อีกแล้ว เพราะ"ผมหายแล้ว" และผมพบว่า พอรัฐท่านปลดล็อกแล้ว
มันก็เป็นพืชที่ยิ่งหายากขึ้นไปอีกตอนนี้ เนื่องจากว่าเขาขายหมด ส่งนอกหมด
"กัญชาไทยเป็นกัญชาที่รสดีที่สุดในโลก"เขาว่า"
ตอนนี้ของนิยายที่ผมเขียนไว้ก่อนที่พืชกระท่อมและพืชกัญชาจะเปิดเสรี
แต่เขียนไม่จบทิ้งไว้เสียหลาย
วัน
เวลาผมปรับปรุง
ผมจึงงดเว้นทำเปลี่ยนมันเป็น"กระท่อม"ชนิดที่สื่อว่า
"บ้านกระท่อม"ชนิดคนอยู่ได้จากชื่อเดิมว่าตอนพืช"กระท่อมกัญชา"
ผมจำได้ว่าพืชอันนี้ใครทำผิดทั้งคู่
ตำรวจเขาจับไม่ไว้หน้าที่บ้าน
วังเวง และโทษหนักมากขนา
ดให้เจ้าหน้าที่มาทำลายทิ้งถึงบ้านพักและในสวนเลยทีเดียว
เพื่อนผมคนหนึ่งทำประมงออกเรือทะเลปลูกกัญชาด้วยสูบด้วยขณะออกทะเลเพื่อนคนนี้เคยเป็นนักเรียนประชาบาลคนนี้ผมรู้จีกชื่อ"หมัด"เขามาจากเรือนคนจนแต่ผมมาจากเย้าคนรวย
มันชื่ออ้าย"หมัด"ผมจำได้แม่น
ร่างมันอ้วน
บุคลิกของมันใครใดๆเห็นสารรูปมันรู้เลยว่ามัน"ติดกัญชา"
ถ้าใครเห็นมันน่
แต่น้อยคนจะได้เห็นมัน เพราะกลางคืนมันไปออกทะเลหาปลากลางวันมันนอน มันได้เมียชาวเลมาคนหนึ่ง
ติดกัญชา เลยตามอ้ายหมึกมันมา
ผมเคยพูดด้วยเมีตอนผมไปตีต่อหลุมกับผู้ใหญ่บ้าน
เมียของอ้สยหมึกมันคนนี้
"หล่อนตาดำเนื้อดำฟันขาวจั๊วคนเงียบขรึมไม่ค่อยจะอาบน้ำ หุ่นดีสวย"
ต่อมาอ้ายหมึกถูกจับติดคุกเพราะค้าและปลูกกัญชา ผมเคยไปเยี่ยมเขาที่คุก
คือมันปลูกแล้วพาไปขายเพื่อนทำเรือด้วยกันราคาดี "คนเลที่อ่าววังเวงบอกยืนยันว่า"กัญขาสูบแล้วกันเมาคลื่นทะเลลึกได้ดี
และมันได้อารมณ์เมื่อจะนอนกกับเมีย"วางั่น" แต่นางเอกผมเกลียดสิ่งนี้ "เพราะกลิ่นตัวเหม็นเขียว" "เธอว่า"
หมึกถูกจับคือมันค้าและส่งไปนอกด้วย
สมัยยุคต้นๆผมเรื่องกัญชานี้คือ
เขาไม่จับบ้าง
และมีจับบ้างไม่ชัดเจน
เพราะผมอยู่มนถิ่นทุรกันดารมาก่อน
และมารัฐเขา
ไม่จับเมื่อพ.ศ.2565นี้ละ!
รวมสามสมัย
ตอนนี้ฟรีแล้วปลดล็อค
คือเสรี
ผมเห็นเขาปลูกกัน
ทันที
พอหาซื้อได้ตามตลาดนนัด
และทางเนตก็ยิ่งสะดวกมาก
แต่ส่ากว่ามันจะออกดอกนั่นยาก
และปลูกแบบมีงบอาชีพลงทุนคงรอดปลูกเล่นๆเหมือนสมัยก่อน
ตายหมด เพราะแมงแมลงอนุพันธุ์ใหม่ระบาดมากตอนนี้และแพงที่จะดูมัน
ตลาดเร็วแบะแรงมาเหมือน
มีแผน แต่เปล่าหรอก"ทางหากินสู้ชีวิต"" ผมว่าน่ะ"
มันมีเยอะและเยอะมากๆมันแพร่ระบาดเร็วมากบนถนนคอนกรีตๆ
จากแนวคิดเรื่องานแนวกึ่งบุปผาชนของ "รงษ์ วงศ์สรรค์(หนุ่ม)"
และจากทางเกวียนที่"หมึก"เคยไปแอบปลูกไว้
ต้นสองต้นตามถนัด
เขาทันสื่อกันเหมือนทำนายว่าได้เวลาปลดล็อกแน่! กำหนดวันโตวันเก็บได้ตามสูตรเกษตรพร้อมปุ๋ยและยากันแมลง แต่ก่อนไม่คิดเรื่องนี้
ชนิดอยากจะขึ้นก็ขึ้น! แบบเสี่ยงๆเอา!
สมัยก่อนแอบปลูกกัน ยากเย็นมาก " ผมดูแล้วขำกลิ้ง"
ทั้วตำรวจทั้งขโมย
พบว่าดินดีทำเลให้จะปลูกก็รอดสมัยก่อนแต่ตอนนี้ขอให้มีเมล็ดอย่าง
เดียว
ต้องคนมืออาขีพจึงจะรอดนะกัญ
ชา
ๆมันทำให้ฝันเคลิ้มลืมความทุกข์
และใส่แกงกินอร่อย อิ่มแล้ว หลับฝันดี บางครั้งออกหวย แต่ไท่เคยถูกกันเพราะมัน
สบายใจไป
แต่กระท่อมนั้นเช่นกัน
สมัยไม่จับ
จับ
แล้วไม่จับเช่นกัน
พบว่าคนติดกระท่อมจะไม่ติดกัญชาแต่คนติดกัญชาจะไม่ติดกระท่อม
กินใบแก่ๆรสขมนิดๆ
กินเขารูดแต่ใบก้านทิ้งแล้วหวนน้ำแต่ถ้าผมจะกินๆทุกอย่าง
กินแล้วขยันทำงาน
สายพันธ์ผมไม่เคยได้ยินในสมัยก่อน พึ่งมาได้ยินตอนยุคปลดล็อกนี้ละ!
กระท่อมกินแล้ว
สู้เแดดและเป็นยา
ผมมีคนรู้จักทำสวนได้หลายร้อยไร่คือเขาถางป่าจับจองที่ดิน
ทำทน!ทำนานต่อเนื่อง
!และมีอุดมการณ์เหนียวแน่นในการทำ"ผมพบ"
และเป็นผู้ใหญ่เขากินกระท่อม
ทุกวัน
กินมากกว้นละอย่างน้อย 20 ใบกินต่างข้าวเลย
แต่ไมพบผู้หญิงที่วังเวงกินกระท่อมคงจะรสขมผู้หญิงปกติไม่ชอบรสขมผมว่านะ!
บางคนเขากินจนลืมกินข้าว "ผมสังเกตเห็น"
แต่ที่ครอบครัวผมที่บ้านวังเวงไม่กินกระท่อมไม่ดูดกัญชา
และกินเหล้าและหมากสูบยามวนที่บ้านตาปลูกใบยาสูบแล้วมวนเอง
ปลูกพลูกินตอนยายมาอยู่บ้านวังเวงใหม่ที่แม่และพ่อผมออกทุน
สร้างให้จากเงินพ่อที่ได้ทุนมาจากการขายก๋วนเตี๋ยวที่พุนพิน
ตอนนี้ตาตายไปแล้วด้วยวัณโรคปอดเรื้อรัง "เชื่อว่า"ติดจากยุงขณะไปทำทางขึ้นเจดีย์ให้วัดป่าแห่งหนึ่งแบบอาสาในเมืองแม่อายเชียงราย เพื่อนมัสการพระธาตุ
หมาก พลู ยายผมติดและกินและเพื่อมีไว้รับแขก"มีเชี่ยนหมากโบราณ" ตาผมไม่!แค่สูบยาบ้างด้วยสูบใบยาสูบปลูกเองเอาพันธุ์มาจากทางเหนือ
นอกนั้นยายไม่นยุ่ง
ดูๆก็ไม่เหมือนกันที่บ้านวังเวงเพราะเพื่อนบ้านกินทุกอย่างแต่ไม่ทำเปิดเผยเท่านั้นเพราะตำรวจจับ
มีการต้มเหล้าเถื่อน!ตาผมจับได้และตาผมเป็นสายให้ตำรวจด้วย
น้าเขยผมคนหนึ่งทำพร้อมเมียแต่ถูกตาจับได้
ถูกตาตีหัวกระบานจนต้องย้ายเมืองไปอยู่ที่อื่น
น้าแก! ต้มเหล้าผมเห็นแกทำด้วยถัง
น้ำมันขี้โล้ขนาดใหญ่สีสนิมเหล็กเป็นเตาต้มทำกันที่บนเขาข้างบ้านวังเวงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือใกล้ที่สุสานตาตั้งอยู่ปัจจุบัน
ผมก็ไม่ยุ่งพวกนี้
อนึ่งผมเป็นเด็ก
แต่มาผมคือกาแฟชั่นเยี่ยม
และซิการ์มวนเองและซื้อ
และไวน์แดงผมชอบมาก
แต่พอจนหยุดหมด นุ่งลมห่มฟ้าและยึดติดกินปรัชญาเป็นอาหาร
พอมาปลดล็อคกัญชาและกระท่อม
ผมปลูกมันอย่าละต้นไว้เพื่อทำยาคราจำเป็นและสมัครทำอนุญาตที่เขาประกาศมาตามเนตที่สะดวกมาก
เพราะยาแผนไทยแพงขี้นแพงขึ้น จากฟรีๆเป็นเสียเงิน
และปลอมมาก
และทุรกันดารร้านขายยาดีๆ
ผมพบว่ากัญชาและกระท่อมปลอมยาก
นี้คือสิ่งที่ผมชอบ
ส่วนกระท่อมกินแก้เบาหวานได้
กัญชากินแก้ความดันและกินข้าวอร่อยที่มีแกงเป็นกับข้าว
แต่ผมเองไม่ติดสองอย่างนี้ จะติดแต่ความจริงและการถางป่า
และการเฝ้าระวัง"ฝ่ายเอ"บุกรุกทำสงครามชีวิตกับผมเท่านั้นตอนนี้
ที่ผมเฝ้าระวังอย่างจดจ่อ
หลังปลดล็อคกัญาและกระท่อม
พบว่าฝนตกมากและประจำ
แม้ยังไม่ทันข้าพรรษา
ก้าวต่อไปคงเป็นต้นฝิ่นตอนนี้ฝิ่นยังไม่ปลดล็อค
เขาว่ามีฝิ่นปลูกทางการแพทย์ที่ถ้ำเชียงดาวและมีผีเสื้อสมิงอีกด้วยแต่ผมไม่กล้าเข้าไปเที่ยวเพราะน่ากลัวและเขาว่าติดเขตมีทหารและ"ข้อมูลที่ผมได้ไม่ชัด" ผมจึงงดไปดู
ผมเคยเห็นดอกฝิ่นไม้แห้งประดับ"ผมชอบมัน" ที่ดอนปุย เชียงใหม่
ผมเห็นหมอเอามอร์ฟีนฉีดให้ผมตอนผมผ่าตัดมะเร็วที่ต่อมลูกหมากมันแก้ปวดดีชมัดและเชื่อว่ามันแพง ผมทราบว่ามีคนปลูกที่รับอนุญาตเพื่อทำการแพทย์
ตอนผมไปอังกฤษ
ไม่พบกระท่อมและกัญชาและมอร์ฟีนมีข่าวคนอังกฤษถูกจับเหมือนกัน
ผมไม่ยุ่งเพราะถ้าไปยุ่ง ถูกจับได้คือถูกลงโทษถึงขั้นส่งกลับบ้าน
ดีพอร์ตเตชั่น"deportation order"ทีเดียวเสียอนาคต
แต่ไวน์"wine"นี่ผมสะสมทุกชนิดมันถูกมากที่นั่น!ผมสะสมไวน์แดง"red wine และขาว"white wine"และชมพู"ross or pink wineมีด"mead"ไซเดอร์ "cider"วิสกี้"whisky and brandy cognac vat69"
ทั้งหมด ผมเก็บไว้จิบกินยามหนาวและเหงาและยามสมองเฉื่อยชา
ผมจำได้ว่าผมเคยพูดคำนี้ตอนผมอ่อนภาษาอังกฤษคือชื่อหนังเรื่อง
"Gone with the win พูดเป็นgone with the wine"นางเอกฟังผมพูดผิดเธอหัวเราะขำกลิ้งเธอเป็นนักเรียนเก่าสหรัฐฯขับรถฟอร์ดมัสแตง( Ford Mustang)"พ่อรวยเป็นเสรีไทย