วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดลิเทล15(7872) "อิดี"

                 
        ลอร์ดลิเทล15(7872)
                  ตอน"อีดี"
                  (7722)
      อีกส่วนหนึ่งของหนังสือปริศนาเล่มนั้นที่ปกมัน!แม้ชิ่อหนังสือ!มันก็ไม่มี หรืออาจจะขาดหายไป " แต่ลอร์ดมิคานก็ไม่สนใจ" เรื่องปกและชื่อของหนังสือมากนัก นอกจากเนื้อหาและสาระสะดุดใจเท่านั้น ที่อยากสะกดตามว่า"มันมีอะไรน่าสนใจ"กับความเป็นไปของโลกภายนอกตัวเองในปัจจุบัน

        เมื่อลอร์ดมิคานพลิกกลับกลับมา  ที่ชิ้นส่วนของหนังสือจากที่ลอร์ดมิคานไปพบมา

มันไม่น่าขะทำตกหล่นในเทือกเขานี้เนื้อที่เทือกเขานี้มีตตั้ง1,000 เอเคอร์ สงสัยว่าจะเป็นงานจารกรรมชีวิตอัปยศของลอร์ดมิคานจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ว่างงานทำก็ได้หรือ ใครบ้านึกสนุกขึ้นมาจึงทำอย่างนั้น เพราะที่เขามีเทศบัญญัติว่า"เทือกเขานี้"ห้ามทิ้งขยะเป็นกฎหมายมีโทษหนัก""

      ที่จริงตาม ประวัติของลอร์มิคาน"ห้ามเปิดเผยคนอ่าน"ที่"หอแอกชีพประชากรศาสตร์"ของเมืองมิคาน"(archivedpopulation house science)อีกด้วย ชีวิตจริงในส่วนตัวมีสถานะมั่นคงมาก  แต่ไม่ยึดติดกับค่านิยมทสงสัตถุเหมือนใครอื่นเช่นใช้บัตรเครดิตธนาคาร เป็นต้น

       ท่านมีปราสาทของตนเอง อยู่คนเดียว เดียวดาย มีมรดกเป็นบุตรคนเดียว มีการศึกษา แต่ชอบใช้ชีวิตในนาม ชอบเป็นคนสามัญวิสัยชอบเป็นลอร์ดนิรนามชนิดนอกทำเนียบลอร์ด และไม่ชอบแสดงตน ชอบแสดงตนเป็นแทรมป์  (tramp)อย่างเจ้าชายกระบี่ไร้เทียมทานงั้น

     มีกลุ่มอนุรักษ์บางกลุ่มไม่เห็นด้วยและค้านต่อสถาลอร์ดแห่งมิคานแต่ถูกปัดตกไป เพราะอีกฝ่ายถือว่า"เป็นปรัชญาชีวิตของปัจเจกชนที่หายาก  และน่าศึกษามากกว่าชณะทีทสัวคมเกิดความเหลื่อมล้ำทสงชนชั้นวูงมากขณะนี้ที่เมืองมิคาน ปู้ที่ไม่เห็นด้วยอาจจะเป็นฝ่สยที่เสียผลประโยชน์อย่สงลับๆหรืออย่างเปิดเผยก็ได้  เพราะลอร์ดมิคานไม่ยอมเซ็นเอกสารใด ให้ใคร อะไรอีกที่เป็นนิติกรรมสัญญาผูกมัด  หลังท่านพ่อของลอร์ดมิคานคือดุกส์เควิน( Duke Kevin) เสียชีวิตลง

          หรือ"หน่วยจารกรรมอาสาพิเศษ" สนใจลอร์ดมิคานด้านพฤติการณ์กรรม มาหากินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟตลอด เหตุชวนสงสัย ในเวลานั้นซึ่งมันแปลกมาก (weird)  จึงทำทีทำหนังสือขาดวิ้นหล่นไว้ที่ทางเทือกเขาโอเฟที่ลอร์ดมิคานเดินมาทุกวัน "เมืองโอเฟและเมืองมิคานและเมืองโนวา"มีพรหมแดนใกล้ๆกันแต่ในมุมกว้างและไม่สามารถเดินติดต่อกันได้สะดวกนอกจากเรือเฮลิคอปเตอร์(helicopter )เพราะ แต่ละเมืองมีแต่หุบเขามากมาย

   ฉากทัศน์ต่อไป  มาที่อีดี     อาการของป่ากูดี้มันเป็นเช่นนั้นคือชอบนุ่งผ้าบางๆแนบเนื้อฃอยตัวพลิ้วง่ายแบบปล่อยๆตัว ในบ้านหลังสามีคือพันต่ีมิค็อกตายลง  แกชอบเปลือยกายอยู่คนเดียสเสมอ แต่ปลอดสายตาคน เพราะป้าก๊ดี่มิๆด้เป็นเอกบิขั่นนิสต์(exhibitionist) =คนชอบเปิดเผยแสดงตนองแบบเปลือยๆแต่เป็นศิลปะ)

        ตอนเกิดเหตุ"อิดี"ปล้ำเธอนั้น เพราะ"อีดี"ตายใจ คิดว่าป้ากูดี้รักและชอยต

นในมุมมอง" แฟนซี ยู"(fancy you)

      ป้ากู้มั่นใจว่า "คนหลวไหลเท่านั้น ที่ใครอยากที่จะมีเพศสัมพัทธ์กับคนแปลกหน้า โดยไม่มิได้บอกล่วงหน้ามาก่อน "

      แต่ฉันจะไม่คบชู้กับใครอื่นอีก"ในใจของป้ากู้ดี้กำลังพูดตอบโต้กับอิดี ผ่านทางสายตาอันแข็งกร้าวและมีนัยตา"สีฟ่าหม่นป็นประกาย"อย่างเขียวปั้ด เหมือาตาเทพเจ้ากำลังดุและกำลังตะเพิดพวกพญามารเข้ามารบกวนลักพานางสนมของพระองค์ และกำลังหมมิ่นเหม่ต่อการถูกรุกรานอาณาจักรของพระองค์กระนั้น

         "อิดี"หน้าซีดเผือดสีหน้าฝาดเผือดเป็นสีเหมือน"ถั่วลิสงต้มสุกแกะเปลือก"  ทันทีที่ได้ยินหลายประโยคนั้นๆ

         และ"อิดี"ก้อไม่กล้าสบสายตากกับป้ากูดี้อีกเลย ถ้าจอนนั้นป้ากู้ดี  มีปืนอย่ในมือ  เธอคงยิงไหล่หนือบ่าของอิดีให้บาดเจ็บล้มลงแน่นอน (ปกติปืนอสตร้า.22(Astra. 22)ของป้ากูดี้มีจำนวน 1 กระบอกบรรจุกระสุนเต็มแมกาซิน(magazine) ตลอดเวลาพร้อมปลดล็อกเพื่อยิงป้องกันตนเอง

         ปืนนี้มันเป็นมรดกตกทอดจาก พันตรีมิค็อก แต่บังเอิญวันนั้นอยู่ที่ห้องนั่งเล่นห่างจากห้องนอนที่ชำรุด)สำหรับป้องกันตัวยามมีภัย อิดีจึงโชคดีไป

       " อิดี"ตอนนั้น แทบจะเอาหัวมุลงดิน  ตรงที่เกิดเหตุนั้น!  "แม้ผัวฉันจะตายไปแล้ว"

ป้าจูดี้ยืนกรานในความคิดที่ค้านอย่างแรงกับการกระทำของอีดีแบบนี้"การปล้ำและโอบกอดผู้หญิงด้านหลังแบบนี้แล้วใช้นิ้วมือ  จับผู้หญิงอย่างฉันขยี้บี้นมฉัน "เธอคิดว่าฉันจะเงี่ยนกนะสันต์นะ!"
เธอฝันไปหรือเปล่า

        "ที่ฉันไว้ใจอกเพราะเห็นว่าแกเป็นคณะของคนรับใช้ฉันนะ!  แม้วันนี้ ฉันจะนุ่งผ้าหลุดลุ่ย  กางเกงลิฉันก็ไม่ใส่นั่น! มืใช่ยั่วแกน่ะบอกก่อนนะอ้ายอิดี!  อ้ายพ่อหนุ่ม
          "ป้ากูดี้ สำทับตนเองว่า" ทำแบบนี้นั่น!มันเป็นวิสันของพวกโรคจิต หรือพวกกามวิปริตมีรสนิยมทางเพศแบบชุ่ยๆ น่ะ" ถ้าเธอเงี่ยนเพราะเหนื่อยมาก แกก็น่าจะบอกฉันตรงๆ !ฉันจะได้ให้เงินแกไปเที่ยวปล่อยอารมณ์ให้พอใจ ในที่เขามีผู้หฐหญิงแบบนั้น  แต่ในการทำแบบนี้มันไม่เหมาะ ทุเรศมากน่ะ!  เธอน่าจะสุภาพและเป็นคนกว่านี้
          ตอนนั้นพอเวลา เมื่ออิดีได้โอกาส อีดีจึงโอบกอดปล้าป้ากูดี้ ซึ่งป้สกูดี้ เธอนั่นสวยขาวนมยังเต่งตึ่ง อายุก็ยัวน้อย ไม่สมชิ่อที่คนทั่วไปเรียกสมญานามว่า"ป้ากูดี้" และสามีเธอตายไป5ปีแล้ว ใครเห็นาภาพนี้ ก็นึกว่าเธอนั้นเหงาอารมณ์ทางเพศเต็มที่แล้ว
         "ฉันไม่ใช่คนแบบนี้น่ะ" อนึ่งฉันมีเพื่นรู้จักเป็นท่านลอร์ดท่านหญิงก็หลายคนในชีวิตฉันๆจะไม่ให้ท่านเหล่านั้นเสียเกียรติท่านเพราะการกระทำขอวฉันเป็นหญับอกกอก
"อ้ายบ้า" ป้ากูดี้ด่ามันอยู่ในใจว่า:-
       "ฉันเสียใจมาก  ที่ไว้ใจมันเข้ามาทำหลังคารั่ววที่ชำรุดคาราคาซัง เพราะกิ่งไม้แห้งหล่นทับเมื่อคืนวาน  มันก็ใกล้จะเสร็จ มันป็นที่ห้องนอนหลังคาบ้านในยามวิกาลแบบนี้ และเห็นว่ามากัย"คนเดียว"ถ้ามากันหลายคนฉันก็คงไม่อนุญาตเธอเข้ามาทำแบบนี้หรอก
        วินาทีนั้น  ผลปรากฎว่าป้ากูดี้ได้ต่อสู้ขัดขวางไม่ยอมให้เจ้าอิดีนายช่างจำเแนเฉพาะกิจเล็กน้อยนี้
       " มันทำให้เธอตกใจมาก""
        จากมือกำยำสกปรกปูนซิเมนต์  ที่เอื้อมเชิงกอดปล้ำ ลวนลาม โดยมาบีบคลำหัวนมเธอแบบนี้ ที่ เธอไม่ได้สติและไม่ได้ตั้งตัวทัน และเตรียมตัวเตรียมใจมาแบบนี้" เธอคิดต่อไปอีก แบบพูดเองตอบเอง" นี่ดีน่ะฉันรูปร่างสูงสะโอดสะอง
         ฉันเป็นคนมีเนื้อมีแรงเพื่อเล่นยูโด(yod o =สำเนียงญี่ปุ่น) ได้ การต่อสู้ถ้ามีฉันป้องกันคนเองได้
         ยิ่งเจ้าอีดีนี้ตัวเตี้ยอย่างนี้  ยูโดสายดำอย่างฉันนี่"เธอหลังหักแน่ ถ้าฉันทำ"" อนึ่ง ถ้ามีเหตุร้ายแบยนี้เกิดขึ้นมา ถ้าเป็นข่าวไม่ว่าคนฝ่ายใดจะได้เปรียบเสียเปรียบ  "มันก็ขายขี้หน้าเค้าทั้งเมือง"เมื่อพากข่าวหน้าแรกในหนังสือพิมพ์ปรากฏขึ้นมา"ฉันไม่ชอบตกเป็นข่าวแบบนี้ นอกจากคำประกาศของศาล"
         และนมเธอก็แข็งตลอดไม่หย่อนยานนับแต่แต่งงานมาเ ป้ากูดี้จึงมีร่างทรงเซกซี่(sex s y )ไม่เหมือนคนทั่วไปหลังแต่งงานแล้ว  ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร  และสาเหตุหนึ่งคือคงจะ เพราะพันตรีมิค็อกไม่เคยจับนมเธอบีบคลึงขณะร่วมเพศกับเธอสักครั้งเดียว จะมีก็เพียงดูดอย่างเด็กทารกทำ
          อันนี้แม้จะแต่งงานและร่วมเพศเปิดพรหมจรรบ์แรกแห่งชีวิตของททั้งสองมา  ที่มีอะไรกันตลอเวลากันอย่างผัวเมียตามปกติ
           ถามเรื่องนี้ว่าใครบอกรู้ได้งัย! หรือนิยายเอาเองแบบมีอคติและมีการเมืองลี้ลับอะไรแอบแฝง.
            คำตอบคือ""ความลับจากบันทึกในมือถือที่เธอคุยสารภาพกับเพื่อนเก่าๆของเธอเอง
            หลังแต่งงานที่ป้ากูดี้พรรณนาเปิดใจออกมาหมด  เและเธอก็ไม่คิดว่าเพื่อนเหล่านั้นจะกดบันทึกการสนทนาทั้งหมดเอาไว้ (เพื่อนสนิทกลุ่มเธอสมัยโรงเรียนคือ"เคล-เดซี่-อีลา" จากโรงเรียนมัทธยม"สโนลา"เฉพาะเพศหญิงเท่านั้น(single sex school))เมื่อป้ากูดี้ถูกเพื่อนเก่าสมัยโรงเรียนถามมา เพราะป้ากูดี้เป็นสมาชิกเพื่อนในเซตรายแรกที่แต่งงาน  ก่อนเพื่อนทั้งหมดในเซตเดียวกันนี้ของโรงเรียนนั่นเอง
            บันทึกนั้นเมื่อถึงจุดพีค(peak) คือเมื่อตอนถึงจุดพีคที่เพื่อนเก่าที่อ่อนโลกมากถามมาคือ
           "คืนแรกที่แต่งงานทำงัยบ้าง "ต้องคลุมโปงแก้ผ้าเปลือยเปล่า และปล่อยเนื้อหนังมังสาสู้แสงไฟห้องนอน และฟังวิทยุไปพลาง ทำงัยบ้าง!บอกหน่อยได้ไหม! กูดี้  ? 
เจ็บไหม!สนุกไหม!  และป้ากูดี้เธอก็บอกเท่าที่เธอมีประสบการณ์  กับพันตรีมิค็อกผัวหล่อน ว่ามันเป็นอย่สงางนั้น  มันเป็นอย่างนี้ " อย่าครางให้มากหนวกหู"  ว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ แต่ไปๆมาๆเธอมาดันไม่มีลูก
          ไม่รู้จะทำงัยแบบธรรมชาติ  ประกันขีวิตอนาคตของม่หรทอ้าเงินในที่สุดป้ากูดี้ยืนยัน  ตอนมาพอมาถึงประโยค"ดันไม่มีลูก คือถ้าท้องจะได้  มรดกใช้เงินลูกได้ตามประเพณี" เพื่อนทุกคนกลับอึ้งกับประโยคนี้   และทุกคนกลับเงียบกริบกันหมด"เพราะต่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
"เอากันอย่างงัย จึงจะมีลูกท้อวป่องออกมา"โดยคิดว่าไม่มีแผนเอาลูก  เป็นตัวประกันสักขีพยานรัก กันผัวมีชู้ง่าย และเอาสิทธิมรดกลูที่เกิดมารอดอบู่ มาเล่นได้ในอนาคต หรือรัย!
        "ป้ากูดี้ไม่คิดเป็นสีเทาแบบนั้นในเรื่องนี้""
           ตอนนั่นและตอนนี้เพร่ะป้ากูดี้แกก็แนโลกหเหมือนกันตอนก่ินแต่วงาน
           แกรู้อย่สวเดียวว่ผีวคือผู้เปิดพรหมจรรย์เธอเป็นแรกแบดห้ามมีชู้กีบใครเด็ดเจาดทุกกรณีมิฉเนั้นชีวิตสมราจะพีวทะลาและยอมเป=นข้าวเท้าหลังกับสาทีเสมอนี่คือตำราทฤษฎีที่เธอท่อวจำไว้ตงอดหบัวแต่งงารและรับสินสอดทอวหมง
           จากประโยคอุบาทว์ที่อิดีคิดว่า ตนเอง ไม่น่าจะได้ยิน และกล่าวกับตนเองว่า "จะมีอะไรสนุกๆกับป้ากูดี้สักหน่อย "ดันเป็นงั่นไป""ประโยคที่อิดีคิดว่าเป็นประโยคอุบาทว์สำหรับอิดี"นั่นก็คือ""
          "เธอจะทำอะไรฉัน ๆไม่เห็นด้วย
ทันใดนนั้นสิ่งนี้ก็ตามมาคือ
          ด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรงองป้ากูดี้แล้วจึงซ็นเข็คมอบเงิน "ค่าแรงและไล่อิดีออกจากบ้านไปพร้มกับกล่าวว่า
         "นับจากนี้ไป"ยายเมทิลนางคนใช้ ที่นำเธอมาทำงานชิ้นนี้,"เขาด้วย"
        "ไม่ต้องกลับมาทำงานกับแกพร้อมนี่นะ่เงินค่าจ้าง"
          เอารับไปขอบใจมาก เดี่ยวฉันจะจัดการเองได้ในส่วนที่การซ่อมหลังคารั่วในห้องนอนของฉันนี่
          "ที่เหลือนั่นน่ะ""
           ฉันจะช่วยตนเองน่ะ
            หลังจากที่ป้ากูดี้ได้เขียนเช็คเงินเดือนล่วงหน้าให้อีก3เดือน"กับยายเอธิล
         มีความลลับลมคมในนิดนึตรงนี้
         ยาย"เอธิล"คนใช้เก่าของป้ากูดี้  ยายเอทิลแกฉลาดคือแกวางแผนให้"อิดี"มายั่วป้ากูดี้ โดยยายเอทิลหาเด็กและได้สั่งให้"อิดี" หนุ่มหล่อร่างเตี้ยมารับงานซ่อมหลังคารั่วนิดนึง  ที่ห้องนอนของป้ากูดี้ ตามที่ป้ากูดี้วานสั่งมาแบบมีให้สินจ้า
งและค่านายหน้าอย่างงามมาคือ
          "ให้หาเด็กมาทำหลังคาทีารั่วให้ปกติ มันรั่วนิดเดียว  "แกจงหามาให้"เพื่อแทนช่างก่อสร้างเฉพาะที่"
        เมื่อยายเอทิลนำเด็กมาให้ป้ากู้ดี้ ก็ทำเฉ
ย แสดงว่าป้สกูดี้พอใจ ฉะนั้นยายเอทิลผู้รับปากจัดหา  ยายเอทิลจึงปล่อยให้อิดีและป้ากูดี้อยู่กันสองต่อสอง ทำหลังคารั่วให้เสร็จก่อนพายุจะเข้าคืนนี้
และเพราะป้ากูดี้ผัวตาย
ตั้งแต่แกยังสาว  แต่"อิดีพอมาเห็นเนือนร่สงของป้ากกูดี้เท่านั้น อิดีดันทนไม่ได้ในเรือนร่างอันสวยสดของป้ากูดี้ อิดีจึงวางแผนหาจังหวะลวนลาม  แต่พอทำแล้วป้ากูดี้แกไม่เห็นด้วย  แผนการของยายเอทิลให้ป้ากูดี้เอาอิดีมาทำผัวจึงแตก ซึ่งอิดีไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน   รู้แต่ว่าให้มาทำซ่อมหลังคมืเป็นรู ด่วนกันน้ำฝรจากพายุฝนที่จะมาคืนนั้น
         อย่างไรก็ตามทั่งป้ากูดี้และอิดีไม่รู้แผนของยายเอทิลเลย  
       จนบัดนี้ และป้ากูดี้ยังไม่รู้ว่าเป็นแผนชั่วจากยายเอทิลคนใช้ของแกมีการวางแผนนำอิดีช่าง
จำเป็นนั้นมา เมื่อไม่สบอารมณ์ในการจ้างงาน และท้ายสุดทั้งยายเอทิล(คนใช้เก่า แม่ชักสื่อหาคนงานมาทำงานเบ็ดเตล็ด)และอิดี(ช่างจำเป็น)จึงถูกไล่ออกจากงานและบ้านพักทั้งสองคนพร้อมกันในวันนั้นพร้อมเช็คเงินค่าจ้างที่พึงได้ของอิดีและเงินเดือนของยายเอทิลจ่ายล่วงหน้าชดใช้ให้สามเดือนละเลิกกันเท่านั่นนับแต่วันนั้นเแนต้นมา
        เรื่องยาย"เอทิล"และแผนการชั่วของยายเอทิลจึงจบลงเท่านั้นในข้อหาคือความ "ทะลึ่งและยายเอทิลนำคนมาทำ"ทะลึ่ง"กับแก"เป็ยสาเหตุให้ยายเอทิลคนใช้ถูกไล่ออกจากงานและอิดีคนรับจ้างจำเป็นถูกไล่ออกจากบ้านก่อนงานแก้รูหลังคารั่วนิดเดียวนั้นเสร็จลง
"จริงๆนะเรื่องของเธอเนี่ยน่ะ" ป้ากูดี้บ่นพึมพำ
            "ส่วนหลังคาที่จะซ่อมในห้องนอนของฉันก็ไม่เสร็จ "นี่ถ้าฝนดันตก  เพราะมันมีพายุ"เอลนีโญ"(e l n e n o =ภาษาสเปน)เข้ามาแบบฉุกเฉิน "ฉันคงแย่""ฉันต้องขับรถออกไปนอกบ้านนอนโรงรอนเเรมที่"เบดแอนด์แบรกฟาส์"(b e d & breakfast )ที่ในหมู่บ้านชนบททสงทิศใต้จากที่
         นี่ใกลๆกันห่างออกไปเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตรห่างจากหมู่บ้าน"ดาร์ก-มอร์"(dark - moor)ของฉัน" ถ้าพายุมาจริง" ฉันต้องขับรถไปแน่นอนป้ากูดี้คิดวิตกต่างๆนานา ตอนนั้นหลังจากที่"อีดี"รับเช็ค(cheque )และเดินออกจากบ้านแกไปแล้ว
            ถ้าฝนตกในคืนนี้ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก 
สำหรับ ป้ากูดี้ที่ต้องดี้นรนช่วยตัวเอง  อย่างสุดเหวี่ยงแน่นอน กับงานที่ซ่อมหลังคากันน้ำฝนรั่วรดห้องนอนแสนรักของตนเอง 
        พอดีตอนนั้นจังหวะฝนด่วน นอกฤดูกาลจะมาพอดีอีกด้วย " ที่ช่างระยำทำแล้วต้องค้างคา เอาไว้นี่  "เธอต้องลำบากมาก จะฝืนนอนในรถยนต์ทีจอดพักทีทการาจ(garage) ก็มันเว่อร์แน่ !จะนอนนอกห้นอนอื่น  ก็กลัวจะผิดคำสาบาที่ให้กับสามีเธอไป ที่ว่าไม่ได้นอนในห่องนอนที่เคยนอยอบู่ด้วยกันในช่วงไว้ทุกข์นี้ 
        คือต้องนอนในห้องนอนที่เคยนอนด่วยกันก่อนตายนอนที่ไหน  หลังตายแล้วก็นอนที่นั่น   ถ้าฝนเสือกมาเปียกจริง เพรทะเจ้าพยากรณ์อากาศบางครรั้งก็เชื่อไม้ได้  เพราะอากาศศ มันก็ผีชนิดหนึ่งที่ตนเองเชื่อ
       ก็หรือไม่!ใช้ที่นอนมุมอื่นแทนในบ้านนี้แทนหรือในรถยนต์  "ก็เป็นความคิดที่ดี"  ป้ากูดี้แกกลับคิดว่า  แต่ถ้า"ผี" อันเป็น"สปิริต"(spirit )ที่ทั้งสองเชื่อว่า"มีอยู่จริง" ผีแฟนลอยวนมาาเห็นเข้า "เชื่อว่าผีพันตรีมิค็อกคงจะต้องร้องให้แน่นอน""
             อย่างไรก็ตาม ป้ากูดี้และจิตใจของแกตอนนี้ได้เก็บโกรธอิดีไว้อย่างชนิดเข้ากระดูกดำทีเดียว


         

ลอร์ดลิเทลตอนที่14"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ""

  
        ตอนที่14
"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ""(9264))
         และเพื่ออยากรู้ว่ามันมีอะไรอีกมากมายนักต่อนัก  ที่เขาผู้อำนวยการสร้าง  นำมาเสนอขายเรียกคนดูเพื่อให้ดูกันสนุกอุราเท่านั้น 
         แต่ถ้ามีฉากขุดผีดิบมาชำแหละศพแล่เนื้อขายส่งหรือทำพิธีลงคาถาอาคมผี หรือมนต์ดำชนิดเอาน้ำมันไปทำเสน่ห์ยาแฝด ในทำนอง
นี้ ด้วยวิธีเวทย์มนต์หรือแบบแม่มดหมอผี ตนเองนั้นขอสารภาพว่า ไม่อยากดูหนังประเภทนี้ เพราะมันแปลกเกินและไม่ค่อยจะสมจริงและมันจะ"เอกเซเจอเรต"(exaggerated )เกินที่ตนเองจะรับได้
         เรื่องผีลอร์ดมิคานนะกลัว !  เพราะถ้าลอร์ดมิคาน ทำเป็นคนไม่กลัวผี  มันดูเป็นการทำตนคือทำตนเองให้เห็นเป็นคน"แข็งในบุคลิก"เกินไป  ลอร์ดจึงจึงบอกว่า"กลัวผีดีกว่า" แล้วสบายใจดี  เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เป็นคือใครๆก็กลัวยิ่งคนประสาทอ่อนยิ่งกลัว
          แต่กระนั้น" ฟรอม-ไทม์-ทู-ไทม์"คือตลอดเวลา(from time to time)  เช่น  การฉีดยาแบบกระทำ"โอตอปซี่"(auto psy=ทำแบบการฉีดยาให้ศพอย่าให้มีกลิ่นเหม็นเหมือนการทำมัมมี่ของอียิปต์ ( mummy Egypt)ให้เพื่อนรักของตนเอง หรือกับศพอนาถาที่ถูกร้องขอมา
         ลอร์ดมิคานเคยทำด้วนมือ ฉีดยาฟอร์มาลีน(formalin=ยาขนานที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อศพ) คือมีตอนเพื่อนตกยาก"คนหนึ่งชื่อว่า"เอวอน"( Avon) "ตายลงอย่างอนาถ
        ในวันหนึ่ง คือ"เอวอน" ตกหน้าผาตายเพราะไปเล่น"กีฬาปีนผา"ที่ผา"คลิมองต์" คลิฟฟ์=(cli m o n t cliff ) เชิงสะพาน"สุสังชัน"=s u s u n g -s i o n) ของลอร์ดแบจา(lord Baja)     ท่านลอร์ดผู้นี้เป็นผู้คิดทำสะพานข้ามแม่น้ำคลิมองต์นี้และท่านเป็นวิศวกรและออกแบบสร้างและท่านบริจาคทรัพย์ให้ทำให้เพื่อสาธารณะเปล่าๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากมรดกที่ไม่มีสิ่งสีเทาเคลือบแฝง "ท่านทำได้สำเร็จ" ชาวประชาได้ใข้  ระเบิดสงครามหลายครั้งผ่านมา สะพานนี้รอดไปได้มันนานมากแล้ว สะพานนี้เลยกลายเป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์สืบต่อมา
         
          และด้วยเหตุที่ลอร์ดมิคานเป็นคนกล้าทำหน้าที่(ช่วยผู้มีทุกข์)นี้  เพราะตอนลอร์ดมิคานเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยตอนปีสาม"จูเนียร์เนียร์"(junior year )ตนเองเคยเรียนวิชาศพวิทยามา3หน่วยกิต (unit)ด้วยนั้นเองและสอบผ่าน
          ลอร์ดมิคานจึงกล้าทำและฉีดยาศพให้เพื่อนผู้วายชมน์ แต่มิทำอาชีพ หรือเป็นสับปะเหร่อ หรือหมอดอย หรืออะไรเทือกนั้น
        แต่ธาตุแท้นแล้วตัวลอร์ดมิคานเองนั้น  เรื่อง
ผี ๆ เรื่องการสู้รบอย่างของชาติชายทหาร  เรื่องการตายในสนามรบ  สมรภูมิรบเพื่อมาตุภูมิ เรื่อง
"มโนธรรม"นั่น  ลอร์ดมิคานไม่เคยกลัวและต้องไม่กลัว เพราะเมื่อสถานการณ์จรืงมาถึง ที่อาจจะมาประสบพบเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่อาจจะมี
      และลอร์ดมิคานต้องยอมรับความจริง ในฐานะเป็นชายชาตรีให้จงได้  กรณีเช่นนี้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ไม่ว่าจะเป็นขุนางหรือเป็นทาสเป็นกรรมกรชาวไร่ชาวนาอะไรก็ ต้องทำหน้าที่นี้เมื่อชาติต้องการ
       เพราะตามหลักยึดติดในเกณฑ์นี้ เพราะมันเป็นไพล์(p l i g h t= การยอมตายเพื่อมาตุภูมิและเพื่อนร่วมชาติในสมรภูมิ) มิใข่คลั่งชาติหรือบ้าอุดมการณ์อะไร 
       ที่บางจุดเป็นสิ่งดีงามสากล คนทุกคนต้องมีครอบครอง  เพื่อชาติและอุดมการณ์เพื่อขาติและประชาชนตามปกติที่ต้องมีกันอยู่แล้ว  แต่ลอร์ดมิคานมิได้ภาวนาให้เกิดสงคราม เพราะคันมืออยากจับอาวุธเข้าประหัตประหารกัน แบบเด็กซนใช้หนังสติ๊กยิงนกสวย"ก็หาไม่"
       มิติที่เคยกล่าวมา  ในตอนต้นๆ ในประเด็นเรื่องราวนี้ลอร์ดมิคานคิดว่า  "มันอาจจะเป็นจินตนิยายทางลัมธิการเมืองเพื่มาตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มีคติว่า"เมื่เกิดมาใหม่ก็ต้องมีสิ่งใหม่ลัทธิใหม่ๆขึ้นมารองรับความใหม่" แม้จดไม่ถูกเสมอไป แต่มันก็เกิดมีขึ้น ด้วยการพิสูจน์ว่า 
     ตือการค้นหาตนเองว่า   ตนเองด้วยเพื่แตอบคำตอบโจทย์แห่งการชำระปัญหาอย่างสันติวิธี.  
      แต่ก็พบว่าปัญหา "เรื่องปากท้องและความไม่อมตะของชีวิตของคนส่วนมากยังคงมีต่อไป ฉะนั่นอะไรต่อมิอะไรเกิดมามากมายอย่างท้าทายประวัติศาสตร์ของอดีต ก็จะมาท้าทายกัลปัญหา"ปากท้องและความอดอยาก"ของเพื่อนมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ ตามภาพที่สังคมปรากฏ
          มันก็คงเหมือนเหมือนเรื่องของ(ป้ากูดี้= a u  n t y  go d y) คือป้ากูดี้ ชื่อหน้าคือ"อ้านตี้ส่วนกูดี้เป็นชื่อนามสกุล จากนิยายชิ้นส่วนที่ขาดเหลือที่ตกหล่นที่เทือกเขาโอเฟ  ที่ลอร์ดมิคานพบและสนใจหยิบมาอ่านและติดใจ กล่าวคือ:-
      ป้าคนนี้  "ลอร์ดมิคานพูดขึ้น"
     " ก่อนที่บ้านแกก่อนแกตายลง แกเคยมี หมาแมว ไก่ กระรอก กระแต และหนูและแกะ แพะและวัว ค้างคาวนกฮูก เป็นเพื่อนชีวิต ก่อนตาบแกตั้วใจมิได้เลี้ยงไว้ขายฆ่ากิน หรือส่งตลากสด หรือเสนอขายเป็นอุตสาหกรรม  คือแกได้ปล่อยและอนุรัษ์มามันทั้งหมด คล้ายแม่พระผู้มีเมตตาเพื่ออยู่อาศัยเป็นเพื่อนสหชาติของแก ก่อนตาย
      ใครมาถามแกว่า"เลี้ยงไว้ทำไม"มากมายหลายอย่าง อยู่ตัวคนคนเดียว มีเพียงหมากับแมวก็พอ เพื่อให้ช่วยเฝ้าบ้านก้อพอ หมาเฝ้าคนแปลกหน้า และงูและสัตวว์ร้าย แมวเฝ้าหนู
       แกตอบเพื่อนบ้านที่ชื่อว่ามิเกลที่ถามแกอย่างนั้นว่า:
     " มันคือเพื่อนตายและเป็นสหขาติของฉัน ใครจะทำไม "  มันเป็นเรื่องอะไรของแก
ที่แกมาถาม  มันเดือดร้อนมึงหนรืองัย มิเกล"
        ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
   "  ป้ากูดี้"   แกก้อเล่าต่อไปว่า
        " เมื่อตอนฉันเป็นสาวๆ สมัยเรียนหนังสือ ฉันได้พบคนรัก  และก็รักกันมาก แต่ตอนนี้เขาตายไปเขาชื่อ"พันตรีมิค็อก " แกคงจะรู้จักน่ะ!
"ฉันเคยคิดว่า""
"เราตั้งใจว่าจะอยู่กินกันจน"มีมือถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรน่ะ"
        แต่ต่อๆมา" มันหาเป็นเข่นนั้นไม่"" แกหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำตานิดๆแสดงให้มิเกลเห็น แกมิ ได้บีบน้ำตาด้วยหวังเรียกความเห็นใจจากมิเกลหรือเอาหัวหอมมาเช็ดตาแต่อย่างไร แต่น้ำตามนไหลออกมานิดๆด้วยความเสียใจของป้ากูดี้เอง
" พระเจ้าช่วยฉันด้วย" ท้ายสุดแกอุทานออกมา
         มิเกล (m i g e l) แกรู้ดีมิใช่หรือ?
แล้วมันเรื่องอะไรของแกแกล้งมาเสือกถามฉันะอีก
        "เรื่องราวของชีวิตคนอื่น "ซึ่งไร้สาระของตนเองสิ้นดี" ไม่น่าจะถาม แกก็กล่าวต่อไปอย่างขึงขังว่า
           มันเป็นหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นที่จะมีสิทธิที่จะทำ และถามแบบนี้กับฉัน
"หรือว่าแกไปเป็นนักสังคมสงเคราะห์(social service worker) แล้ว""
"เปล่า"ๆ
"ไม่"ๆฉันมิได้เป็นนักสังคมสงเคราะห์""
"มิเกลตอบทันที"
           คนเพื่อนบ้านติดกันกับป้ามิเกลที่มีผัวเป็นคนกวาดขยะเทศบาล คนนี้ที่ชื่อมิเกลรีบตอบอย่างนั้น  เพราะความโง่และความไร้เดียงสา(naive )ขงตน ที่ไม่มีประโยคอะไร
ที่จะเริ่มต้นพูดทักทายกับป้ากูดี้ในวันรนั้น!
         ทันทีที่มิเกลรีบตอบกลับคุณนายป้ากูดี้ทันทีนั้นมันเป็นการสนทนากัน อย่างละล่ำละลัก  อย่างกะนายกับไพร่คุยกัน แสดงอาการออกมา"จนป้ากูดี้เห็นใจ
      คำตอบของมิเกลคือเงียบงำไปเลยละหนาตอนนี้ หลังจากป้ากู้ดีเฉลยเสียยาวเหยียดจนมิเกลยืนฟังแทบเมื่อย " เพียงประโยคเดียวที่มิเกลถามไปเท่านั้น"
        การตอบหลังจากถูกถามกลับจากเพื่อนบ้านที่ชื่อป้ากูดี้"ทำไมแกก็รู้ดี"อย่างนี้
        และพบว่าป้ากูดี้มีท่าทาง"แกก็จะดูโกรธกับมิเกลนับตั้งแต่นั้นมา และ ไม่พูดกันอีกเลย  และมิเกล   ไม่พูดกับป้ากูดี้แต่นั้นมา ทำให้มิตรภาพของเพื่อนบ้านที่ติดกันต้องท"สะบั้น" และมาตัดขาดสะบั้นจริงๆต่อมา  จบ ลงเพียง"ประโยคเดียว"ที่มิเกลนี้แท้ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนนั้น
        ป้ากู้ดีแกมีเมนส์(menstruate) กำลังมาพอดีเพราะ"ประจำเดือน-เมมนส์"ตัวนี้กำลังมามันจะทำให้หญิงอารมณ์เสีย  และเสียงง่ายกว่าอารมณ์เสียที่เกิดจากแดดร้อนจากภัยธรรมชาติของโลกชื่อว่า"แอลนีโญ"(e ln e y o=เปล่งเสียงมาจากภาษาสเปน)เสียอีก
    "   ป้ากูดี้และมิเกล" ในฉากทัศน์อันไม่พึงประสงค์นี้   ทั้งสอง เเม้เป็นเพื่อนบ้านกันมาตลอเชีวิตที่แสนดีเมื่อตอนไม่สนทนากัน  แต่พอสนทนากันกลับเป็นว่า"เลยไม่ถูกกันไปเลย"
         บ้านมันอยู่ติดกันแล้วเสียด้วย "น่าอนาถใจจริง"ลอร์ดมิคานรำพึงถึงฉากทัศน์ในสังคมชนขั้นลักษณะนี้  และยืนกรานถือว่าคือถือเสมิอนหนึ่งว่า"ปกติ" มันเกิดขึ้นตลอดเวลา  แม้กับตนเอง ที่ตนเองไม่อยากจะพูดถึงมัน  แต่ต่างกันที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น ตนเองไม่อุทธธรณ์มัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด และต่อมาต่างฝ่ายก็เงียบไปเองเสมือนหนึ่งว่า  ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
      ถ้าเขาดมากเกิน ก็มีกฎหมายรองรับทีทแน่นอนต้องเสียเป็นเงิน และติดคุกเป็นตารางกำหนดโทษ   เมื่อหยุดคิดต่อทุกอย่าวก็สงบไปเองมันเป็นปรัขญาของลอร์ดมิคานยืนยันอีกครั้งในที่สุด


     ลองจิตนนาการดูว่า "อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนบ้านติดกันแลัวไม่ถูกกันอย่างแรงจากปมเพียงนิดเดียว
"จะมีคือย้ายบ้านไปเสีย" ข้อยุติทั่วไป
        แต่เรื่องนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น 
รายนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่กันต่อไป และ ยังคงอยู่กันต่อไปเพราะต่างฝ่ายต่างมีปรัชญาชีวิต เหมือนต่างฝ่ายต่างก็ถูกเสี้ยมสอนมาจากชีวิตโรงเรียนอย่างงั้น! คือ  มันตรงกันว่า:=
       คือคนเรา"ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน  "    มันก็คงมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง  เกิดแทรกขึ้นมาแทนที่อยู่ดี 
"มันหลีกเลี่ยงยาก มันเป็นเรื่องเหมือน"ลิ้นกับฟัน
        " ที่ต้องเคี้ยวบดข้าวบาร์เลย์ทุกวันทางปากกินนั่นเอง
         "ใช่"      แต่ทั้งสองคนนี้ก็ไม่พูดกันอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อนบ้านอื่นทุกคนยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
          จะรู้กันก็เพียงสองคนเท่านั้น  เหตุการณ์วันนั้นที่เกิดและต่างฝ่ายต่างปิดเงียบสนิท
         "มิเกล"จะบอกผัวตน หรือป้ากูดี้จะบอกกับน้องแมวสัตว์สหชาติของตนเองก็ไม่เช่นกัน  กะว่าชาติหน้าเกิดมาพบกันอีกคงจะอโหสิกั
              มาที่นาย"พันตรีมิคอก"=sun -leuterne n t -colonel)อดีตสามีคนรักของป้ากูดี้จบโรงเรียนนายร้อยและเตรียมทหารมาใหม่ๆ และถูกส่งเข้าหน่วยสอดแนมเชิงจารกรรม  ทันทีที่พันตรีมิค็อกออกปฏิบัติงานแต่ถูกฝ่ายศัตรูจับได้  คือฝ่ายศัตรูจับได้ว่า เป็น"สายลับ"และถูกศาลทหารฉุกเฉินของฝ่ายตรงกันข้ามลงโทษให้"ทำหมันนายพีนตรีมิค็อก"คือ"ถูกตอน"ตลอดชีวิต
        ถูกตอนในที่นี้   คือตัดส่วนส่งต่อท่อสเปิร์มชายออกที่ทำให้คนมีลูกได้เป็น บางส่วน แต่ไม่ไตัตัดอวัยวสืบพีนธุ์ของท่านพันตรี มิค็อก ออกเสียเท่านั้น เพราะความลับยังไม่ถูกนำไปใช้เบ็ดเสร็จ มันเป็นข้อหาคือเป็นการเพียง"ละเมิดเข้าเขตหวงห้ามสำคัญของฝ่ายศัตรูทางทหาร เท่านั้น"เป็นข้อหา
        หลักโดนฝ่ายปรปักษ์ฉีดยาทำหมันแล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมา  เวลาต่อมาพันตรี"มิค็อก"ก็เป็นหมันตลอดชีวิตจริงสมใจนึกของฝ่ายตรงกันข้าม  คือพันตรีมิค็อกก็ไม่มีลูกกับป้ากูดี้  หรือกับหญิงใดอีก  แต่เรื่องนี้  นายพันตรีมิค็อกกีมิได้บอกให้ป้ากู้ดีรู้  หลังโดนกระทำดังกล่าว บำเหน็จพิเศษของท่านพันนงตรีมิค็อก คือถูกยกจากยศว่าที่ร้อยตรีเป็นยศพันตรีทันที หลังถูกปล่อยตัวออกมาจากฝ่ายศัตรู  และพบรักกับป้ากูดี้ต่อมาที่โรงละครแห่งหนึ่ง(ชื่อโรงละครนี้ขาดหายไปในเศษหนังสือที่ลอร์ดมิคานพบนั้น)
         ป้ากูดี้เคยสงสัยเหมือนกันว่า"ทำไม่มีลูก ทั้งๆที่ป้าดู้ดี้และพันตรีมิค็อก(sub . Lt. Col. Micoc k) นอนด้วยกันกับป้ากู้ดีย่างฉันท์สามีภรรยา  ร่วมเพศกันอย่างสนุก "ลงตัว " และ"มันส์"เกือบทุกคืนหลังแต่งงานกันมา" หลายปีแล้ว
        แต่ป้ากูดี้คิดว่า"ก็ไม่คิดอะไรคือปลงใจคิดเสียว่า "ในเมื่อมันไม่มี ก็ึคือไม่มี"จบ""  ทั้งสองอยู่ร่วมกันมาราบรื่นแสนดีด้วยชีวิตแสนจะดีมากสุดจะราบรื่น จนกระทั่งนานพันตรีมิค็อก ท่านผู้นี้ได้ตายลงในวัยที่ป้ากูดี้ตอนนั่นยังสาวอยู่ด้วย"อายุอันสั้น""ของสามีที่รัก"พันตรีมิค็อก""
              ส่วนนี้ลอร์ดมิคานไม่ติดตามสนใจอะไรต่อไป  เพราะลอร์ดเองมีภารกิจมัดตัวท่วมท้น คือนอกจากต้องออกไปแสวงหา"หยาดน้ำค้างสีฟ้าครามดื่มกิน เพื่อประทังชีวิตที่แแสนดี ที่เทือกเขาโอเฟ(o f e- plateau )
            แต่เรื่องราวของป้ากูดี้นั้นมันเป็นนิยาย  สำหรับลอร์ดมิานเชื่อว่านิยายมันก็ชีวิตจริงของใครบางคนนั่นเอง เศษกระดาษค่อนเล่มขาดๆ  เป็นเพียงส่วนที่เรียกว่าในเศษนิพนธ์ของหนังสือนิยาย ไม่บอกชื่อว่าเรื่องอะไรพิมพ์ที่ไหน มันคงอยู่ในส่วนที่ขาดไป
          ที่ลอร์ดมิคานพบตอนเดินทางไปแสวงหาน้ำค้าง  ที่เทือกเขานั่น   แล้วก็ก้มลงหยิบเอามาอ่านอย่างสงสัย  เพราะแปลกจากปกติคือที่เทือก"เขาโอเฟไม่มีขยะเด็ดขาด""
       และหลังจากอ่านแล้วก็ติดใจ อ่านมันจนหมดกระแสความในส่วนที่ขาดเหลือมานี้ทั้งหมด  ส่วนที่เป็นบทบาทของตัวนิยาย มันมีบริบทที่สะดุดมาก  มันถูกแต่งขึ้นมาได้หลือเชื่อจริงๆ  คือว่ามันทำให้ตนเอง"ทึ่ง"  จนทำให้ลอร์ดมิคานพาไปคิดในวลาต่อมาว่า
       "นี่หรือขีวิตและชะตากรรมของมนุษย์เรา"ยังมีอีกต่ออีกแต่เอาไว้หลังจากสนใจเพียงบางตอย พออ่านเสร็จก็คิดอึ้งอยู่สักครู่
         เพราะที่เทือกเขาเช้านี้ มีหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าตกลวมามาก  สำหรับที่นี่มีป้ายติดไว้ดูจะเก่ามากแล้ว  ป้ายเขียนไว้มีมจความว่าดังนี้"ใครทิ้งขยะไว้ จะถูกลงโทษอย่างหนัก เท่ากับการประหารชีวิตแบบหมาที่เป็นโรคบ้าเลยทีเดียว 
      เพราะฉะนั้นสิ่งนี้  จึงเป็นเศษนิพนธ์ที่ถูกทำหล่นโดยไม่มีเจตนาว่าจะทิ้ง  แต่มันหล่นตกเอาไว้โดยบังเอิญ  
      จากคนบางคนที่มีรสนิยมมาเที่ยวที่เทือกเขานี้ เหมือนกับตนเองนั้นเองแต่ไม่ได้มาหาหยาดน้ำค้างกินประจำวันเท่านั้นองเหมือนตน
        หยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟที่ลอร์ดมิคากินพบว่า"กินเข้าไปแล้วอิ่มเหมือนน้ำทิพย์และอดอาหารได้เป็นเวลาหลายมื้อของวันทีเดียว
        แต่ลอร์ดปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่บอกให้ใครรู้เพราะเป็น"การทำคุณบูชาโทษ มีอันตราย" อันที่จริงปกติน้ำดื่มนั้น"มนุษย์ทุกคนขาดไปหาได้ไม่เกิน3วันถึง7วันก็ตายได้  มันจึงถูกเชื่อโดยลอร์ดมิคานว่าได้มาดื่มหยาดน้ำค้าง ที่นี่  มันรอดตายไปได้วันๆหนึ่งโดยไม่ต้องทำอะไรมันลงตัวกับชีวิตของลอร์ดมิคานยิ่งนัก
       อนึ่ง     เพราะลอร์ดไม่ชอบปรุงอาหารมากรสมากสำรับโดยตนเอง และตนเองมีตัวคนเดียวสันโดษอิสระมั่นคงและปลอดภัยและมีศักดินานิรนามอีกต่างหาก  ตนเองจึงใช้หยาดน้ำค้งวนี่ละ เพื่อดำรงขีวิตลดงบประมาณค่าอาหารไปมากมายต่อวันๆ 
         แม้บางครั้งลอร์ดก็จัดมื้อเต็มบ้าง  อย่างไรก็ตาม  หลังดื่มมันลอร์ดพบว่าชีวิตดีขึ้น พบว่าอิ่มเอืบและมีความสุขใจ  น้ำนี้มันมีรสเหมือนหยาดน้ำตกมากจากสรวงสวรค์  ที่มีเทพเจ้าพระองค์หนึ่งทรงประทานมากับมนุษย์ "ที่คิดได้คิดเป็นและกล้าดื่มกินมัน"


 El n e no

           

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดลิเทล ตอนที่14"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ"

            ลอร์ดลิเทล
             ตอนที่14
"พันตรีมิค็อกผู้อาภัพ"
         และเพื่ออยากรู้ว่ามันมีอะไรอีกมากมายนักต่อนัก  ที่เขาผู้อำนวยการสร้าง  นำมาเสนอขายเรียกคนดูเพื่อให้ดูกันสนุกอุราเท่านั้น 
         แต่ถ้ามีฉากขุดผีดิบมาชำแหละศพแล่เนื้อขายส่งหรือทำพิธีลงคาถาอาคมผี หรือมนต์ดำชนิดเอาน้ำมันไปทำเสน่ห์ยาแฝด ในทำนอง
นี้ ด้วยวิธีเวทย์มนต์หรือแบบแม่มดหมอผี ตนเองนั้นขอสารภาพว่า ไม่อยากดูหนังประเภทนี้ เพราะมันแปลกเกินและไม่ค่อยจะสมจริงและมันจะ"เอกเซเจอเรต"(exaggerated )เกินที่ตนเองจะรับได้
         เรื่องผีลอร์ดมิคานนะกลัว !  เพราะถ้าลอร์ดมิคาน ทำเป็นคนไม่กลัวผี  มันดูเป็นการทำตนคือทำตนเองให้เห็นเป็นคน"แข็งในบุคลิก"เกินไป  ลอร์ดจึงจึงบอกว่า"กลัวผีดีกว่า" แล้วสบายใจดี  เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เป็นคือใครๆก็กลัวยิ่งคนประสาทอ่อนยิ่งกลัว
          แต่กระนั้น" ฟรอม-ไทม์-ทู-ไทม์"คือตลอดเวลา(from time to time)  เช่น  การฉีดยาแบบกระทำ"โอตอปซี่"(auto psy=ทำแบบการฉีดยาให้ศพอย่าให้มีกลิ่นเหม็นเหมือนการทำมัมมี่ของอียิปต์ ( mummy Egypt)ให้เพื่อนรักของตนเอง หรือกับศพอนาถาที่ถูกร้องขอมา
         ลอร์ดมิคานเคยทำด้วนมือ ฉีดยาฟอร์มาลีน(formalin=ยาขนานที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อศพ) คือมีตอนเพื่อนตกยาก"คนหนึ่งชื่อว่า"เอวอน"( Avon) "ตายลงอย่างอนาถ
        ในวันหนึ่ง คือ"เอวอน" ตกหน้าผาตายเพราะไปเล่น"กีฬาปีนผา"ที่ผา"คลิมองต์" คลิฟฟ์=(cli m o n t cliff ) เชิงสะพาน"สุสังชัน"=s u s u n g -s i o n) ของลอร์ดแบจา(lord Baja)     ท่านลอร์ดผู้นี้เป็นผู้คิดทำสะพานข้ามแม่น้ำคลิมองต์นี้และท่านเป็นวิศวกรและออกแบบสร้างและท่านบริจาคทรัพย์ให้ทำให้เพื่อสาธารณะเปล่าๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากมรดกที่ไม่มีสิ่งสีเทาเคลือบแฝง "ท่านทำได้สำเร็จ" ชาวประชาได้ใข้  ระเบิดสงครามหลายครั้งผ่านมา สะพานนี้รอดไปได้มันนานมากแล้ว สะพานนี้เลยกลายเป็นสะพานศักดิ์สิทธิ์สืบต่อมา
         
          และด้วยเหตุที่ลอร์ดมิคานเป็นคนกล้าทำหน้าที่(ช่วยผู้มีทุกข์)นี้  เพราะตอนลอร์ดมิคานเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยตอนปีสาม"จูเนียร์เนียร์"(junior year )ตนเองเคยเรียนวิชาศพวิทยามา3หน่วยกิต (unit)ด้วยนั้นเองและสอบผ่าน
          ลอร์ดมิคานจึงกล้าทำและฉีดยาศพให้เพื่อนผู้วายชมน์ แต่มิทำอาชีพ หรือเป็นสับปะเหร่อหมอดอย หรืออะไรเทือกนั้น
        แต่ธาตุแท้นแล้วตัวลอร์ดมิคานเองนั้น  เรื่อง
ผี ๆ เรื่องการสู้รบอย่างของชาติชายทหาร  เรื่องการตายในสนามรบ  สมรภูมิรบเพื่อมาตุภูมิ เรื่อง
"มโนธรรม"นั่น  ลอร์ดมิคานไม่เคยกลัวและต้องไม่กลัว เพราะเมื่อสถานการณ์จรืงมาถึง ที่อาจจะมาประสบพบเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ที่อาจจะมี
      และลอร์ดมิคานต้องยอมรับความจริง ในฐานะเป็นชายชาตรีให้จงได้  กรณีเช่นนี้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ไม่ว่าจะเป็นขุนางหรือเป็นทาสเป็นกรรมกรชาวไร่ชาวนาอะไรก็ ต้องทำหน้าที่นี้เมื่อชาติต้องการ
       เพราะตามหลักยึดติดในเกณฑ์นี้ เพราะมันเป็นไพล์(p l i g h t= การยอมตายเพื่อมาตุภูมิและเพื่อนร่วมชาติในสมรภูมิ) มิใข่คลั่งชาติหรือบ้าอุดมการณ์อะไร 
       ที่บางจุดเป็นสิ่งดีงามสากล คนทุกคนต้องมีครอบครอง  เพื่อชาติและอุดมการณ์เพื่อขาติและประชาชนตามปกติที่ต้องมีกันอยู่แล้ว  แต่ลอร์ดมิคานมิได้ภาวนาให้เกิดสงคราม เพราะคันมืออยากจับอาวุธเข้าประหัตประหารกัน แบบเด็กซนใช้หนังสติ๊กยิงนกสวย"ก็หาไม่"
       มิติที่เคยกล่าวมา  ในตอนต้นๆ ในประเด็นเรื่องราวนี้ลอร์ดมิคานคิดว่า  "มันอาจจะเป็นจินตนิยายทางลัมธิการเมืองเพื่มาตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มีคติว่า"เมื่เกิดมาใหม่ก็ต้องมีสิ่งใหม่ลัทธิใหม่ๆขึ้นมารองรับความใหม่" แม้จดไม่ถูกเสมอไป แต่มันก็เกิดมีขึ้น ด้วยการพิสูจน์ว่า 
     ตือการค้นหาตนเองว่า   ตนเองด้วยเพื่แตอบคำตอบโจทย์แห่งการชำระปัญหาอย่างสันติวิธี.  
      แต่ก็พบว่าปัญหา "เรื่องปากท้องและความไม่อมตะของชีวิตของคนส่วนมากยังคงมีต่อไป ฉะนั่นอะไรต่อมิอะไรเกิดมามากมายอย่างท้าทายประวัติศาสตร์ของอดีต ก็จะมาท้าทายกัลปัญหา"ปากท้องและความอดอยาก"ของเพื่อนมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ ตามภาพที่สังคมปรากฏ
          มันก็คงเหมือนเหมือนเรื่องของ(ป้ากูดี้= a u  n t y  go d y) คือป้ากูดี้ ชื่อหน้าคืออันตี้ส่วนกูดี้เป็นชื่อนาสกุล
      ป้าคนนี้  "ลอร์ดมิคานพูดขึ้น"
     " ก่อนที่บ้านแกก่อนแกตายลง แกเคยมี หมาแมว ไก่ กระรอก กระแต และหนูและแกะ แพะและวัว ค้างคาวนกฮูก เป็นเพื่อนชีวิต ก่อนตาบแกตั้วใจมิได้เลี้ยงไว้ขายฆ่ากิน หรือส่งตลากสด หรือเสนอขายเป็นอุตสาหกรรม  คือแกได้ปล่อยและอนุรัษ์มามันทั้งหมด คล้ายแม่พระผู้มีเมตตาเพื่ออยู่อาศัยเป็นเพื่อนสหชาติของแก ก่อนตาย
      ใครมาถามแกว่า"เลี้ยงไว้ทำไม"มากมายหลายอย่าง อยู่ตัวคนคนเดียว มีเพียงหมากับแมวก็พอ เพื่อให้ช่วยเฝ้าบ้านก้อพอ หมาเฝ้าคนแปลกหน้า และงูและสัตวว์ร้าย แมวเฝ้าหนู
       แกตอบเพื่อนบ้านที่ชื่อว่ามิเกลที่ถามแกอย่างนั้นว่า:
     " มันคือเพื่อนตายและเป็นสหขาติของฉัน ใครจะทำไม "  มันเป็นเรื่องอะไรของแก
ที่แกมาถาม  มันเดือดร้อนมึงหนรืองัย มิเกล"
        ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
   "  ป้ากูดี้"   แกก้อเล่าต่อไปว่า
        " เมื่อตอนฉันเป็นสาวๆ สมัยเรียนหนังสือ ฉันได้พบคนรัก  และก็รักกันมาก แต่ตอนนี้เขาตายไปเขาชื่อ"พันตรีมิค็อก " แกคงจะรู้จักน่ะ!
"ฉันเคยคิดว่า""
"เราตั้งใจว่าจะอยู่กินกันจน"มีมือถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรน่ะ"
        แต่ต่อๆมา" มันหาเป็นเข่นนั้นไม่"" แกหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำตานิดๆแสดงให้มิเกลเห็น แกมิ ได้บีบน้ำตาด้วยหวังเรียกความเห็นใจจากมิเกลหรือเอาหัวหอมมาเช็ดตาแต่อย่างไร แต่น้ำตามนไหลออกมานิดๆด้วยความเสียใจของป้ากูดี้เอง
" พระเจ้าช่วยฉันด้วย" ท้ายสุดแกอุทานออกมา
         มิเกล (m i g e l) แกรู้ดีมิใช่หรือ?
แล้วมันเรื่องอะไรของแกแกล้งมาเสือกถามฉันะอีก
        "เรื่องราวของชีวิตคนอื่น "ซึ่งไร้สาระของตนเองสิ้นดี" ไม่น่าจะถาม แกก็กล่าวต่อไปอย่างขึงขังว่า
           มันเป็นหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์เท่านั้นที่จะมีสิทธิที่จะทำ และถามแบบนี้กับฉัน
"หรือว่าแกไปเป็นนักสังคมสงเคราะห์(social service worker) แล้ว""
"เปล่า"ๆ
"ไม่"ๆฉันมิได้เป็นนักสังคมสงเคราะห์""
"มิเกลตอบทันที"
           คนเพื่อนบ้านติดกันกับป้ามิเกลที่มีผัวเป็นคนกวาดขยะเทศบาล คนนี้ที่ชื่อมิเกลรีบตอบอย่างนั้น  เพราะความโง่และความไร้เดียงสา(naive )ขงตน ที่ไม่มีประโยคอะไร
ที่จะเริ่มต้นพูดทักทายกับป้ากูดี้ในวันรนั้น!
         ทันทีที่มิเกลรีบตอบกลับคุณนายป้ากูดี้ทันทีนั้นมันเป็นการสนทนากัน อย่างละล่ำละลัก  อย่างกะนายกับไพร่คุยกัน แสดงอาการออกมา"จนป้ากูดี้เห็นใจ
      คำตอบของมิเกลคือเงียบงำไปเลยละหนาตอนนี้ หลังจากป้ากู้ดีเฉลยเสียยาวเหยียดจนมิเกลยืนฟังแทบเมื่อย " เพียงประโยคเดียวที่มิเกลถามไปเท่านั้น"
        การตอบหลังจากถูกถามกลับจากเพื่อนบ้านที่ชื่อป้ากูดี้"ทำไมแกก็รู้ดี"อย่างนี้
        และพบว่าป้ากูดี้มีท่าทาง"แกก็จะดูโกรธกับมิเกลนับตั้งแต่นั้นมา และ ไม่พูดกันอีกเลย  และมิเกล   ไม่พูดกับป้ากูดี้แต่นั้นมา ทำให้มิตรภาพของเพื่อนบ้านที่ติดกันต้องท"สะบั้น" และมาตัดขาดสะบั้นจริงๆต่อมา  จบ ลงเพียง"ประโยคเดียว"ที่มิเกลนี้แท้ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนนั้น
        ป้ากู้ดีแกเมนส์(menstruate) กำลังมาพอดีเพราะ"ประจำเดือน-เมมนส์"ตัวนี้กำลังมามันจะทำให้หญิงอารมณ์เสีย  และเสียงง่ายกว่าอารมณ์เสียที่เกิดจากแดดร้อนจากภัยธรรมชาติของโลกชื่อว่า"แอลนีโญ"(e ln e y o=เปล่งเสียงมาจากภาษาสเปน)เสียอีก
    "   ป้ากูดี้และมิเกล" มนฉากทัศน์อันไม่พึงประสงค์นี้   ทั้งสอง เเม้เป็นเพื่อนบ้านกันมาตลอเชีวิตที่แสนดีเมื่อตอนไม่สนทนากัน  แต่พอสนทนากันกลับเป็นว่า"เลยไม่ถูกกันไปเลย"
         บ้านมันอยู่ติดกันแล้วเสียด้วย "น่าอนาถใจจริง"ลอร์ดมิคานรำพึงถึงฉากทัศน์ในสังคมชนขั้นลักษณะนี้  และยืนกรานถือว่าคือถือเสมิอนหนึ่งว่า"ปกติ" มันเกิดขึ้นตลอดเวลา  แม้กับตนเอง ที่ตนเองไม่อยากจะพูดถึงมัน  แต่ต่างกันที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น ตนเองไม่อุทธธรณ์มัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด และต่อมาต่างฝ่ายก็เงียบไปเองเสมือนหนึ่งว่า  ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
      ถ้าเขาดมากเกิน ก็มีกฎหมายรองรับทีทแน่นอนต้องเสียเป็นเงิน และติดคุกเป็นตารางกำหนดโทษ   เมื่อหยุดคิดต่อทุกอย่าวก็สงบไปเองมันเป็นปรัขญาของลอร์ดมิคานยืนยันอีกครั้งในที่สุด


     ลองจิตนนาการดูว่า "อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนบ้านติดกันแลัวไม่ถูกกันอย่างแรงจากปมเพียงนิดเดียว
"จะมีคือย้ายบ้านไปเสีย" ข้อยุติทั่วไป
        แต่เรื่องนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น 
รายนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่กันต่อไป และ ยังคงอยู่กันต่อไปเพราะต่างฝ่ายต่างมีปรัชญาชีวิต เหมือนต่างฝ่ายต่างก็ถูกเสี้ยมสอนมาจากชีวิตโรงเรียนอย่างงั้น! คือ  มันตรงกันว่า:=
       คือคนเรา"ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน  "    มันก็คงมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง  เกิดแทรกขึ้นมาแทนที่อยู่ดี 
"มันหลีกเลี่ยงยาก มันเป็นเรื่องเหมือน"ลิ้นกับฟัน
        " ที่ต้องเคี้ยวบดข้าวบาร์เลย์ทุกวันทางปากกินนั่นเอง
         "ใช่"      แต่ทั้งสองคนนี้ก็ไม่พูดกันอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อนบ้านอื่นทุกคนยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
          จะรู้กันก็เพียงสองคนเท่านั้น  เหตุการณ์วันนั้นที่เกิดและต่างฝ่ายต่างปิดเงียบสนิท
         "มิเกล"จะบอกผัวตน หรือป้ากูดี้จะบอกกับน้องแมวสัตว์สหชาติของตนเองก็ไม่เช่นกัน  กะว่าชาติหน้าเกิดมาพบกันอีกคงจะอโหสิกั
              มาที่นาย"พันตรีมิคอก"=sun -leuterne n t -colonel)อดีตสามีคนรักของป้ากูดี้จบโรงเรียนนายร้อยและเตรียมทหารมาใหม่ๆ และถูกส่งเข้าหน่วยสอดแนมเชิงจารกรรม  ทันทีที่พันตรีมิค็อกออกปฏิบัติงานแต่ถูกฝ่ายศัตรูจับได้  คือฝ่ายศัตรูจับได้ว่า เป็น"สายลับ"และถูกศาลทหารฉุกเฉินของฝ่ายตรงกันข้ามลงโทษให้"ทำหมันนายพีนตรีมิค็อก"คือ"ถูกตอน"ตลอดชีวิต
        ถูกตอนในที่นี้   คือตัดส่วนส่งต่อท่อสเปิร์มชายออกที่ทำให้คนมีลูกได้เป็น บางส่วน แต่ไม่ไตัตัดอวัยวสืบพีนธุ์ของท่านพันตรี มิค็อก ออกเสียเท่านั้น เพราะความลับยังไม่ถูกนำไปใช้เบ็ดเสร็จ มันเป็นข้อหาคือเป็นการเพียง"ละเมิดเข้าเขตหวงห้ามสำคัญของฝ่ายศัตรูทางทหาร เท่านั้น"เป็นข้อหา
        หลักโดนฝ่ายปรปักษ์ฉีดยาทำหมันแล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมา  เวลาต่อมาพันตรี"มิค็อก"ก็เป็นหมันตลอดชีวิตจริงสมใจนึกของฝ่ายตรงกันข้าม  คือพันตรีมิค็อกก็ไม่มีลูกกับป้ากูดี้  หรือกับหญิงใดอีก  แต่เรื่องนี้  นายพันตรีมิค็อกกีมิได้บอกให้ป้ากู้ดีรู้  หลังโดนกระทำดังกล่าว บำเหน็จพิเศษของท่านพันนงตรีมิค็อก คือถูกยกจากยศว่าที่ร้อยตรีเป็นยศพันตรีทันที หลังถูกปล่อยตัวออกมาจากฝ่ายศัตรู  และพบรักกับป้ากูดี้ต่อมาที่โรงละครแห่งหนึ่ง(ชื่อโรงละครนี้ขาดหายไปในเศษหนังสือที่ลอร์ดมิคานพบนั้น)
         ป้ากูดี้เคยสงสัยเหมือนกันว่า"ทำไม่มีลูก ทั้งๆที่ป้าดู้ดี้และพันตรีมิค็อก(sub . Lt. Col. Micoc k) นอนด้วยกันกับป้ากู้ดีย่างฉันท์สามีภรรยา  ร่วมเพศกันอย่างสนุก "ลงตัว " และ"มันส์"เกือบทุกคืนหลังแต่งงานกันมา" หลายปีแล้ว
        แต่ป้ากูดี้คิดว่า"ก็ไม่คิดอะไรคือปลงใจคิดเสียว่า "ในเมื่อมันไม่มี ก็ึคือไม่มี"จบ""  ทั้งสองอยู่ร่วมกันมาราบรื่นแสนดีด้วยชีวิตแสนจะดีมากสุดจะราบรื่น จนกระทั่งนานพันตรีมิค็อก ท่านผู้นี้ได้ตายลงในวัยที่ป้ากูดี้ตอนนั่นยังสาวอยู่ด้วย"อายุอันสั้น""ของสามีที่รัก"พันตรีมิค็อก""
              ส่วนนี้ลอร์ดมิคานไม่ติดตามสนใจอะไรต่อไป  เพราะลอร์ดเองมีภารกิจมัดตัวท่วมท้น คือนอกจากต้องออกไปแสวงหา"หยาดน้ำค้างสีฟ้าครามดื่มกิน เพื่อประทังชีวิตที่แแสนดี ที่เทือกเขาโอเฟ(o f e- plateau )
            แต่เรื่องราวของป้ากูดี้นั้นมันเป็นนิยาย  สำหรับลอร์ดมิานเชื่อว่านิยายมันก็ชีวิตจริงของใครบางคนนั่นเอง เศษกระดาษค่อนเล่มขาดๆ  เป็นเพียงส่วนที่เรียกว่าในเศษนิพนธ์ของหนังสือนิยาย ไม่บอกชื่อว่าเรื่องอะไรพิมพ์ที่ไหน มันคงอยู่ในส่วนที่ขาดไป
          ที่ลอร์ดมิคานพบตอนเดินทางไปแสวงหาน้ำค้าง  ที่เทือกเขานั่น   แล้วก็ก้มลงหยิบเอามาอ่านอย่างสงสัย  เพราะแปลกจากปกติคือที่เทือก"เขาโอเฟไม่มีขยะเด็ดขาด""
       และหลังจากอ่านแล้วก็ติดใจ อ่านมันจนหมดกระแสความในส่วนที่ขาดเหลือมานี้ทั้งหมด  ส่วนที่เป็นบทบาทของตัวนิยาย มันมีบริบทที่สะดุดมาก  มันถูกแต่งขึ้นมาได้หลือเชื่อจริงๆ  คือว่ามันทำให้ตนเอง"ทึ่ง"  จนทำให้ลอร์ดมิคานพาไปคิดในวลาต่อมาว่า
       "นี่หรือขีวิตและชะตากรรมของมนุษย์เรา"ยังมีอีกต่ออีกแต่เอาไว้หลังจากสนใจเพียงบางตอย พออ่านเสร็จก็คิดอึ้งอยู่สักครู่
         เพราะที่เทือกเขาเช้านี้ มีหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าตกลวมามาก  สำหรับที่นี่มีป้ายติดไว้ดูจะเก่ามากแล้ว  ป้ายเขียนไว้มีมจความว่าดังนี้"ใครทิ้งขยะไว้ จะถูกลงโทษอย่างหนัก เท่ากับการประหารชีวิตแบบหมาที่เป็นโรคบ้าเลยทีเดียว 
      เพราะฉะนั้นสิ่งนี้  จึงเป็นเศษนิพนธ์ที่ถูกทำหล่นโดยไม่มีเจตนาว่าจะทิ้ง  แต่มันหล่นตกเอาไว้โดยบังเอิญ  
      จากคนบางคนที่มีรสนิยมมาเที่ยวที่เทือกเขานี้ เหมือนกับตนเองนั้นเองแต่ไม่ได้มาหาหยาดน้ำค้างกินประจำวันเท่านั้นองเหมือนตน
        หยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟที่ลอร์ดมิคากินพบว่า"กินเข้าไปแล้วอิ่มเหมือนน้ำทิพย์และอดอาหารได้เป็นเวลาหลายมื้อของวันทีเดียว
        แต่ลอร์ดปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่บอกให้ใครรู้เพราะเป็น"การทำคุณบูชาโทษ มีอันตราย" อันที่จริงปกติน้ำดื่มนั้น"มนุษย์ทุกคนขาดไปหาได้ไม่เกิน3วันถึง7วันก็ตายได้  มันจึงถูกเชื่อโดยลอร์ดมิคานว่าได้มาดื่มหยาดน้ำค้าง ที่นี่  มันรอดตายไปได้วันๆหนึ่งโดยไม่ต้องทำอะไรมันลงตัวกับชีวิตของลอร์ดมิคานยิ่งนัก
       อนึ่ง     เพราะลอร์ดไม่ชอบปรุงอาหารมากรสมากสำรับโดยตนเอง และตนเองมีตัวคนเดียวสันโดษอิสระมั่นคงและปลอดภัยและมีศักดินานิรนามอีกต่างหาก  ตนเองจึงใช้หยาดน้ำค้งวนี่ละ เพื่อดำรงขีวิตลดงบประมาณค่าอาหารไปมากมายต่อวันๆ 
         แม้บางครั้งลอร์ดก็จัดมื้อเต็มบ้าง  อย่างไรก็ตาม  หลังดื่มมันลอร์ดพบว่าชีวิตดีขึ้น พบว่าอิ่มเอืบและมีความสุขใจ  น้ำนี้มันมีรสเหมือนหยาดน้ำตกมากจากสรวงสวรค์  ที่มีเทพเจ้าพระองค์หนึ่งทรงประทานมากับมนุษย์ "ที่คิดได้คิดเป็นและกล้าดื่มกินมัน"




           

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดลิเทลตอนที่13 "เมื่อน้ำหิมะกลายเป็นสีกาแฟดำ"

      ลอร์ดลิเทลตอนที่13 "เมื่อน้ำหิมะกลายเป็นสีกาแฟดำ"
          "เมื่อน้ำหิมะกลายเป็นสีกาแฟดำ"
ฟ      ลอร์ดลิเทลตอนที่13 "เมื่อน้ำหิมะกลายเป็นสีกาแฟดำ"
(คือหิมะตกปนเปื้อนกับฝุ่นแล้วไหลลงมาจากเขาโนวา  ไหลลงไปตามซอกตามถนนดูเป็นสีกาแฟดำ ถ้าเดินเหยียบมันจะลื่นล้มได้)
          "เมื่อน้ำหิมะกลายเป็นสีกาแฟดำ"
ช่วงฤดูหิมะตกนกที่เห็นได้เป็นเพื่อนสายตา
คือ"นกเจจารีการ์"( pesgareeka)  ตัวเล็กๆบินขึ้นบินลงตามกิ่งไม้และลอนน์(lawn)  ป่าหญ้ามุมสวนหย่อมเล็กๆกว้างใหญ่ไพศาลทั่วไปที่ลอร์ดมิคานเห็น มีนกอีกหลายชนิดแต่มันไม่ค่อยนิ่งให้เห็นได้เต็มตา เหมือนใบไม้"มาเปิล"(maple) ที่ร่วงหล่น จึงไม่กล้าเอ่ยถึงชื่อมัน กลัวจะผิดเดี่ยว"น้อง"นกมันจะโกรธเอาถ้าเรียกชื่อมันผิดไป
        แต่ถ้าเป็นเขตเมืองร้อนสมัยที่ร้อนมากฤดูนั่นนี้ก็จะมีนกแปลกๆ ที่ลอร์ดมิคานได้พบ มันเป็นนกมีปีกสีเขียวสนิทสวย ตัวขนาดนกเอี้ยงแปลกตาและไม่เคยเห็น ไม่ค่อยได้เห็นเป็นอาหารตา (food of sight) แต่มันเป็นตัวคลายร้อนคลายอารมณ์ได้
 (ฤดูร้อนในเขตเมืองร้อน)ที่เห็น      นกๆ มันจะบินมาให้เห็นเป็นอาหารตาในฤดูร้อนมันจะบินมาเที่ยวเกาะตามกิ่งไม้  เป็นรายตัว มันจะไม่มาเป็นฝูงหรือเป็นพวก เหมือนนกกระจิบที่โหมโรงมากินดอกหญ้าเดอร์ซี่( dersy) 
ลอร์ด มิคานไม่ชัดเจนว่าจะเรียกนกปีกเขียวที่เห็น  มันชื่อว่าอะไร  จะเป็นประเภทนกแก้วก็ไม่ใช่! บางครั้ง  ถ้าเด็กจัญไรที่มีมือสุดคะนองไม่เอาอาวุธหนังสติ๊กยิงมันปีกหักเสียก่อน  เราคงได้เห็น
      ลอร์ดมิคานเคยคิดว่า  ตนเองเป็นลอร์ดเข้าถึงคนยากเพราะในโลกแห่งความจริง ร่องรอยแห่งชนชั้นยังคงปรากฏอยู่แม้ในกลุ่มแรงงานและทา
ส แม้ความเป็นขุนนาง ตอนนี้มันเป็นจะกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว
       การเข้าระบายอารมณ์แทนภู่กันบนคานวาส(canvas)และสีน้ำมันในหลายมิติธรรมชาติด้วยตานี้  แม้จะเป็นวรรณกรรมหมึกเปื้อนที่มโนเอาเองว่าเป็นสีทอง  ในการปะติดปะต่อชีวิตในสังคมในโลกมนุษย์นั้นวิเศษเหลือ"มันน่าจะถูกนับว่าเป็นยา"
       ถ้าใครๆ ที่เป็นคนมีนิสัย แอบมองเห็นยามว่างของลอร์ดมิคาน  ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือการมีแนวความคิดและความคิดๆต่างๆ แม้จะอาจมีเป็นเสรีภาพอย่างสุดโด่งมากสำหรับใครคนหนึ่ง แล้วแม้ในปัจจุบันแท้ก็จริง  มันก็อาจจะกระทบคนอารมณ์หวนที่ผวนแปรปรวนไปบ้าง คือไม่เห็นด้วยหรือมองว่สการเห็นทัศนียภาพ ชนิดนี้เป็นเรื่องราวที่รับรองความเป็นปกติไป แต่สำหรับลอร์ดมิคานผู้อาภัพ  เห็นว่านี้คือความสุขล้นของคนทุกคนถ้าคิดให้ดี เมื่อได้เห็นอย่างมีสมาธิ
        ลอร์ดมิคานสำนึกในข้อนี้ดี  และจะด้วยเหตุนี้ตนเองจึงจำเป็นต้องเป็นก้อนอิฐก้อนหนึ่งของ"ปราสาทคูเซอร์แห่งความหลังและค่ำคืนแห่งความหลังที่เคยมีและตนเองเป็น"ลอร์ดนิรนามตลอดกาลตลอดชีวิตเพื่อผนึกความทรงจำทั้งหมดไว้คนเดียวเท่านั้นเสียแล้วละกระมัง
ท่านลอร์ดลิเทลช่วยผมด้วย!ถ้าผมจินตนาการเพ้อเกินไป "ลอร์ดมิคานรำพึงถึงธรรมชาติที่ได้พบมา"
        คิดว่าอย่างนั้นเสียแล้ว  เพราะการใช้ชีวิตนิรนามและชีวิตแอบแฝง " แต่มิใช่เป็นโจร"  เราจะมีความเบาตัวมาก  แต่เรายังคงมี"มโนธรรมและการคงมโนธรรมอย่างลอร์ดต่อไป"นี้ไว้
       นี่แม้มันคงจะลำบากมากล่!
แต่มันจะง่ายต่อการวางตัว  ในหมู่มวลมนุษยชาติ แม้ตนเองจะเป็นกบฎให้กับตนเองไป  ทั้งนี้เหตุผลคือ  แล้วนั้นสิ่งสรุปสุดท้าบคือบริบทนี้ที่มีขึ้นได้ ก็เพราะเพื่อจะง่ายและสะดวก  ด่านแรกที่ชัดเจนคือ เสรีภาพที่ขาดการติดตามเป็นสื่อในกรณีเช่น
การ ต่อการขอยื่นพาสปอร์ต(passport )หนังสือเดินทาง  ขอประทับตราขอวีซ่า(visa)ข้ามชาติเป็นสากล  แบบชนิดคนที่ไม่ มีพรมแดน ไม่มีชาติศาสนาและหัวใจป็นสีดำสีแดงกีดกัน มีลัทธิการเมือง เข้ามาติดในสัญชาติตัว  ถ้าคิดได้ทำได้อย่างนี้ คนเรา มันจะทำได้เหมือนนกนางแอ่นหรือนกปากห่างบินข้ามทวีปได้อย่างไม่ต้องเคารพกฎหมายเข้าเมืองใดๆทั้งสิ้น คือ"ไปเสรีมาเสรี"
        ลอร์ดมิคานคิดว่าในโลกสองค่ายระหว่างนายทุน( capitalist )กับค่ายคอมมิวนิสต์(communist )ที่เขาคงดิ้นรนเพื่อเสรีภาพและความเป็นจริง ซึ่งลอร์ดมิคานไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด  การพิพาทที่พูดง่ายๆ  คือค่าแรงงานกับค่าตอบแทนมันทะเลาะกันเป็นสมุฎฐานจากระหว่างแรงงานที่เป็นศึกต่อรองกับอภินายทุนชั้นกลาง(me ga -bourgeois)หรือนายทุนที่เรียกว่า( capitalism) เรื่องทางมิตินี้นั้นในมุมมองของลอร์ดมิคานถือว่า:-
       " เมื่อโลกมาถึงวิกฤติ ณ .จุดหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องแสวงหาโลกใหม่ในดินแดนที่มีอยู่อีกคือแดนดินแห่งอวกาศ(space)ที่กำลังเป็นกระแสนิยมยิ่งตอนนี้และเชื่อว่าคงเป็นตอนต่อๆไป 
        เพราะเชื่อว่ามีหลายคนที่เชื่อมั่นว่า:
โลกนี่!มีภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงจนอยูกันต่อไปไม่ได้ เช่นอาทิตย์ร้อนมากในฤดูร้อน อีกแล้วหรือ
ร้อนจนโลกมนุษย์แทบระเบิดขึ้นได้แน่นอนใน
วันหนึ่ง
       การนั่งเรือเกาะเรือไปอยู่โลกอื่น  เหมือนการหนีร้อนเข้าห้องแอร์(air -condition ) มันคงหนีไม่พ้นแน่  เหมือน ๆเรื่องๆในคัมภีร์ศาสนาหนึ่งกล่าวไว้เรื่องเรือ"โนอา"อันมหัศจรรย์ ตอนที่จะเกิดอุบัติการณ์อันตรายอันยิ่งใหญ่"" นอกจากนี้ลอร์ดมิคานไม่ขออธิบายอะไรอีก คือไม่อยากพูดถึงเบื้องบนแห่งสิ่งลี้ลับทั้งมวลนอกจากมิติอวกาศที่มนุษย์ค้นพบแล้ว

        และเรื่องของการเมืองการปกครองและกลุ่มมาเฟีย(mafia) เพราะความจริงในสิ่งที่เกิดเป็นสิ่งที่มองไม่ห็นพิสูจน์ยาก ถ้าใครไปศาลแล้วมันคือจบยากยาก  แม้ลอร์ดมิคานตนเองเรียนมาสูงก็ตาม  แต่ภารกิจจำเป็นอื่นมีมากพอ ที่จะช่วยคิดช่วยฝัน และสรุปในเรื่งเหล่านี้ที่พูดมาตอนต้นนั้น"พูดแล้วหาจบยาก"เพราะเหคุผลคือ "ตนเองไม่ว่างพอเพื่อรับคำโต้แย้งใดๆในบทสนทนา"ไดอล็อก"(dial o u g e ) ที่อาจจะมี
        ส่วนเรื่องการสนทนาบทรักบนเตียงนอน โอ้ยช็อบ!ชอบ! แต่ลอร์ดมิคานไม่ชอบลามกอนาจารและโพโนกาฟี (pornography)  นี้ยกเว้นเลย
        หลายคนอาจจะบอกว่า"ขุนนางมีมุขเป็นผู้กุมบังเหียนชะตาชีวิต  สถิตอยู่เบื้องหลังชีวิตทุกค
น" อาจจะมีก็เพียงบารมีธรรมทางเทวสิมธิ์ที่เห็น
ๆกันซึ่งสวยงามและมีอดีตและเป็นแฟชั่นสมสมัยเท่านั้น  อันนี้ลอร์ดมิคานมิได้เป็นทนาย แต่ถ้าใครเชื่อว่าคิดว่า"สรรพสิ่งมีบังเหียนอบู่เบื้องหลั
ง" แบบหนังแฟนตาซี อันนี้มันเป็นการ"มโนกันไปเอง"" มากกว่า ที่ไม่มโนคือ "เมื่อใครอยากได้เงินก่อต้องทำงาน  ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินเพื่อใช้"เป็นอุทาหรณ์ที่จริงแท้ และที่สำคัญถ้าพูดว่ามโนธรรมละจะต้องมีจริงในความมีบังเหียนอยู่เบื้องหลังของโลหต่อชีวิตของชีวิตขุนนางผู้ทรงเทวสิทธิ์
       ถามว่าเทวสิทธิ์คืออะไร?
ลอร์ดมิคานตอบว่า " มันคือความดีงาม การมีคุณธรรมปรดจำใจของมนุษย์นั่นแหละคือมโนธรรมของคน

       คนคิดว่า"คนเราถูกลิขิต" คิดอย่างนั่นมันเป็นคนแบบ"กินปูนร้อนท้อง" คนทุกคนมีสิทธิลิขิตชีวิตตนเองด้วยมโนธรรม" นี่คือ"อมตภาพ" ที่ลอร์ดมิคานเชื่อ
         โลกปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นขุนนนางหรือทาสก็ตกอยู่ในภารกิจมีแรงงานที่ต้องทำ "เพียงเดินเล่นชายหาดก็เป็นแรงงาน เพราะมันมีผลผลิต""
           และค่าจ้างทุกค่า มันไม่มีพรมแดนและชาติศาสนนาแล้วตอนนี้
           ค่าจ้างที่เกิดจากแรงของการกระทำเป็นกรรมกรทุกชนิ
"มันก็เหมือนมูลค่าของเพชรและมูลค่าของทองคำที่มันศักดิ์สิทธิ์ได้ในตัวของมันเองนั่นแล"

"ใช่" 
        "มันเหมือนกันหมดต่างกันแต่เพียงวาระกรรมและหน้าที่เท่านั้น เหมือนคนคือเหมือนคนงาน"เหมืองแร่ถ่านหิน"ทำงานเป็นอาทิ  ชนิด"กะกลางคืนกะกลางวัน และกะคาบชั่วโมง"
         ลอร์ดมิคานเชื่ออย่างนี้ และการที่ลอร์ดมิคานต้องไปหาดื่มหยาดน้ำค้างที่"เทือกเขาโอเ
ฟ"นั่น   ก็จัดเป็น"แรงงาน"ด้วยเช่นกัน  เ พราะมันมีค่าของแรง  ค่าของความพยายาม และค่าของความสุข และค่าชองแรงต้านทานและมันมีโมเมนตัม(momentum ) และเพราะมันมีการเคลื่อนที่ งานหาหยาดน้ำค้างที่ลอร์ดมิคานทำไปจึงจัดว่าเป็นกรรมาชีพชนิดหนึ่งเหมือรคนเก็บกวาดขยะเทศบาลที่โนวานั่นเอง แต่ลอร์ดมิคานทำที่เทือกเขาโอเฟ  ด้วนการเก็บหยาดน้ำค้างเพื่อดื่มกิน  งานนี้ก็คือแรงงานเหมือนแรงงานของคนกวาดขยะที่เทศบาลโมวาทำนั่นเอง
       ต่างแต่คนงานที่โนวาได้เงินเป็นค่าจ้าง  ส่วนลอร์ดมิคานได้น้ำค้างกินและมีความสุขใจแทนและน้ำค้างที่ตนเองได้ดื่มกินได้เพราะน้ำค้างที่ตกที่เทือกเขาโอเฟนั้นมันไม่ได้วิ่งมาเข้าปากลอร์ดมิคานถึงที่ดตียงนอนเองก็หาไม่



าสสสวววทมททททมมมท

        ส่วนเรื่องการทำรักแฟนตาซี(fantasy) แบบนิยายรักแฟนตาซี"โอ้ย"ลอร์ดมิคานช็อบ ชอบอย่าบอกใครเทียว มิได้เป็นมนุษย์หยิ่งยโสโอหังหรือทรนงแต่ประการใดๆ
          แต่กับผีแฟนตาซี( ghost  fantac y )นี่ไม่เอา  เพราะมันเขย่าขวัญตนเองและคนดูะพบเห็นเข้า เดี๋ยวมันจะไม่ดี  และถ้าทำกับผีกับศพกับสัตว์"นี่ก็ไม่เอา"อันนี้เพราะมันอปกติ(abnormal )และมันผิดกฎหมาย และจรรยาบรรณของมนุษย์ชาติ
      ส่วนนิยายหนังที่มีแดรกกิวลา(Dracula )และแฟรงแกนสไตล์(Frankenstein )เป็นพระเอกหรือพระรองแบบนั้น พอทนดูได้โดยเฉพาะนั่งดูกันสองคนกับเพื่อนสาวๆหรือกับผู้ชายที่ไม่เป็นลักเพศในโรงหนังเอกซ์(x=extra=exceptional) หรือยู (u=usual =common=unconditional )
     "    แต่ไม่เอกซ์วาย (x y)  โจ่งครึ่มเปลือยหมดนี่ไม่เอา" ที่จัดว่ารู้ด(ru de) สุดขีด"นี่งด"
         แต่กระนั้น  ลอร์ดมิคานชอบดูหนังมนุษย์หมาป่า แม้กระนั้น อีก  หนังประเภทนกเค้าผีคล้ายที่เกาะกิ่งไม้ตามบ้านร้าง แบบตอนกลางคืนกลางแสงจันทร์เดือนมืดมิดทะมึน กลางกิ่งไม้ใหญ่ร้างในปราสาทร้าง ที่ศิลปินมโนวาดไว้หรือเรื่องจริงเชิงสัจนิยม(realism) และมีเมฆสีหมอกดำคล้ำปนขาวหรือมืดแบบดำปิดปี๋

      หรือ ฉากนกกาผี(epitaph )เฝ้าสุสาในป่าช้า ในตอนวัน ก็ชอบดู  เพราะมันวิเวกและแปลกดี และตนเองเคยพบเห็นตลอดเวลาในกลางคืนและกลางวันเพราะตนเองมีขีวิคชอบปลีกวิเวกอยู่แล้วเป็นธรรมชาติที่อยากดู  ฉากนั้นๆก้อเพราะว่าเราจะได้รู้อะไรล่วงหน้าว่าจะมีอะไรพิเศษจะเกิดขึ้นจะได้ป้องกันตนเองได้  คือวิ่งหนีวิ่งหลบหลีกไปก่อนที่อันตรายจะมาถึง หรือต่อสู้กันตามลีลาของมนุษย์อย่างงี้ลอร์ดมิคานก็โอเค(OK) เลย
       

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566

"ปราสาทคูเซอร์และค่ำคืนแห่งความหลัง"รวมบทที่678910-อาจซ้ำซ้อนป้องกันเนตล้ม-งานวรรณกรรมสูญหาย/ขอภัย

ลิเทล10(7927)=35309(5-10)sectors
รวมบทที่67890/10เข้าด้วยกัน
                          ลิเทล9(6899)
"ปราสาทคูเซอร์และค่ำคืนแห่งความหลัง"
 ลิเทล8(6573)"สายลับแห่งมโนธรรม""
ลิเทล7(6250)ทบทวนกันใหม่"
ลิเทล6(6671)
"ลอร์ดนิรนามแห่งมิคาน"
        "ทันใดนั้น""
         เธอนั่งก้มกองยองแล้วค่อยๆพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา ดั่งคนรักกระซิบความลับที่ปกปิดเฉพาะให้ใครคนหนึ่งที่ตนเองชอบมาก ที่มี เจตนาให้ "ใครคนนั้น"ได้ยินที่หู
 และเธอค่อย ๆ พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือและ
จับมือสองข้างของลอร์ดมิคานไว้
ตอนนั้น"มิคาน"อยู่ในท่ายืนและสวมชุดเตรียมนอนหลับ
       
         หน้าของเธอตอนนี้อยู่ตรงหน้าอวัยวะเพศที่เรียกว่า"ควย ศัพท์แสลง=cock= a g ust u s -orgy =pinius)ของลอร์ดมิคานพอดี
         มิคานคิดอยู่ในใจว่า"เธอคงจะไม่มีมุขตลกอะไรเกินไปกว่าจับมือแน่นอนนะ่ เพราะมิคานมนใจไม่ชอบอะไรที่ไปไกลกว่านี้นอกจากเมียบนเตียงนอน" แต่เปล่าหรอกมิคานคิดมากไปเอง เธอมิได้มีเจตนาคิดอะไรลึกถึงขนาดนั้น
     และแล้วก็จริง  ที่เธอไม่คิดทำอะไร?  จริงๆแล้วลอร์ดมิคานกลั้วกลัวแทบตาย คือกลัวว่าเหตุประหลาดทางเพศจะเกิดขึ้น มิใช่เหตุฆาตกรรมลับๆอะไรที่กลัว แต่ถ้าเกิดมีจริงมิคานจะวิ่งเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆแล้วปิดประตูเอาไว้ ใครจะไปรู้เพราะเกิดอาการผีผเช้าหล่อนขึ้นมาแบบวรรณกรรมในหนังเรื่องเอดโซซิส(exorcist)
    
       แต่เดชะบุญไม่เกิด"มโนธรรมนั้นมีจริง""มิคานคิดพึมพำอยู่ในใจ สรุปเป็นที่โชคดีไปที่ไม่มีอะไรเกิดนอกจากที่บอก และท้ายที่สุดได้ผลสรุปว่า
"ลอร์ดน้อยๆชื่อว่ามิคานคิดมากไปเอง"
ก็คิดว่าถ้าเกิดมันคงมห้พวกทาสได้พาไปทำเป็น
        การบ้านแบบอาหารทางความคิดเป็นซีรีส์(series)  หนังทำให้พวกเขาที่เกิดมาม่มีมี
เทวสิทธิ์(theological s n ook) อันเป็นสิทธิในเทวนิยมธรรมชาติที่เกิดมามีขึ้นทันที  เหมือนที่จะทำให้พวกเขาพวกทาสและกรรมกร ป๊ทำงารแลกกันกับเงินเพื่อยังชีพ ขณะที่เราเกิดมามีทันที ไม่ต้องไปทำงานอะไรเพื่อแลกมา
      "ใช่" ทางด้านจิตวิทยาที่พอประเมินได้ และพวกเขาจะได้ลืม  แผนการต่อต้านนายจ้างและนายทุน และตามมาด้วยอีปปิโสด(episode) ใหม่ชนิดหนึ่ง คือการเดินขบวนเรียกร้องค่าเเรงงาน และต้านเศรษฐกิจที่แปรปรวนมนฐานของภาวะเงินเฟ้อและฝืด ที่มันจัญไรต่อสังคมพวกเขาสุดๆ
         ที่นับว่ามีอันเป็นกระแสนิยมในตอนนี้ และลอร์ดมิคานเชื่อว่า "สิ่งนี้อาจจะลามปาม ไปสู่การล้มล้างระบบเทวสิทธิ์เช่นระบบกษัตริย์นิยม การนิยมเจ้าทั้งมวลของโลกได้"
       การคิดไปวิเคราะห์ไป แล้วลอร์ดมิคานก็เก็บไว้ในใจเงียบและปดปิดเสียไม่ไปตีแผ่เพื่อหลีกเลี่ยง
        ความอื้อฉาวแลละอาจจะนำมาสู่การหมิ่นประมาทชนิดหนึ่งได้ที่ ทนายมืออาชีพอาจจะพาไปขยายความขายพวกสื่อพาดหัวข่าวทำธุรกิจ
ชนิดนึงขึ้นมาได้อย่างไม่มีเจตนา
      "ลอร์ดมิคานคิดมากไป  แต่มันไม่เสียหายอะไร
        ในเมื่อคิดแล้วก็ลบทิ้งแต่มัน ทำให้มันเป็นอาหารทางความคิด(the  food  of thoughts )ที่เชื่อว่ามันคงมี"มโนธรรม"ซ่อนเร้น อยู่ในตัวมันเองอีกด้วย
" ลอร์ดมิคานคิด"
           จากภายใต้นอกสามศอกเหมือนเราๆ  ได้ร่างเขียนคิดขึ้น  จนทุกคนถูกใจที่ลอร์ดมิคทนสมญานามให้ใหม่ว่าเป็นลัทธิเทวนิยมใหม่(n e -theology plot)ขึ้นมาภายใต้หัวข้อเทวสิทธิ์อันเป็นเทวสิทธิ์ใหม่ ที่ชื่อว่าสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญ ดั่งที่ทุกฉบับอันเป็นบทของมนุษยชาติที่รู้จักเสรีภาพและสิทธิในการป้องกันตนเอวเอาไว้  ที่ได้มีเจตจำนงร่วมในการตราขึ้น  จนเป็นแฟชั่น(fashions show) ในยุคนี้แล้ว
        "นี่"   เป็นการก้าวย่างสู่ยุคขุนนางใหม่ ยุคกษัตริย์ใหม่ในหมู่ชนอย่างใหม่ อย่างไปได้อีกช้อต(shot) นึงเป็นแน่ อย่างเป็นที่ถูกอกถูกใจกันแม้ท้องของทุกคนชีวิต  จะยังคงโอดหิวข้าวทุกมื้อต่อไปเหมือนเดิมก็ตามทีเถิด
    ลอร์ด มิคานโดยส่วนตัวนั้น  อ่อนโลกและไม่เป็นคนซาดิสต์(sadistic-bugler) ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ  นับจากวัยที่มิคาน มีเค้านมที่ตั้งพานขึ้นแล้วมา  จวบจนและแล้ว  แม้ตนเองจะถูกเพาะเลี้ยงมาจากระบบเด็กในพานทองก็ตาม
      และแม้การเป็นเด็กในพานทองก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องเป็นซาดิสซ์(sadist)เสมอไปเมื่อโตขึ้น  และต่อมา:-
         แต่แล้วเธอก็พูดพึมพำไปว่า:-
"ถ้าเธอยอมรัยฉันเป็ยเพพื่อนของฉัน ๆ
จะยกและตั้งให้ให้เธอเป็นลอร์ดชนิดไม่ทรงกรมผู้ที่ไม่อาภัพอีกต่อไป
      
     "เธอว่างัยจะเอามั้ย" หล่อนถามด้วยเสียงผู้ดีโบราณนิดๆ
"เคาเตสสโลเนียถามมิคาน"
       และฉันจะตตั้งให้เธอเป็นเจ้าชายในดวงใจฉัน โดยที่เราไม่ต้องมีอะไรต่อกันในทางชู้สาว แต่ขออย่างเดียวเราเป็นเพื่อนรักกันเท่านั้นพอ"
ว่างัยถ้าคุณไม่ถือ "หล่อนกล่าวในที่สุด"
          "ลอร์ดมิคานคิดอยู่ในใจแล้วว่า  ตนเองก็มีเชื้อลอร์ดอยู่ แล้ว  แต่งดใข้ด้วยเหตุผลอันอุกฤษฎ์บางอย่าง  แล้วจู่ๆเธอหญิงผู้สูงศักดินาและมีอำนาจ  มาเสนอตั้งและยกใป้ตนเอง ขึ้นให้โอกาสเป็นลอรร์ดนิรนามจขึ้นมาอีก  แต่มิคานคิดแล้วก็เลิกคิด  แต่ฟังเธอพูดดีกว่า  เพราะเธอ้ป็นผู้หญิงและอ่อนโยน" 
         มีอะไรก็ว่าๆไปสนุกดี  ลองดูซิว่า
:-ว่าจะเป็นอย่างไวต่อไป  ลอร์ดมิคาน
พยายามจะอธิบายตนเองด้วยตนเอง และรับฟัง
ฟังเธอพูดอย่างเดียว  เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
        มันเป็นเวลาที่ไม่มีใครจะอยากทำเสียงให้เกิดขึ้นในช่วงดึกๆ เช่นนี้ นอกจาก  เกิดการกบฎ การปฏิวัติ และเกิดสงคราม หรือโจรสลัดมาปล้น เพราะส่วนหลังนี้ไม่มีใครห้ามได้ "ก็เท่านั้น""
         เธอพูดจบแล้วขู่แล้วกระโจมเข้าหอมแก้มดังจุ๊บๆ ที่หน้าผากมิคานหนึ่งทีทันที  ด้วยสายตาเกรี้ยวกราดดังแม่มด
         และจูบย้ำเขาให้1ทีและอีกทีด้วยรอยลิปปลายปากของหล่อนอย่างแผ่วเบา  ประกบแน่นเข้าไปอีกครั้ง มีเสียงดัง"ฝอดๆ"
       ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างแผ่วเบา ในท่ามกลางรัติกาลเช่นนี้  บรนจงหอมลงไปที่แก้มข้างขวาของมิคานอีกด้าน   เหมือนการหอมแก้มแมวจูบจมูกแมวตัวโปรดยังงั้น มิคานหน้าแดงก่ำ
เพราะตนเอวไม่เคยโดนใครทำแบบนี้มาก่อนนอกจากแม่นมของมิคานเอง  พร้อมความตกกระใจไปหมดเลย
          และมิคานเอามือตัวเองมาลูบแก้มรอยจากจูบของหล่อนและอึ้งคิดไปพลาง
       
           และลอร์ดมิคานพลางคิดอบู่ในใจว่า
"ลอร์ดลิเทลมิได้พาเรามางานราตรีสโมสรคืนนี้เพื่อสิ่งนี้แน่นอน!"  แต่นี่เป็นเหตุบังเอิญแน่ๆ และจริงแท้
           และบัดเดี๋ยวนั้นต่อมา
        แล้วเธอก็รีบผละออกจากตัวมิคานเดินลงบันไดไปจากหน้าห้องนอนที่รับแขกแห่งปราสาทที่คืนนี้คือห้องรับรองของมิคานนั่นเอง
              ตอนนั้นเชื่อว่า "ลอร์ดลิเทล"ยังไม่ตื่น และไม่ได้ยินแอบดูงี่ยหูฟังแม้ห้องของลิเทลจะอยู่ไม่ติดกันพลางคิดอย่างไม่ทัรตั้งสติว่า  "อาจจะมีฆาตกรรมพิสดารอะไรในคืนนี้"
          และมันอาจจะเกิดขึ้นในคืนนี้กับมิคานหรือไม่เท่านั่น เพราะตนเองเพิ่งจะมาเจอมนุษย์กิาน้ำค้างเป็นรายแรกในขีวิต ที่เทือกเขาโอเฟ ติดถนนทางไปสวรรค์ที่เป็นจุดกำเนิดแรกที่บังเอิญเกิดขึ้น โดยที่ลอร์ดลิเทลไม่ได้คาดคิดมาก่อน
         ถ้าการแอบดูคนอื่น นั้นเพราะปกติการแอบดูมันมิใช่วิสัยของลอร์ดที่จะทำ
         แต่ว่าอาจจะเกรงกลัวว่า"ทำอะไรกันที่ไหนอย่างไร""เป็นเชิงมีเหตุฆาตกรรมพิสดารอะไร ถ้ามีการกระทำจริง  ตนเองจะได้หาทางออกที่ดีต่อไป
      ลอร์ดลิเทลก็ตั้งใจจะดูอะไร  ก็จะเปิดเผยตนเองแบบไม่ต้อง"แอบ"นี้คือวิสัยของคนมีศักดินาเป็นท่านลอร์ด
        ส่วนลอร์ดลิเทลคาดว่าวันพรุ่งคงจะต้องนอนตื่นสายเพราะอดนอนจนหนังตาปิด  ให้ตื่นแต่วันตามปกติวิสัย
        และเพราะลอร์ดลิเทลไม่ชอบและ"ไม่ชอบทำอะไรที่ฝืนตนเอง"และจวบกับที่เหนื่อยมากกับค่ำคืนของราตรีสโมสรที่ผ่านไป
       การชมธรรมชาติในยามเช้าตลอดถึงภูเขาเขียวที่ริมปราสาทคูเซอร์
        ธรรมชาติของผีเสื้อและนกป่าจำนวนมากและหงส์ฟ้าคู่ตัวชอนเล่นน้ำกอดกันกลางสระหย่อมในปราสาท คูเซอร์ ลอร์ดลิเทลก็ไม่สนใจ
สิ่วเหล่านี้"นกยามเช้าที่มิคานสุดชอบ"แต่ลอร์ลิเทลกลับชอบบรรยากาศ การอาสาช่วยพวกทาสและสมทบช่วยกันทำความสะอาดปราสาทคูเซอร์ หลังเสร็จงานราตรีสโมสรวิทวัสเสร็จ เสียมากกว่า
        และไม่ชอบจะไปขอเอาแรงจากลอร์ดมิคานมาช่วยอีกด้วย เพราะอยากให้เกิดขี้นเองแบบสมัครใจ นั่นคือธาตุแท้ของลอร์ดลิเทล จากจุเด่นนี้ของลิเทล  จึงเกิดปมเชิงบวกของเรื่องหนึ่งนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยต่อๆมา  จนยาวต่อมาเป็นประวัติศาสตร์ของลิเทลที่ได้จารึกไว้ว่า  "หลังจากที่ลอร์ดลิเทลตายลง  จึงเกิดลัทธิลิเทล(litellism)ขึ้นมาให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่าน พร้อมอนุสาวรีย์ไว้ที่หน้าเมืองและหน้ามหาวิทยาลัย  และหน้าปราสาทคูเซอร์" ในยุคสมัยต่อมา
        ลัทธิลิเทลคือ การมีชีวิตอันบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใดเมื่อทำกับใครใครมา และการกระทำนั้นต้องไม่ขัดเจคนารมณ์ หรือฝืนใจใครอื่
นมาช่วยทำทั้งสิ้น  เป็นหลักการทำงานและเป็นธรรมาภิบาลของ"ลัทธิลิเทล"นี้สืบต่อๆมา
        และในการที่ลอร์ดลิเทลจะไปถ้ำมองหรือสงสัยอะไรและจะไปแอบบดูใครมี"ซัมซิ่งรอง" (something wrong) กันนั่น"มันผิด"
          สำหรับลอร์ดลิเทล "เว้นการร้องไห้ การขอความช่วยเหลือเกิดขึ้น การเอะอะโวบวายเกินเหตุมีการบาดเจ็บ และการตายเกิดขึ้นซึ่งหน้าลอร์ดลิเทลจึงจะหันมามอง และที่สำคัญคือมีอาวุธปืนยาวมิใข่เพื่อแก้เผ็ดหรือการฆ่า แบบจะฆ่าเสือโคร่งดุกระโจนมาจะกินคน"
       แต่ลอร์ดลิเทลมีปืนลูกซองคู่ชีวิตก็เพื่อไว้ป้องกันตนเองเท่านั้น  นั่นคือธรรมชาติที่ลอร์ดลิเทล"เป็น"และ"มี"
        และสืบต่อมาก็เชื่อกันว่าคุกทุกวันนี้ที่"เมืองโนวา" ก็มีไว้ทีเรียกว่า เป็นอย่างเปลือภาษีของรัฐและประชาชน ก็เพี่อมีไว้เพื่อที่จะจองจำคนที่ไม่มี
นิสัยเหมืแน"ลอร์ดลิเทล"เท่านั่นเอง
พวกชาวเมืองโนวาจึงคิดที่มีคุกตะรางนั้นไว้
         ลอน์ดลิเทลไม่ชอบนอนตื่นสาย และ ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ก็จะไม่สนใจที่จะได้ยินเสียงนกพูดกัน เหมือนกับตอนนอนแล้วได้ตื่นมาแต่วันแต่ละวันแต่เชิญ"นกร้องตามใจชอบ" 
        ที่ลอร์ดลิเทลไม่ชอบฟังเสียงนกนอกจากงานจิตอาสาเพื่อพลเรือน(civic) ผาสุกใจ เท่านั้นเป็นบรรทัดฐานชีวิต เพราะมีสมาธิ"จิตอาสา"เป็นคุณสมบัติ  ที่คุกกรุ่นอยู่ในใจของลิเทลตลอดเวลาอย่างบ้าคลั่งต่างหากเท่านั้น  และลอร์ดลิเทลก็มุ่งคิดแต่จะเก็งกำไรจากความดีสากลชนิดซุมมุม-โบนุม(Summum bonum)ที่มีและมีมากกว่า นั่นคือความดีสูงสุดนี้ต่างหาก อย่างจริงแท้
แม้ใครจะหมั่นไส้ก็ไม่กลัวแต่ไม่มี'สีเทา""
       ในทุกฉากบทไม่ว่า จะเป็นกับหญิงสาวหญิงแก่แม่หม้ายคนหนุ่มอกหักหรือคนพิการใด ๆ เอย่างเป็นบริบท  และจาก"คุณ"อันนี้หลังท่านตายไปแล้วนักปฏิมากรๆด้ปั้นร๊ปท่านมีลอร์ดมิคานยืนเกาะขาท่าน(ตัวลอร์ดลิเทลสูงใหญ่อย่างไกิ้ง(Viking)และอายุมาก 
         แต่ตัวลอร์ดมิคานนักปฏิมากรที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทางปฏิมากรรมศาสตร์  เขาได้ดำริปั้นเป็นตัวเตี้ยให้สูงเพียงเอวท่านลิเทล) ตั้งเป็น อนุสาวรีย์อนุญาตไว้หลายต่อแห่งเป็นอนุสรณ์  สำหรับลอร์ดมิคานเพียงช่วยไปเป็นเพื่อนลอร์ดลิเทลผู้ชรา ในงานราตรีวิทวัสคืนนั้นที่เทือกเขาโอเฟ และได้พากันไปที่ปราสาทครูเซอร์ที่ซึ่งจัดงานตามประวัติศาสตร์
         ก็ได้รับเกียรตินี้จากปฏิมากร(ชั้นเยี่ยมสอบระดับ"Bona-fide=ชั้นสูงสุดของรางวัลได้")
ซึ่งปฏิมากรหนุ่มนั้นจาก เหตุเพราะว่าลอร์ดลิเทลรักลอร์ดมิคานน้อยนี้มาก  คือรักดุจบุตรจากอุทรเลยทีเดียวและลิเทลเองไม่มีทายาท
        หลังจากที่ลอร์ลิเทลและลอร์ดมิคานคายไปแล้วเป็นเวลาเนิ่นนาน
    " เสียง"  ที่มันมากลบเกลื่อนความชอบ จากเสียงนกร้องตอนเช้า ให้หมดไป จากการหยุดฟังเสียนกและการสงบสติอารมณ์กับการสัมผัสกับเสียงและน้ำของฝนร่วงพรำโปรยในตอนเข้าตรู่
เหตุกาณ์นั้นๆไปหมดสิ้น"ก็เท่านั้นเองเป็นเหตุผล"
         
            และตัวนกกรงหัวจุกเขา ที่มี ชื่อปรากฏทางอนุกรมแมกโซโนมี"taxonomy" ว่า(Pycnonotus jocosus=นกปรอด=นกกรงหัวจุก)ที่นกชนิดนี้
          ที่เป็นนกชอบปลุกคนตื่นในตอนเช้าบนต้นไม้ ด้วยเสียงนิ้มนิ่ม! นั่นคือช่วงเวลาที่ลอร์ดมิคานชอบที่สุด และก็ไม่ว่าอะไรหรือถือโทษอะไรกับ"นกปลุกตื่น=นกกรงหัวจุกเขา"ชนิดนี้มาทำกวนใจอะไรก็ไม่
        เพราะจะได้เสพธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่จะทำให้ร่างกาย  มีกำลังและอ่บอุ่นและอายุยืนไม่เจ็บป่วย
          และที่ดีมากคือ  ธรรมชาติเหล่านี้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปแลกซื้อมา สิ่งแบบนี้เมื่อได้มันแล้วได้เลยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เพราะทรัพย์เหล่านี้มันเป็นทรัพย์สากลที่ไม่ทมีใครหวงและสงวนลิขสิทธิ์มันได้
        ลอร์ดมิคานเริ่มมาคิดทบทวนใหม่ เพราะจากเหตุการณ์เมื่อตะกี้  ที่ทำให้ตนเองมีสติ-สตังค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมดเกลี้ยง"สาบานได้""
จึงคิดว่า
        เมื่อสักครู่ท่านเคาน์เตสพูดอะไรกับเราไปบ้าง เพราะประสาทตื่นตัวไม่ไว  เนื่องจากตนมีนิสัยอ่อนเลข  แต่ประสาทตนเองตอนนั้น มีสมาธิกัลการงัวเวียกับความหลับเสียมากกว่า
ที่หลับๆตื่นๆที่ยังไม่ค่อยจะเต็มอิ่มเป็นสำคัญหรอก! 
"มิใช่อะไร"
          อ๋อ!  คิดได้แล้วก่อนเธอจะผละไปอย่างฉับไว
     มิคานจึงได้ถามที่อยู่เธอว่า "เธออยู่ที่ไหนแล้วถ้าว่างในวันของช่วงใดผมมิคานจะไปหา หรือแวะชวนไปหา"กินน้ำค้างกันที่เทือกเขาโอเฟอัน
แสนสนุกกัน
มิคานกำลังทบทวนความคิด
อีกสักครู่ต่อมา
    
        จึงคิดได้ว่า
"แต่เปล่าามิคานไม่ได้ถามหรือเสนออะไรเธออย่างนั้น""
        "แม้ชื่อเล่นของเธอ มิคานก็ไม่ได้ถาม""
เพราะโลกของลอร์ดมันไม่ได้อยูกับเฟส(facebook) หรือไลน์(line)อะไรกัน ดังที่ชาวโลกนิยมเป็นกัน ฉะนั้นจะรู้อะไรอย่างไร ก็ครั้งเดียวรู้เรื่อง "ชั่วเพียงแป๊ปเดียวที่พบกัน"และกัแล้วก็หมดกันไป ทำนอง จากกันไปแล้วไปเลย
   
           จะพบกันอีกที่ไหน คงไม่มีอีกอาจจะเป็นชาติต่อไปก็ได้สำหรับพวกเรา
 เพราะธรรมดาลอร์ด  จะไม่ยินดียินร้ายกับโลกภายนอก  นอกจากที่อยู่ที่กินนื่นอนที่เรียน
ที่อ่านหนังสือ หรือที่เป็นอันเป็นส่วนเฉพาะตัว
ที่สืบสายโลหิตกันมาแต่บรรพบุรุษโป้น!
         แต่ชื่อเล่นที่เห็นตรงคอเสื้อ คล้ายเสื้อติดเหรียญของ"เกสตาโป"(gestapo= Geheime Staatspolizei=ตำรวจลับตั้งเมื่อค.ศ.1933=Prinz-Albrecht-Straße 8, Berlin)รัฐชั้นผู้นำ ในสมัยสงครามโลกยุคฮิตเลอร์(Hitler) เสื้อดำนี้จะคลุมทับด้วยสีดำขนสัตว์กันหนาว  ขนหมีคงจะเป็นขนหมีป่า 
        มันจะกำหนดปักเป็นชื่อที่ชัดเจนที่ปักที่น่าอกเป็นอักษรโรมันสำหรับชาย  และตัวอักษรเกอธิคสำหรับหญิง  สำหรับสีตัวอักษรสีขาว ทั้งของชายและหญิง มีตราสวัสติกะคล้าบของนาซีแต่รูปสวัติกะเวียนไปทางซ้าย  ปรากฏทั้งของชายและหญิง  ทั้งหมดนี้ที่ถูกออกแบบโดย"ลอน์ดกีชชาร์(lord gRIsha) "ท่านเป็นลอร์ดในยุคกลาง
        
             ที่งานราตรีวิทววัส  ทุกคนที่มางานนี้  ต้องมีชื่อจริงติดอกอีกด้วย. ทางปราสาทต้องทำติดให้ทุกคนเมื่อย่างเข้าประตูปราสาทคูเซอร์ในคืนจัดงานประจำปี อีกอย่างติดที่น่าทุกคนแต่มิคานจำไม่ได้  ที่ทำแบบนี้เพื่อกันมีเหตุร้ายจะได้รู้ว่าใคร เป็นใคร เพื่อนำศพส่งกลังวังเดิมได้ถูกและไม่สับสนและสร้างปัญหากับพวกทาสรับใช้
    
            "แต่ก็ไม่เคยทีเหตุร้ายทที่ปราสาท"คู
เซอร์แม้ในยามสงคราม" แต่ทุกครั้งที่มีงานต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันเสมอ เพราะตามประวัติที่นี่เคยมีผีดุและเป็นรังแม่มดดุจรังต่อหลุมมาก่อน
ในสมับโบราณตอนนี้ที่มีอันศิริวิไลซ์มากสุด
        "นั่นก็คือ"ตัวผีเสื้อยักษ์มีตานางพญาผีไฟที่ปีกและผีเสื้อแคระตัวปีกสีหลืองธรรมดาและกระแตหางดำเท่านั้น
         กระแตหางดำมันเป็นสัตว์น่ารัก ตัวเล็กกว่ากระรอก และกระจ้อน  มิคานพบว่ามันเหมือนกับกระแตในภาพวสดของจีนโบราณ
    
           คนที่ไม่มีชชื่อติดที่หน้าอกแสดงว่าเป็นคนเถื่อนหรือคนแอบเข้ามา  ถ้าพบห้ามิให้ใครคบและพูดด้วย หากผิดสังเกตมาให้จับตัวออกไปนอกปราสาททันที หรือให้ตำรวจลับที่ติด
อาวุธจัดการออกไปทันทีและห้ามมิให้มีเสียง
รบกวนงานนี้เด็ดขาด ส่วนงานให้เป็นปกติแม้จะมีเหตุร้ายอะไรกิดขึ้นใรคืนวิทวัสนี้ มีตำรวจลับพร้อมอาวุธเก็บเสียงคอยรักษาปราสาทอย่าง
แน่นหนา
         นอกงานบริเวณปราสาท พร้อมหมาเอลเซเซียยแสนรรู้1ตัวต่อตำรวจลับ1นาย และห้ามตำรวตลับที่ประจำการเข้ามาร่วมงานวิทวัสนี้เด็ดขาดทุกกรณี มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ 
           และห้ามเงยหน้าหรือสบตาคุยกับผู้มาร่วมงานนี้เด็ดขาด มีเหตุต้องก้มหน้าคุยกันและไม่ต้องแสดงความเคารพ
อะไรโดยประการใดททั้งงสิ้น"เพียงยืนก้มหน้าพอ""เป็นกฎ  มันแปลกแต่มันเป็นกติกาที่ใช้มา2,000 ปีแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ และทางปราสาทจ่ายเงินพิเศษพร้อมเหล้าวิสกี้และวอดก้าอย่างแรงรสร้อยปีหมักบ่มให้คนละขวดหลังเลิกงานให้พาไปกินที่บ้านทุกคนสำหรับตำรวจลับเหล่านี้ พร้อมซองรางวัล
      
           และก็ลอร์ดมิคาน  หนึ่งคนในจำนวนนั้นและลอร์ดลิเทลอเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นไม่มีชื่อติดที่หน้าอกในคืนนั้นในงานนี้
เพราะทุกคนในงานรู้จักลอร์ดลิเทลดี
      อาหารเช่นเนิ้อแฮมเนื้อวัวย่างเนิ้อแกะเนื้อแพะและไวน์มีมากมายมีไว้โดยมีบริการไว้อย่างดี
พร้อมผลองุ่นสีทองและสีม่วงดำเสริฟ์พิเศษอีกด้วย ครับรับใช้บริการในงานเป็นกระเทยและ"ขันที"(คนไม่มีอวัยวะเพศ)เท่านั้นทั้งหมดที่ทำหน้าที่  นางบริการงานนี้เป็นแบบหญิงหูกระต่าย  ชนิดแต่งตัวแบบในนิตยสารเพลย์บอย(playboy) 
    
            ทุกคนต้องทำตัวแบบช่วยตนเองสุดๆ แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกลับไปหฃังเลิกงาน
ไม่มีการจูบลาอย่างดูดดื่มต่อกัน และไม่มี"เมียบริการ"หรือมีเมียครึ่งทาง ทีนี่เป็นสวรรค์ของคนมีพรหมจรรย์จริงๆเท่านั้น  อาจจะเข้มงวดมากเกินสามัญและแปลกมาก  เหตุผลเพราะงานวิทวัวนี้ต้องการไว้อาลัยทหารในอดีตและอดีตของข้าทาสที่ตายในสมรภูมิสงครามในอดีตทุกสมัย 
         ซึ่งมากมายนับไม่ถ้วนนั้นเอง "ขอให้วิญญาณพวกเขาจงสู่สุคติ" ด้วยการทีราตรีวิทวัสนี้ที่มีระเบียบฝืนโลกมากดังที่ปรากฏนี้เป็นสัญลักษณ์ในการไว้ทุกข์และไว้อาลัย  และสดุดี  เพื่อนพลีชีพเพื่อแผ่นดินทั้งหลายนั่นเอง
          และหลังงานนี้เสร็จลอร์ลิเทลก็จะพาลอร์ดมิคานมาที่บ้านที่ปราสาทโนวาต่อไป แม้มิคานอย่กกลับไปทีททุ่งโอเฟเพื่อหาดื่มน้ำค้างต่อจากจถดที่ลแร์ดลิเทลพบกันที่เมือกเขาโอเฟทางหลวงสายใหญ่ทีทชิ่อทางสวรรค์
แต่ลอร์ดลิเทลไม่ค่อาจะเห็นด้วย
    
           ลอร์ดมิคานมิสุดทานความประสงค์ของลอร์ลิเทลได้  มิคานจึงยอมไปกับลอร์ดลิเทล
โดยดีเพื่อไปปราสาทโนวาของลอน์ลิเทล
และท่านลอร์ดลิเทลสัญญาว่าจะให้นกเขาสวยหายาก1คู่เป็นรางวัลแด่ลอร์ดมิคานอีกด้วย และถ้าลิเทลให้นกสวยจริง ร้องเสียงเพราะะจริง มิคานก็จะนำนกเขาคู่นี้ไปให้ โดยจะมอบให้ท่านเคาน์เตสสโลดอเนีย ต่อไป ถ้าลิเทลพบกันอีกในครั้งต่อไป
      ลอร์ดมิคาน
หลังจากถูกยกให้เป็นลอร์ดนิรนาม(the lord of pretender) ในเคาน์เตสสะโลเนีย(countess of S L o d o n i a )แล้วในค่ำคืนงานราตรีสโมสรวิทวัสนั้น(คำว่าวิทวัสเป็นนิคแนมของงานราตรีสโมสรครั้งนี้ และยกให้เป็นเกียรติแด่ลอร์ดลิเทลที่พาลอดร์ดแปลกหน้าและเป็นลอร์ดนิรนามมาด้วยเท่านั้น 
     
           เสนอชื่อคำว่าวิทวัสต่อสร้อยคำว่าราตรีสโมรสรนี้โดยลอร์ครูเชผู้อาวุโสท่าน"
โดยงานครั้งให้ทุกคนถือว่าคือวันนี้นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์แรก ที่สมาชิกท่าหนึ่งของงานได้นำคนแปลกหน้าเข้ามาในงาน ของปราสาทคูเซอร์นับมา2,000ปีที่มีการกำหนดจัดงานราตรีนี้เป็นที่ทำเป็นประจำปี)
        
           ความตั้งใจจริงของท่านคือ
เพื่อมิคานจะได้เป็นเอกลักษณ์แห่งความเมตตาจากขุนนางผู้อ่อนโยนแต่เถนตรง  อย่างท่าน
ที่พวกทาสน้อยคนจะเข้าใจได้ดีในเรื่องนี้
"มันเป็นวิชาสปิริตของลอร์ด คำว่าสปอริตในที่นี้มิไดสื่อว่าเป็นเห้ลารสแรง  แต่สื่อว่าสปิริตคือคำที่สื่อเป็นพลังมโนธรรมในใจที่คนอย่างลอร์ดมี" 
         ไปกว่าท่านเคาน์เตสส์แห่งสะโลดอเนีย และความเข้าใจของลอร์ดมิคานเอง  ที่เข้าใจในตัวท่าน มิใช่เพราะว่าท่านสวยและเลอสรวง ขาว และสะโอดสะองค์และเป็นเลดีชิป(ladyship  )อย่างสง่างาม  และผิวเนื้อนั้นนุ่มปานสำลี
            ลอร์ดมิคานจึงชมเชยท่าน  มิใช่ใคร่ในตัวท่านหญิงแต่อย่างใด เมื่อพบพานสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจริง "ที่มิได้มโนเอาเอง"
     
 
         และทางฝั่งมิคานหรือก็ใช่ว่า ที่ถูกนิรนามให้เป็นลอร์ดเพราะสาเหตุที่ลอร์มิคานรูปหล่อ สมาร์มใหมู่ชนเมื่อออกสังคมน้อยใหญ่
   
          และกอร์ปกับเป็นคนเงียบและเป็นมนุษย์มีความจริงใจต่อความจริงปรากฏ  และเป็นคนมีธรรมชาติที่ขยันซื่อสัยย์ต่อหน้าที่  ไม่ละเว้นหรือละเลยสิ่งที่ตนเองต้องรับผิดชอบ อันมีสถานะชั่วและดี  และความขาวขาวดำๆ อื่นใดๆทั้งสิ้นที่ประชิดมาเสนอให้ตนเอง นอกจากข้าวบาร์เลย์ที่สุกแล้วต้องกินมันเมื่อหิว แต่มิคาาสามารถอดได้
       
         เมื่อการมีภารกิจสำคัญมาถึง เช่นในสงครามหรือวันมีนัดกับแเฟน(fan -f c =friend club)และเพื่อนรักสุดๆใด
ที่ลอร์ดมิคานได้มีโอกาส ก็จะรับผิดชอบอย่างสุดใจขาดดิ้นแต่ละมุนและไม่แสดงออกเป็นอาการของมนุษย์ปกติ
   
           การ  ที่จะแสวงหาปรัชญาธรรมอันล้ำลึก และลอร์ดมิคานนั้นรูปทรงสวย  และก็สวย มีทรงจมูกโด่ง  คิ้วงามเหมือนกระเทยที่แต่งตัวลักเพศใดๆ แต่ที่จริงลอร์ดมิคานเป็นเช่นนั้นเองโดยธรรมชาติคือเป็นผู้ช่ายเต็มตัวมีความเป็นแมนแฃะเลดี้เฟิร์ท(man&lady first styl i s t i c )  แม้ว่ามิคานดูแต่จะคล้ายๆกับผู้หญิงเท่านั้นที่น่าจะเรียกลอร์ดมิคานว่าเป็น "เอกลักษณ์ของเอกบุรุษ"
จริงๆ
    
            และที่สำคัญที่สุดคือลอร์ดมิคานไม่เป็นคนพิกลพิการอะไร เช่น ตาบอดหูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียแขนขา ฟันขาวสะอาดสมบูรณ์ทุกซี่เป็น
และที่สำคัญในบทบาทเพศวิถีวิสัยระหว่างเพศ
      
         ถ้าท่านลอร์ดมิคานสามารถมีโอกาสทำอะไรที่ต้องใช้อวัยวเพศเป็นสื่อพลกำลังชายทีทถาโถมไปข้างหน้าอย่าง อาทิ เช่น
        วัวกระทิงทำเมื่อถึงวาระจำเป็น  แม้มิคามมีสิ่งนี้ แต่ก็แอบปกปิดและซ่อนเร้นเอาไว้เสมอ ดุจดาบในฝักของอัศวินและปัญญา
         " ใช่"  ก็จะทำหน้าที่นี้ได้ดีบนเตียงนอนกับเพศหญิงได้ดีที่สุดทุกเมื่อ  เมื่อทุกอย่างลงตัว แม้ทาสหลายคนในกลุ่มผู้รับใช้แห่ง"สะโลดาเนีย"จะสงสัยและต่างก็ไม่เชื่อว่าทั้งสองไม่เคยมีอะไรกัน" เช่น"สีสงคา"ทาสผู้ใกล้ชิดประจำตัวในท่านเคาเตสคนหนึ่งละ!
          ที่ไม่อยากจงใจเชื่อในเรื่องนี้ เพราะเธอพบว่าลอร์ดมิคานกับท่านเคาเตสแห่งสะโลดอเนียชอบใช้ชีวิตลับอยู่กับลอร์ดมิคานเสมอ ด้วยกันสองต่อสอง เมิ่อได้มีโอกาสพบกันเป็นเวลา3ถึง4ชั่วโมงในห้องส่วนตัวของท่านหญิง และมิหนำซ้ำทั้งสองยังปิดประตูใส่ลงกลอนอีกด้วย ยามได้พบกัน
           "ที่นางทาสหญิงชื่อว่า"สีงสงคา=ทาสผู้รับใช้วัยเอ๊าะๆวัยกำดัด แต่มิใช้ให้ใช้เป็นเพศวัตถุ" เคยเห็นและตั้งข้อสังเกตไว้แต่เธอก็จงใจปกปิดมิให้ใครรู้ เพราะเป็นธรรมเนียมอันดีงามของทาสประจำวัง
            แม้ว่าสีสงคาจะมีปรัชญาว่า "มนุษย์ก็คือมนุษย์  มันเหมือนกันหมดในเรื่องความต้องการในรสแห่งกามคุณ เพราะสีสงคาเชื่อว่า กามคุณไม่มีเชื้อชาติ ศาสนาและชนชั้นและพรมแดน
อันเป็นปรัขญาแม่บทของ"สิงสังคา "ทาสผู้โง่เขลา
          แต่สำหรับลอร์ดมิคานและลอร์ดอื่นและขุนนางกลับคิดตรงกันข้ามในปรัชญาแม่วทขงสิงสงคา โดยเฉพาะสำหรับท่านหญิง"สโลดอเนีย""
        "ใช่"   มันเป็นมรรยาทที่ทาสแห่งสะโลดอเนีย ที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นนิสัยสมบัติแม้ไม่จำเป็นต้องฝึกพร่ำสอนและติเตียนและดุด่าอย่างเป็นกฎหมาย แต่มันก็เป็นทั้งวัฒนธรรมและทั้งประเพณี (c u st o m s )
ของทาสและควรจะเป็นเอกลักษณ์ประจำตีวของมนุษย์
         ทาสหญิงที่ชื่อว่า"สิงสังคาสะกี=s i n g s ankasky" จึงไม่รู้ความจริงและความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์พิเศษคู่นี้ไป แต่ทาสรายอื่ยสงสัยเหมือนกันแต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด คือเป็นยี่ภู่(ทาสเรียงหมอนปูทำที่นอนปนะจำตัวทำให้ขุนนาง)และเป็นต้นห้องให้ท่านหญิงนั่นเอง
        ถามว่าชายกับหญิงเข้าในห้องส่วนตัวมีความเป็นสองต่อสอง ใน ห้องที่ปิดมิดชิดใส่ลงกลอนทำอะไรกันต่อจากนั้น
       " เทพเจ้าแห่งความลับ"ขอเสียนิสัยตอบและตอบแทนข้อสงสัยว่า "ทั้งคู่ใช้เวลานวดเฟ้นให้แก่กันและกันด้วยร่างเปลือยเปล่า ชนิดมิใช่ผลัดกันนวดและผลัดกันนาบแต่ประการใด
และเรือนร่างของทั้งสองมันเต่งตึง ใหม่เอี่ยม
         ในทั้งคู่อยู่ในสภาวะ และในสถานะวัยเบญจเพศของมนุษย์เป็นเครื่องยืนยัน คือเปรียบสเหมือนคืนที่คู่สมรสแรกแห่งคืนส่งตัวเข้าเรือนหอเป็นแต่ เป็นแค่ทว่าสองคนนี้ไม่เคย
มีเพศสัมพันธ์กันเลยมนทุกๆกรณี
อย่างที่ปกติมนุษย์จะเป็นและ"ไม่มีเหลือ"
          และไม่มีใครจะอดเสียมิได้เมื่อหญิงกับชาย
มีโอกาสอยู่ด้วยกันลักษณะและสภาพนี้
อยู่ในสภาพนี้และในสถานการณ์เช่นนี้นี้
คือถ้าไม่ร่วมเพศกันก็มีฆาตกรรมเกิดขึ้นเป็นโศลกเท่านั้น
         ถามว่า"เชื่อหรือไม่เขื่อ" เมื่อถูกเทพเจ้าแห่งความสงสัยเฉลยแบบนี้
         คำตอบมีว่า"ถ้ามีค่าแห่งความสงสัยเกิดต่อไปอีกกะใครๆ!
         คำตอบมีอีกมิใช่ไม่มี!
คือไม่อยากคอยข้อสรุปอื่นใดอีก
นั่นคิอมีคำตอบว่า
"สุดแท้แต่จะคิดกัน"
         หรือมีผีให้ตำรวจมาพิสูจน์การตายถ้ามีสาเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงในวันพรุ่งเท่านั้นเป็รคำตอบหรือรอเวลาระยะหนุ่งฝ่ายหญิงจะท้องโตพุงป่องขึ้นมา แต่กรณีนี้มียาคุม แต่มีมโนคจิอย่างหนึ่งปรจำ"ปราสาทสะโลดอเนีย" คือว่าที่บ้านและวังของท่านขุนนางท่านนี้ผู้ใดก็ตามยกเว้นทาส"ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดหลังภารกิจหรือเสร็จกิจทาวเพศเด็ดขาดและมีข้อบังคับห้ามใข้ถุงยางสำหรับเพศขายอีกด้วยเป็นบรรทัดฐานที่
ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
       ลอร์ดมิคานเชื่อว่าเท่าที่ลอร์ดผู้เฒ่าลิเทลได้นำตนมางานในราตรีสโมสรวิทวัสในคืนนี้ เมื่อได้พบเห็นปราสาทคูเซอร์ด้วยตาตนเอง  เป็นครั้งแรกในชีวิต จึงประเมิณได้ว่า:
       ถ้าพระอาทิตย์เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ล้านปีแล้วจริง  ตามนักวิทย์ยืนยันแล้ว  ปราสาทคูเซอร์นี้น่าที่จะเปรียบเทียบเท่าเวลา  ที่พระอาทิตย์เกิดแม้ปราสาทเป็นสรรพสิ่งในโลกที่มิใช่พระอาทิตย์
      และมองว่าปราสาทคูเซอร์นี้ช่างเป็นเหมือนโลกสวรรค์ของมนุษย์  และเป็นนรกของคนที่ตายไปแล้วเนื่องจากว่า  คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถจะมาพบเห็นงานราตรีวิทวัสนี้ในร่างของมนุษย์ผู้มีสิทธิ์เสพสุขอีก  ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย์ที่เสพอากาศโโซน(ozone)ได้อยู่
และปราสาทคูเซอร์นี้คือ  หอกำหนดโทษของทาสผู้ทรยศตนเอง และปราสาทนี้นี้คือมโนธรรมของมวลมนุษย์
แล้ว
   ใครละเมิดมีโทษถึงประหารชีวิต หรือถูกทหารนำไปปล่อยลงทะเลให้ว่ายไปตามเกาะหรือเนรเทศออกจากแอ
ว่นแคว้นอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
ทุกอย่างก็บบลวไม่มีมครกบ้าสวายอีกต่อไปนั่นเอง
เลย
         เพราะสนิทสนมกันมาก
      คือมีน้ำหอมชั้นเยี่ยมและไวน์แดงชั้นดีคั่วไปกับด้วยเพื่อกิจกรรมคู่บนเตียงอันสุจสมภิรมย์หมาย
        และที่สำคัญ"ท่านเคาเตสสะโลดอเนีย" แม้ยังสาวอายุน้อยกว่า ลอร์ดมิคานอีกดวย ที่สำคัญท่านเคาเตสฯ ยังไม่เคยมีชีวิตสมรสและเป็นหญิงพรมจรรย์
       มีวัฒนธรรมการสมรสแบบ"วิกตอเรียน"(Victorian=ของอังกฤษ)(ไม่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้แต่งงาน) และพร้อมที่เสพสมบ่มิสมกับลอร์ดมิคานยาม"ว้าเหว่ อ้างว้าง และเดียวดายชีวิต"ของท่าน
       มิคานยอมรับว่าท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย  แม้ขอให้มิคานได้หอมแก้มหล่อนท่านเคาเตสนั้นท่านนี้  และลอร์มิคาน ก็ไม่ขวนขวายในเรื่องเพศสัมพันธ์กับท่าเลยแม้สักนิดเดียว
          เช่นกัน !เว้นแต่พระเจ้าทรงบันดาลนั่น  ไม่ทราบ!  แต่เริ่อง"บัดสีบัดเถลิง' นอกจากความรักความอบอุ่นใจ ความพึงพอใจ  ตามสูตรของศาสนาดังกล่าวนี้นั้นนั้น   ลอดร์มิคานและท่านเคาน์เตสสยังไม่เคยปรากฏเกิดขึ้นเลย
         แม้การคบหาจากที่ลอร์ดมิคานเกิดมีเป็นกับท่านเคาน์เตสนับจากงานราตรีวิทวัสที่ปราสาทครูเซอร์ ฮิลล์ได้เกิดขึ้น จนเป็นเพื่อนรักทางใจมานับจน10 ปีผ่านไปแล้วหลังจากนั้น
       อันนี้เป็นความบริสุทธิ์อันศักเสิทธิ์
ที่ลอร์ดมิคาน มีจิตสำนึกสำรองไว้ด้วยกัน
ตลอดมา
           สรุปจึงความเป็นมิตรภาพในคู่นี้ จึงจัดว่า"สมน้ำสมเนื้อ" ดีเหมาะเจาะและลงตัว
         ที่"ท่านหญิงเคาน์เตสแห่งสะโลดาเนีย"ตั้งให้มิคานเป็นลอร์ดนิรนาม ด้วยประการฉะนี้
          กล่าวคือนักสาธยายวิทยา จะขออธิบายใน"ปริ้นส์"  "prince " princely prince  ในราชวังที่สมมุติเทพที่เป็นเนติเกิดมีในสังคมกษัตริย์
อันเป็นบริบทนี้สักนิดนึง เพื่อกันความสับสนและการเข้าใจผิด  ในหมู่มวลมนุษยชาติที่อาจจะมีอุทาหรณ์ในทางนิตินัยสัมพันธ์ใดๆ
    กล่าวคือ
ใน ระหว่างสนทนาที่งานราตรีวิทวัสในคืนประวัติศาสตร์นั้น
      บังเอิญมีประโยคหนึ่งพลุ่งปรี้ด ออกมาระหว่างการสนทนากันด้วยปาก  แต่มือทุกคนถือแก้วไวน์แดง อย่างเป็น "ปัจเจกสรณะ"ของทุกคน(คือการยืนกอดแก้วไวน์แดงดื่มไปพลางคุยกันไปพลาง"
และเกิดสะดุดพูดกัรขึ้นมาว่า
       ลอน์ดมิคานเป็นใคร มาจากไหน และอย่างไร และเป็นขุนนางสายใดหรือไม่ เพราะลอร์ดมิคานมีความเป็น"ลอร์ดลี่"ความเป็นลอร์_ลี่(lordly)
ในตัวของมันเองเป็นพรสวรรค์อบู่แล้วแม้จะมาในร่างของสามัญขนในคืนราตรีวิทวัสนี้
       ตอนนั้น มีท่านหญิงท่านนึงสายต่อจ่อมาที่ลอร์ดมิคาน  และจึงพวยพลุ่งปากออกจากจากปากท่านเคาน์เตสหญิงท่านนึง เกิดดังมากมาด้วยเสียงอันอมตะ(เสียงเปล่งมีสกุลจำเพาะ=special dialogue) จากปากท่านเคาน์เตสหญิงนั้นเอง
       จากที่มิคานถือว่าตนเอง"มีสายเลือดขุนนางมาเช่นกัน " ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  กล่าวคือมันเกิดจากปาก"พ่อยก" ท่านหนึ่งของมิคาน ที่บอกเล่าให้มิคานรู้ ตอนที่ลอร์ดมิคานระหกระเหินชีวิตไปเข้าเรียนชั้นประถมวัย  ที่เป็นพับลิค-สกูล =โรงเรียนราษฎร=ที่ต้องจ่ายค่าเรียนเอง(public school)ในสมัยวัยเด็ก
    จึงในคืนนี้ลอร์ดมิคมนจึงรับ ยืนยันว่าและ ว่ากล่าวตนเองนั้น
     "มิคานก็เป็นขุนนางเหมือนกัน"
แต่ไม่ได้"คราวน์=crown " คือ (u n-crown)   ๆคำนี้สื่อถึง คือไม่ติดอันดับขึ้นทะเบียนเรียกขานเป็นสากลเหมือนดังที่ทุกคนในสังคมมี มีที่ขี้นทะเบียนและรับเงินภาคหลวง หนทอเคยมีแต่ถูกคณะปฏิวัติรัฐประหารยึดล้มล้างระบบกษัตริย์ไปหมดแล้ว
      จะเหลือก็แต่ที่พูดได้ในนกลุ่มจำเพาะที่รับรองกันเอง และแต่งตั้งเงินเดือนกันเอง หรือที่เก็บสะสมมามาเป็นเงินเดือนรับรองตนเอง
หรือมีเงินชดใช้จากกระทรวงคลัง  ด้วยกฎหมายพระราชบัญัติ หรือพระราชกกฤษฎีกาหรือข้อกำหนดอื่นใดๆ  กำหนดขึ้นมาให้มีผลประโยชน์ได้จากความเป็นเลือดสกุลเจ้านั้นด้วยบริบทของกรี๊ปเลือดและดี.เอ็น.เอ. ทางชีวโมเลกุลพิสูจน์ได้
        สรุปคือเป็นเจ้า แต่ในที่นี้ ลอน์ดมิคาน จะสื่อคือสื่อถึงเจ้าที่ล้มไปแล้ว และตนเองเหลือแต่ปูชนียวัตถุรำลึก ที่มีแต่นักพงศาวลีวิทยาอ้างอิงขึ้นมาได้  จึงจะรู้กันได้ในทางประวัติศาสตี์บริสุทธิ์(pure historical note)เท่านั้น
   ต่อมา
ท่านหญิงสโลดอร์เนีย  เลยตอบว่า
"โอเค"ฉันจะคราวน์(crown)ให้ท่านลอร์ดมิคานเอง จึงเป็น(crowned prince =ในที่นี้ คือสื่อถึงว่าฃอร์ดมิคานจะได้  ท่านหญิงสโลดอเนียร์ พาไปเพื่อจะขึ้นทะเบียนรับเงินเดือนภาคหลวง  เหมือนที่ตนเป็น เพื่อให้ลอร์ดมิคานได้สิทธิที่จะมากินไวน์แดงในงานราตรีวิทวัสในปีต่อๆไปได้
อย่างสมใจนึกต่อไปได้ อย่าสง่าผ่าเผยและสมเกียรติ
   อันนี้   ที่ท่านหญิงอ้างขึ้นใรคำว่า นักตีความวิทยาจ่ออธิบาย ว่า( crown prince) ในที่นี้คือ
เป็นได้ในคำพูดแต่มิได้หมายความว่า
      คือแต่มิได้เป็น"มกุฎราชกุมาร" ตามคำสื่อจำเพาะทางภูมิศาสตร์ของระบบกษัตริย์สากล
อะไรที่แผนสังคมนั้นกำหนดจัดไว้ก็หาไม่)

     คืนคืนงานราตรีวิทวัสคืนนั้น  ถ้าท่านหญิงไม่ทำเช่นนั้นงานราตรีสโมสรวิทวัสคืนวันนั้นนี้
ก็หาไม่ แต่มันคงจะกร่อยหมดรสชาติไป 
       
        
         เพราะที่เห็นนั่นเหมือนมีการสรัาง
คนไร้สัญชาติ ขากความเป็นลอร์ดมิคานที่ร่อนเร่พเนจรเป็นะฤตินัยก่อนทางตำรวจสันติบาลจะขบายผลและจะยืนยีน  เมื่ออถูกใครใดๆร้องขอให้ทำ ซึ่งในคืนนี้ลอร์ดมิคานแปลกกับทุกคน  ที่ เพิ่มเข้ามาหนึ่งตัวเลือกที่น่าสงสัยในคืนวิทวัสนี้นั่นเอง
     แม้จะเป็นความจริงของลอร์ดมิคานผู้พลัดพรากอและตกหล่น แต่คืนวิทวัสคืนนี้นี้ ทุกคนถือว่ามีลอึ์ใหม่อันเป็นแขกพิเศษของท่านลอร์เลิเทลๆผู้เป็นเพื่อนเก่าแก่ของปราสาทครูเซอร์(ฮิล
ล์)
นั่นเอง   และในการนี้ก็เพื่อเพื่อที่จะทำให้ " ทุกสรรพสิ่งอย่างในตัวบุคคลเคลียร์ปมสงสัย
มันจึงเป็นแนวคิดก่ารต้องมีค่า  การเทียมทันเท่าหรือความเท่ากันเสียก่อนๆที่งนนี้จึงสนุกได้อย่างสดุดี  เหมือนการจะได้ตอบโจทย์เลขซับซ้อน มันต้องมีการหา(ห.ร.ม และค.ร.น.=คูณร่วมน้อย)
กันเสียก่อน
    
       นั่นตือสิ่งก่อนอื่น สิ่งแรกต้อวมาก่อน คิดก่อนจึงจะตอบโจทย์บวกลบเลขเศษส่วนซับซ้อนหลายจำนวนได้ลงตัวกระนั้น
       ตามประวัติท่านเคาสน์เตสผู้นี้ นั้น สมัยเด็กเคยเรียนในมหาวิทยาลัย(ที่รับเฉะาะสำหรับสตรีเพศ=!single sex university )มา
         จึงมีภูมิรู้ทั้งทางนิตินัยและ รู้สิทธิเสรีภาพ  รู้มโนธรรมและคุณธรรม รู้รับปิดชอบชั่วดี ควรมิควรรู้จักตีความในหลักเกฯฑ์ในหน่งยเหนือที่สั่งมาได้ลงตัว ไม่เกิดการย้อนแย้งในภายหลัง
  
        และรู้หลักนิติธรรมมาอย่างดี  ตามวิสัยของปัญญาชนผู้มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วไปท่านหญิวท่านนุี้จึงกล้าพูดกล้าทำ  กล้าคิดกล้าแสดงออก   ที่จะมีผลออกมาเป็นที่สากลอันเป็นที่ทุกคนยอมรับได้ "ว่างั้น"
       และสรุปแล้ว เมื่อโทปิก  (topic) เปิดใจเคลียร์(clear) บุคคลสถานะจบลงแล้ว
      การจะคุยสังสรรค์คือจะคุยอะไรกันต่อไปก็
สนุกต่อไปได้
    เพราะว่าได้พบว่า เราเป็นกลุ่มสีเดียวกัน สีเดียวกัน  (ถ้าไม่เป็นกลุ่มสีเดียวกันแล้วมันจะขัดลำกล้องแห่งการสนทนา เหมือนราววะกะว่า
"ฝูงสัตว์ฝูงหนึ่งอะไรก็ได้  เช่น งานๆหนึ่งมีแต่ห่าน แต่มีบังเอิฐมีหงส์(หงส์มิใช่ห่านแต่ตัวคล้ายห่านๆชอบเล่นน้ำเหมือนกัน  ส่วนหงส์นั้นมีพฤติกรรมพิเศษกว่าคือ ชอบกอดคลอเคลียกัน  เอาใจกันพบส่วนมากในสระน้ำ มองเห็นเป็นคู่ๆจูบกันเสม
อ)
        เป็นมาคู่หนึ่งแทรกมารวมกัน 
มันก็จะต่างกัน ของการจัดกลุ่มสีไป
        หรือเหมือนดังตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
คือเหมือน ว่า:-ถ้าหากว่ามีแมวฝูงหนึ่งรววมตัวกันสงบๆ แต่มีหมาหนึ่งตัวที่แปลกแทรกเข้ามาอยู่ร่วมวงกัน "อะไรจะเกิดขึ้น"ใครลองวาดภาพดู" 
       ถ้ามียาฉีดให้มันรักกลมกลืนกัน  เรื่องนี้งดพูดเพราะมันเป็นธรรมชาติทที้ต้องเปลืองเวลาควบคุม  ส่วนที่เราต้องการคือแบบธรรมชาติของพระอาทิตย์และพระจันทร์มี  ที่ไม่ต้องควบคุมและต้องซื้อหา
เมื่อเราเลือกไม่ได้
      กลับมามองเรื่องกลุ่มสีสาเหตุแห่งความสามัคคีธรรมต่อ  คือมาที่ลอร์ดมิคานในคืนงานวิทวัสราตรี  แล้วมันจะดูอย่างงัย
        "ลองคิดดู "ในระบบสังคมปริทรรศน์) 
ฉะนั้นการจัดกลุ่มสีของสังคมจึงสำคัญ  การนี้มิใช่การแบ่งชนชั้น วรรณะ เพศ วัย เชื้อชาติ
ภาษา และพรหมแดน  อะไรที่ท่านหญิงเคาสน์เตสสะโลดอเนียหมายถึง
        ต่อไปถึงฉากที่
หลังเสร็จภารกิจที่ท่านหญิงได้หลุดปากและรับปากจะคราวน์-ปรินส์(crown -prince)ให้ลอร์ดมิคาน  ท่านหญิงสโลดอร์เนีย(countess of slodonia) ก็จึงสมมุติตนขึ้นมาทันที   และตนเองมีสิทธิที่จะทำได้  ตามกฎมณเฑียรบาลแห่งเทวสิทธินิยม ในร่างของฝูงชนในหมู่มวลแห่งโลกของมนุษย์
     
          ตอนนี้มาที่สาเหตุว่าทำไม? และทำเช่นไรมันจึงเป็นเช่นนั้น
          เรื่องการสถาปนายศขุนนางให้ใหม่เป็นปัจเจกโพธินี้เสร็จสิ้นลงแล้วใรคืนราตรีสโมสรวิทวัทนี้)
           
          ทั้งนี้ด้วยนิติเหตุ และโดยนิติประกาศสมยอมและนิติผลเท่านั้น  มิใช่เกิดจาก เรื่องการเมืองเพื่อข้างใด(take side politics  )ใดๆด้วยสาเหตุที่ ท่านหญิงสะโลดอร์เนีย เกิดรักแนกพบแล้วหลงไหลพิศวาทและรักๆใคร่ๆในตัวลอร์ดมิคาน  แบบรักแรกพบ  หรือจะด้วยเหตุผลทางการเมืองอื่นใดในสังคม จริงๆ มในทุกด้านและในทุกมุมมอง
     
         ด้วยอันนี้แท้จริง  ลอร์ดมิคานไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของท่านหญิง และมิคานเองไม่สนใจมันคืออะไรล่ะตอนนี้!
       ลอร์ดมิคาน มีแต่การเคารพและการยอมรับในสิ่งที่เธอพูดออกมาจากปากและใจและเจตนาอบ่างเดียว แต่ถ้าเป็น ๆสงครามอารมณ์หรือสงครามอาวุธ ลอร์ดมิคานขอเป็นฝ่ายแพ้เพื่อสันติภาพสถานเดียว

          แต่ตอนนี้ลอร์ดมิคานจะตั้งตัวตั้งอารมณ์เป็นฝ่ายรับอย่างเดียวให้สนุกและปิติดีใจให้ที่สุด
ให้มีรสดีดกว่ารสไวน์แดงที่มีฝ่ายหญิงให้ความหวังที่ไม่คาดคิดมาก่อนแด่ตนเอง

           เพราะตนเองคือผู้ที่ได้ชื่อสมญานามว่า "ลอร์ดมิคานผู้พลัดพรากเสมอมา"ไม่ได้สนใจเรื่องจักรๆวงศ์นี้เลย นอกจากความสนใจในความเป็นมนุษย์ที่อยากปลือยกายอาบแดดแล้ว
ไม่มีอะไรมาขวางกั้น  และนอกจากนั้นขอให้ได้กินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟทุกวัน  ในชีวิตนี้ก็เป็นที่พอใจแล้วสมใจสุดๆแล้วในเรื่องชีวิตมิตินี้

          และลอร์ดมิคานไม่เคยสนใจความเป็นขุนนาง ที่ทุกคนมีหรอก  เว้นธรรมชาติเทวสิทธิ์ประทานมา  หรือความเป็นทาสที่อาจจะปรากฏตามสภาพที่ตนเองเห็นและสังคมมนุษย์ที่ลำบากชาติชั่วโสมม อันไม่น่าใยดีนัก หรือความเป็นการเมืองที่อาจจะผ่านเลยมา 
         และผ่านเลยไปกับ
สังคมมิติที่หน้าหนึ่งข่าวสังคมภาคเช้า  ของหนังสือพิมพ์ประกาศชัดว่า  คนทุกคนกำลังมีมติอะไรกัน
         หรืออาจจะเป็นเพราะการประโคมข่าว เพื่อช่วยกันสร้างเอารายได้ และกุข่าวบังหน้าทำนองเล่นหนังตะลุงกัน  และมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังดังกล่าว
          แต่สำหรับลอร์ดมิคาน  มิได่สนใจคิด  แต่จะมองทุกๆอย่าง เป็นปรัขญาทั้งหมดเมื่อได้เห็นอะไรมา โดยยึดคุณสมบัติพิเศษที่ตนเองมี
           คือไม่วิจารณ์ และจะคุมสติอารมณ์คือ เงียบ อมยยิ้ม สถานเดียวและว่างเว้นจากการ
สนทนาทางการเมืองทุกชนิด


         แต่จะสนใจว่า  ได่กินหยาดย้ำค้างเย็นสวยสะอาดใส ที่เทือกเขาโอเฟ ที่มีสนามหญ้าและไม่มีวัว แพะแกะแทะเล็ม และห้ามสัตว์เคี้ยวเอื้องเช้ามาเลี้ยงปะปน บนหญ้าในสนามหญ้าอันมีนะเบียบธรรมชาติเหล่านั้น ข้อหวงห้ามนี้เกิดมา1,000กว่าปีแล้ว
         ถ้าถามว่า!  แล้วหน้าที่ในระบบพลเมืองล่พลอร์ดมิคานมีอะไรบ้าง?
 คำตอบคือ "ก็นี่คืองัยหน้าที่ในระบบการเมือง
คือการอุตสาห์ลุกขึ้นและหอบสังขารไปกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟและไม่เดือเร้อนใครและมิได้นอนงอมืองอเท้ารอตายไร้สาระอะไรเนี่ย!
เป็นคำตอบสุนฟิน(final)  ของลอร์ดมิคาน
ทันจะดีกว่าการไปแย่งงานพวกทาสทีะวกืาสหวงอย่างกระไรดีตอนนี้""
         เทือกเขาโอเฟเเละ นี้คือหน้าที่ทางพลเมืองอันชอบธรรม  "ทำไมรึ"
        ก็เพราะว่าาความสงบสุขสันติ ความเสรี
และไม่เดือดร้อนใครเป็นภักษาหารงัย!
        แต่มันกลับเป็นสุนทรีย์รส นี่คือหลักสุนทรีย์ศาสตร์ของการได้พบมุมมองที่ดีที่ถูกต้องได้
ในมุมมองหนึ่ง  ส่วนที่เห็นต่างนั่นมันก็เรื่องของเขาน่ะ!  มันก็เหมือนไปทำงานเสี่ยงและเปลืองหมดเปลืองยาโรงพยาบาล เราควรจะมีทางเลือก
อื่นที่ไม่เปลืองอะไรใครน่ะ"เพื่อนมนุษย์"
ลอร์ดมิคานยืนยัน "มีในที่สุด""

   " ดูๆแล้ว"     มัน เป็นเชิงล้อเล่นกัน  แต่มันก็สมจริงสมจังดั่งกะนิยายของสงครามชีวิตชนิดหนึ่ง
      และในต่อมาอีกว่า  นี่คือสาเหตุ การเกิ
ด ดับสำหรับลอร์ดนิรนามมิคานที่เกิดขึ้นมาในโลกของขุนนางตกยาก ที่มีแต่เป็นดุจนาฎนาคราชผู้ฟ้อนรำ (นาฏนาคราชคือการฟ้อนรำของผู้เป็นเจ้าชนิดหนึ่ง ที่ฝูงชนหนึ่งเชื่อว่า  มีสัจธรรมอันล้ำค่า และได้พวกเขาได้ปั้นเป็นรูปปฏิมากรรมทองเหลืองไว้บูชามากมายนักส่วนคตินิยมอืานของเขาลอร์ดมิคทนหลักเลี่ยงการ
    ตีความ แต่ประทับมจรูปปั้นทองเหลืองในท่าการฟ้อนรำเต้น ที่ทำให้คนเหห็น  แล้วมีความคิดและมีความสุขเท่านั้น)ประกอบเสียงเพลงชีวิตกระนั้น"
       นี่เป็นการทดแทนความเป็นลอร์ดโดยบัญชีที่มิคานทำหายไปในกลีบเมฆ เหมือนบัญชีลับที่มิคานเคยทำไว้ทีธนาคารสวิสที่ลอร์ดมิคานเปิดไว้และลืมมันไป เพราะพ่อบุญธรรมคนหนึ่วของมิคานสัญญาว่า จะโอนเงินมาให้เพื่อเข้าบัญชีลับที่ประเทศสวิสนี้เพื่อนการนี้มิคานจะได้ไปเที่ยวกับคนรักคนหนึ่งตามใจชอบ  แต่บังเอิญท่ามมาด่วนตายไปเสียก่อน  ท่านขื่อว่าลอร์ดกุกี ยิวผู้มั่งคั่งใต้ดินชนิดเงียบสายสัมมาอาขีพชนิดหนึ่งแต่ท่านไม่มีบุตร
         ความคิด"อปกติ"(ไม่ธรรมดา)ในสายตาของทาสผู้กระหายเลือดบางคนแห่งสังคมเจ้าหรือสังคมอารยะและสังคมชั้นสูงที่มีธรรมชาติที่น่าอิจฉาในอดีตและมีอดีตอันหรูหราและสมบูรณ์ด้วยความยิ่งยั้งยืนยง และคงกระพันและมีอ
นาคตสดใส แน่นอน
        แต่สำหรับลอร์ดมิคานไม่เคยคิดอหังการ ว่าเกิดมามีวาสนาดีหรือเกิดแล้วไม่ต้องทำเกิดมามีเงินละเล่นกับชีวิตจริงที่ไม่ต้องทำต้องขวนขวาย
        หรือเพราะว่าตนเองทรนงตนเองโดยคิดว่า
ตัวเองเป็นลอร์ด  เกิดมีมรดกและเงินรองรับ มีความมั่นคงและมีเงินสะพัดหมุนเวียนติดตัวเสมอประจำตระกูล โดยไม่ต้องเหนื่อยเมื่อยล้า ดั่งเช่นทาสกับแรงงานชาวนาชาวไร่ หรือดั่งเช่นทาสทั่วไป อะไรเลย
         แต่ตนเองคิดถึงความยากจนอยู่ทุกเช้าค่ำตลอดเวลา และคิดถึงแต่ความไม่แน่นอน  คิด
ถึงแต่ความตาย ทุกย่างก้าว  และในทุกบริบท
เกือบทุกเวลาที่มีลมหายใจ "นี่เป็นปณิธานของอลอร์ดมิคาน"
          เมื่อตนเองได้เกิดมามีโชค
ดีกว่าเพื่อนมนุษย์ในหมู่ชน

      และในมุมมองหนึ่ง  ตรงจุดนี้ลอร์ดมิคานขอตอบว่าตนเอง"พอมีบ้าง""
เะื่อใข้และพอเะื่อจะนักษาหน้าและธำรวเกียรติได้พอเหทาะพอคสรมนคาน
ผู้มีชีวิตแสนเศร้าและเปื่อยเน่า และอดมีแต่ผิดหวัง
       
            ระหว่างการปฏิสัมพันธ์กันในเมืองมนุษย์
คืออาทิ เช่น มีในระหว่างชนขั้นขุนนางและคนชั้นทาสและคนสามัญชนผู้อาภัพที่ไม่ที่ไม่มีแรงเพื่อเดินขบวนหรือเรี่ยวแรงเพื่อเป็นทาส  และที่เกิดมาเป็นเพียงคนธรรมดา และเป็นเศษขยะของแผ่นดินที่สวรรค์ทรงโปรดน้อย แต่ยังคงทรงโปรดให้เป็น
         กรณีนี้ มันดูดีกว่าที่ไปเกิดเป็นหมูและควายน่ะ!เพราะเกิดเป็นหมูและควายท้ายสุด
จะถูกฆ่าเพื่อนคนได้กินมัน  กินกันไปตายไปเป็นภักษาหารของมนุษย์ โดยถูกฆ่าตายเปล่า ที่ไม่ต้องมีคำสั่งประหารชีวิตจากศาลใด ถ้าเกิดเป็นมนุษย์การประหารชีวิตต้องมีเป็น คำตัดสิน
ของศาลเท่านนั้นจึงทำได้  อันนี้จึงเป็นหลักประกันคงามมั่นคงในการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่วิเศษไปดีไปกว่าสัตว์เดรฉาน
       

       ลอร์ด มิคานจึงขอภาวนาให้ทุกคนมีมโนธรรม เสมอ เมื่อตายไปจะจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ดี ที่จะเป็นสัตว์ที่จะประเสริฐกว่าที่ไม่ต้องเกิดเป็นภักษาหารของมนุษย์ในทุกภพภาวะและทุกชาติเกิด และกล่าวว่า
       "แม้ข้าพเจ้าจะไม่ใช่เทพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็มีมโนธรรมเพียงพอที่จะกล่าวคำนี้ได้ เพื่อความสวัสดีของมวลชีวิตทุกถ้วนหน้าเทอญ"
 "ขอเดชะ แด่องค์ทวยเทพทั้งมวล ด้วย พระอาญามิพ้นเก้ลา""

        จึงมีแต่ความมึดมิดเท่านั้น ที่จะช่วยทะนุบำรุงสังคมวิปลาศเหล่านี้ให้พ้นภัยไปได่ในเมืองมนุษย์ ด้วยความฝันและความศรัทธาอันทรนงต่อพระเจ้า เช่นกรณีฝันคือในใจว่าจะถูกหวย

         ศรัทธาในเทพ และการลงองค์ของพระเจ้า เช่น การบูชาในสิ่งเคารพ  เพราะมันทำให้อุ่นใจและกำลังใจเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ในช่วงที่ชีวิตตนเองยังเอาตัวไม่รอด

        ถ้ารอดแล้วเขื่อว่าเขาคงจะยังไม่ทอดทิ้งอดีตนี้ไปเสีย เพ่าะถ้าเป็นเช่นนั้น ถือว่าเขาเป็นคน"อกตัญญู"และ"เนรคุณ"นั่นเอง


        ในร่างของคนเดินดินกินขนมปังก้อน  เพื่อการอยู่รอด  ปล่อยวางสมถะลอร์ด และไม่คิดอะไร  แต่มีพลังชีวิตและมีน้ำใจดีสดใสและมี น้ำดื่มชนิดร้อนเย็น  และมีเนยเเข็งกินเป็นอาหารก็พอใจแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง
         ลอร์ดมิคานคิดเสมอว่านายทุนมันต้องดี
และทาสมันต้องไม่เลวทรามเสมอ
แม้กระนั้นลอร์ด มิคานเชื่อก็ยังเชื่อว่า เพราะการไม่ไว้วางใจกันระหว่างตำรวจและอาญากรรมและระหว่างนายทุนกับแรงงานและระหว่างขุนนางและทาส
          สังคมใบนี้นี้จึงเกิดว่าที่สงคราม หรือสง
ครามนิรนาม  หรือสงครามนอมินี(nominee )ชนิดหนึ่งแหกของการสงสัยนำสู่การจารกรรม หรือสากลรู้จักกันว่า "เอสปิโอนาส"กำลังในระหว่างชนชั้นของฝ่ายบวกและฝ่ายลบใดๆขึ้นมา  จากเหตุไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเพราะสังคมมันมี"ซิมตอม"(symptom) แห่งการแข่งขันกันเป็นเหตุผลสู่สงครามจชน(espionage  warfare =สงครามจารชน) ภายใต้หัวข้อสันติภาพใหม่(n e o- p a c I f i c)  มันเหมือนการไม่ไว้วางใจกันระหว่างคนรักหรือผัวเมียกันและนำสู่การหย่าร้างในที่สุด
          อันนนี้ก็เช่นกัน  นั้นมันคงมีอันเกิดขึ้นแบบกินกันไปพลาง"เอากันไปพลาง"  แต่มจส่วนลึกในใจของคน นั่นใครคิดอะไรอยู่  ไม่สามารถ
หยั่งรู้ได้  แม้เป็นเมียผัวหรือคนรักระหว่า
กันปกติ
         อย่างไรก็ตาม จะมี สันติภาพหรือในภาวะสงคราม ที่ตนเองเชื่อว่าเรื่อของ"สิ่งในบริบทของการจารกรรม"นี้ มันกำลังมาแรงและมีพลังมาแรง ในโลกใบใหม่นี้
        จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามชนิดโดยไม่เรียกว่าสงคราม และไม่เกิดขึ้นมาด้วยการประกาศว่า
เป็นสงครามก็ได้ 

         ในสมัยหนึ่งลอร์ดลิคานจำได้ว่า
โดยเขาสงสัยมิคมนว่า "เป็นสายลับขุนนางเพราะเกิดมาดีแต่ไปใช้ชีวิตสมถะในดงพวกทาส
         แต่มาอีกสมันหนึ่งก็ชวนถูกสงสัยว่าเป็นสายลับพวกทาส เมื่อมาในดงขุนนาง 
"แต่ความจริงก็คือความจริง"
มิคานมีปรัชญาแลไม่มีอะไรให้พิสูจน์ได้ว่า
ลอร์ดมิคานเป็นสายลับสองหัว  แต่อย่างใด
ไม่
        และตัดสินใจอยากอยู่ปลอดภัยจากข้อสงสัยต่างๆเสมอมาด้วยทางออกหลากวิธี
        มิคานท้อมากเมื่อถูกสงายทั้งๆที่ตนเองไม่มีอะไร
ต้องใฟ้สงสัย
ในที่สุดมิคานจึงตัดสินใจ คือจึงชอบใช้ขีวิตดื่ทหยาดน้ำค้าง ที่เเทือกเขาโอเฟนั่นเอง
ตั้งแต้นนั้นมา และมันเป็นความสุข
    
          แม้จะถูกสังคมมองว่ามิคานเป็นคนบ้า
อันนี้คำตอบของมิคานคิอ"สุดแท้แต่จะคิด"
เป็นเหตุผล จนพบลอร์ดลิเทลทีททางไปสวรรค์
สายหนึ่งและไปงานราตรีวิทวัสก็เพราะเร่คุบกันลวตัวมัฝีธรรมชาติเป็น"เอกเซนตริก"(eccentricity )เหมือนกัน คือลอร์ดลิเทลเกิดมาดีกว่าหมู่ชน แต่มีจิตสาธารณะเป็นต้น
ทั้งสองจึงมั่วสุมเข้าในสังคมทุกฝ่ายอย่างเลือดเย็นไม่อายตนเอง จนหลายฝ่ายคิดว่าเป็นสายลับ
อาชีพรับเงินที่ลิเทลเคยทำคือคนขับรถไฟ
อาชีพที่มิคานเคยทำทำคือนักวาดรูป นักร้องฟรีสไตล์

       สืบต่อ ๆมาจากการวิพากษ์วิธี(critical thinking )  ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น  จนเป็นเหตุให้เกิดมุมมองใหม่ว่ามีเป็น 2 แฟกเตอร์(factors )ว่า
"นี่คือการกระทำแบบจารชนและนี่ไม่ใช่การกระทำแบบจารชนขึ้นมา ในทางการเมือง การเป็น
"จารชน" (s py ) นี้โทษนักมาก

       เพราะจารชนสองค่ายคือมิคานนิยามว่ามีค่ายบวกและค่ายลบนี้ โดยสภาพมันดูเหมือนกัน
ยากต่อการจะตีความ อันนี้ จึงกิดสิ่งที่เรียกว่า"วิกฤติการณ์แห่งเชาว์ปัญญา("  critique of intelligence )มาวินิจฉัยว่าใครเป็นจารชนจริงหรือเท็จ  เป็นตัวช่วยขึ้นมาเพื่อได้เข้ามาแก้ไข และมันก็ไม่พ้นวิสัยมนุษย์ ที่จะไม่พบความจริงได้
ว่าใครคือผู้ไร้เดียงสา
 ว่าใครคือผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหา


      ลัทธิเชาว์ปัญญาสากล (inter-intellectualism)ในมุมมองอันเป็นปริทรรศน=ของมิคมนเองมันแก้ปัญหาสรรพสิ่งที่
สงสัยได้  เพราะง่ายคิดได้สะดวก 
ไม่มีเสี่ยงบาดเจ็บ เสี่ยงการรบ และสงครามะเบิดใส่กันที่หนวกหูจากแรงปะทะของอาวุธสงคราม และไม่เพราะเกิดในทุกเมือง ที่สงครามกำหนด

         หรือในฉากอี่นๆเช่นเป็นอาจจะเป็นแฟชั่นชนิด"ผู้ร้ายอยากสวมบทเป็นตำรวจ และในขณะเดียวกัน ตำรวจก็อยากสวมบทเป็นผู้ร้าย" ที่มนุษย์กระหายจะเป็นจารชนอยู่ด้วย คืออยากดังอยากมีข่าวหน้าหนึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นโรคจิตขนิดหนึ่งได้  ถ้ายกเรื่องบ้าบอแบบนี้ไปให้นักวิทยาศาสตร์ด้านจิตวิทยาตีความให้ไว้ว่า

    ลอร์ดมิคานคิดว่าตนเองน่าจะเป็นจำเลย
สังคมในการที่  ตนเองชอบเดินไปหาหยาดน้ำค้างดื่มเป็นอาหารที่เทือกเขาโอเฟ
 แค่นั่นแล้วซึ่งมนุษย์ทุกคนมองว่า"แปลก""

       แต่ลอร์ดมิคานทิ้งความรู้สึกไว้
เพื่อจะได้ตอบโจทย์ได้มีเอาไว้ว่า

"สุดแท้แต่สังคมใครใดๆจะคิด"
แต่ตนเองคิดว่า

    คือมีเทพเจ้าแห่ง"สิทธิ"
อันชอบธรรมเป็นองค์ประธานให้ในเรื่องนี้
ที่ตนเองฝินใจทำอย่างนี้!
บทหลักของตนเองในเรื่อง"สิทธิ"คือคือไม่เดือดร้อนใครใดๆอื่นจึงจะใช้คำว่า"สิทธิ"นี้ได้"

       แม้หลายคนคิดว่าลอร์ดมิคาน
สบายมากกับน้ำค้าง ที่ไม่ต้อวทำอะไรก็มีกินตามธรรมชาติเหมือนตัวเขื้อรา และเชื้อไวรัสและเชื้อบักเตรีที่"ไม้ต้องทำงานก็มีกิน""

        ธรรมชาติ จากหยาดฟ้าที่ตกลงมาเพื่อตน
ในส่วนลึกทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกับลอน์ดมิคาน
"ก็เพราะว่า" คือแต่ที่แท้จริงลอร์ดมิคานทำอาหารกินเองไม่เป็น  ตนเองจึงต้องมาหากินหยาดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟแทน  และตนเองจะได้ติดต่อกับและดูคอยดูแลและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
กันกับเจ้าตัว"แปลกประหลาด"ที่ทุกคนสนใจ
นัก  คือระหว่างตัว"เอเลียน"(alien)มนุษย์ต่างดาวจะมาทำอะไรกับโลกเราบ้าง ตังเอเลียนก็ชอบกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขา"โอเฟ"เช่นกัน"
เพราะลอร์ดมิคานเชื่อว่า เอเลียนมนุษย์ต่างดาวก็มาหากินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเช่นกัน

       ก็สุดแม้แต่ะพวกทาสจะอยากจะมีความ
อันเป็นอย่างที่ลอร์ดมิคานเป็นและมิคานควรใข้ชีวิตเงียบ

          หรือแบบปิดหูปากปากปิดจมูกแบบพระเครื่องหรือพระจริงชนิดปิดทวารทั้ง9แบบพระอมูเลมต( a mu l e t) ภควัมพ์ พระอรหันต์-อมิตาพุทธะผู้ทรงคุณประเสริฐเจ้า
         
          นับแต่ความต้องการและตัณหาความ
อยาก ความสงสัยใด ในแดนมนุษย์ทุกชนชั้นมี มันคงต้องมีความอยากเหมือนกันหมด
เว้นแต่ว่า "ขุนนางผู้กำหนดใจตนเองได้ และพระเซนต์(sents  ) พระอรหัรต์เท่านั้น จึงรอดภัยตลอดมา
          แม้กระนั่นแท้ก็จริง สืบต่อๆมามีจึงได้เกิดมีท่านเซอร์กูชชี  (sir g u s hci)และฮอนเนอน์ (H o n = ยศท้ายสุดของระบบขุนนางชนิดหนึ่งที่มียศนำหน้าชื่อแต่เป็นสายเลือดขุนนาง)
ฮอน.มิเดา(H o n. midow) 
         มาขช่วยเป็นเพื่อนคุยเพราะสงสารลอน์ดมิคานและลอร์ดลิเทลที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับความเป็นจริงมามาก ท่านทั้งสองนี้จึงกลัวง่าลอร์ดมิคานและลอร์ดลิเทลจะตายเสียก่อน  ก่อนที่จะได้ทำความดีสูงสุดได้
สำเร็จลงได้ ก่อนจะสะดุดหยุดอยู่
และเพื่อทำให้ขีวิตดั่งนิยายของมิคานและลิเทล
ได้มีเพื่อนคุย  ในระดับเบาสมอง วำหรับคนชมที่เป็นคนกำเนิดที่เป็นผีปีศาจ รากษส ผีน้ำ ผีป่าที่ทุ่งโอเฟ และมนุษย์และมวลอมนุษย์ และผีที่เกิดจากแรงของแรงแห่งความโนมถ่วง (momentum ghost forces  ) ที่ลอร์ดมิคานเชื่อว่า ต้องมีและพวกเขาทั้งทีลอร์ดมิคานเชื่อว่า"น่าจะติดตามอยู่"

        เพราะว่ามีแผนการแย่งแบ่งแย่งแผนและแย่งผีของลอร์ดลิเทลหลังการตายของท่านผู้นี้ เพื่อ ไปบูชากัน  หลังจากที่ลอร์ดลิเทลตายลง
มาเกิดมีกันหลายฝ่าย หลายฝ่าย เกิดกันอย่างโกลาหลและอลหม่านจน ตาปัญญายังมองไม่ออกว่า"ใครบ้างที่จะมาดีและใครบ้างที่จะมาร้าย

        เป็นผลให้ลอร์ดมิคานตั่งความปรารถนา และตั้งเป็นปณิธานเอาไว้ว่า:-

      เมื่อตนเองตายลงชอให้ซ่อนศพตนเองไว้
มิให้ใครรู้ ใครเห็น
       เพราะตนเองอยากตายตาปิดหลับสนิทหลับและมีสมาธิเหมือน "ซากศพที่นอนเพื่อนดิน"ปราศจากคนมาเห็นอีก คนกล่าวถึงอีก คือลอร์ดมิคานกลัวว่า"ตนเองเมื่อตายลงแล้ว จะมีคนวางแผนมาแย่งศพไปบูชากันเหมือนลอร์ดลิเทลเช่นกัน

          ลอร์ดมิคานกลัวที่สุดว่า"ตนเองกลัวศพตนเองถูกเทิดทูนให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  กลัวการถูกกราบไหว้และเซ่นสรวงหลังการตายของตนเองเหมือนดังที่คนทั่งทาสและขุนนาง วางแผนไว้ล่วงหน้ากับลอร์ดลิเทลหลังการตาย"
อยากให้คนเหฌนตนเองเหมือนตาเห็นแล้ว
ตนเองน่ารักเหมือนตุ๊กตาไขลานแล้วเดินได้เป็นพอ""

แต่อนุญาตให้มีพิธีกรรมการตายที่ถูกต้องเกิดขึ้นได้ ลอร์ดมิคานทำเป็นพินัยกรรมเป็นหนังสือเอาไว้


          โดยพวกทาสกลุ่มรุนแรงกลุ่มหนึ่งและเหล่าสามัญชนที่มากมายนักที่คอยเฝ้าคอยสังเกตพฤติการณ์มโนธรรมอันทรนงและมีพลัง อั
น จะส่งผลให้คลื่นมหาชนที่อาจจะ"คลื่นไส้"เมื่อพบเห็น"เและหมดอารมณ์และเป็นชนวนทำให้ ลอร์ลิเทลเร่งตายไวไปเสียก่อน  เพราะควาเมื้อยล้าและมีเป็นคนมีมโนธรรมจัดจ้านจนหมดชีวิตธรรมดาไป และโดนเยาะเย้ยถากถางจากมารผู้ริษยาในความดีงานของท่านอีกด้วย


         แนวเนื้อความที่อาจจะตกหล่นน่าสนใจในโลกแห่งความเป็นจริง นี้
         จึงมีเซอร์กุชชี(sir g us h i i )และ ฮอน.มิเดา(H on. mid owa)เกิดขึ้นมาเป็นตัวประกอบเแนจุดสนใจขึ้นมา  ดั่งมาเป็นตัวเชิดประกอบนิยายเพื่อแทนงานรบหนักในทุกบทบาทที่ลอน์ดมิคานและลอร์ลิเทลเคนแสดงเอาไว้ในชีวิต
จริงเอาเสียเลยทีเดียว หลังจากที่พวกทาสได้มองว่าลอร์ดมิคานและลอร์ดลิเทลเป็นจารชนชนิดหนึ่งในคราบของคนมีมโนธรรม


ที่ท่านททั้งสองคนหลังนี้
ได้มาเป็นเพื่อนในบทบาทจำลองชนิดด่วนสรุป
และเป็นฉากให่วาระหนึ่งในวริบทนี้ได้มีความหมายขึ้นมาอักฉากหนึ่ง"อิปิโสต"นึง(episode) ขึ้นมาในวันหนึ่ง

       ที่มิคานจะชวนท่านทั่งสองถ้าว่าง
คือทัทงท่านหญิงมิเดา และท่านเซอร์กูชิไปกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเช่นกัน
ความเป็นมาของท่านื่งสองรายการหลังนี้
ฃอร์ดมิคาน
จะเปิดเผยตอนว่างเว้นจากงานสวนครัว(l ot ment)หลังกระท่อมเล็กๆที่ปลายปราสาทมิคาโน
สืบต่อไปในภายภาคหน้า

 "ดูซิว่ท่านืวสองจะไปด้วยมั้ยจะยอมบ้าไปกับบอร์ดมิคทนรึไม่" เร่บะดูกันต่อไป"



          เขามนุษย์เริ่มที่จะ " ไม่สนใจสงครามตามตรรกะ "ลอร์ดมิคานคิด
       เพราะในโลกแห่งตรรกะ มันถูกล็อกและเพี้ยนไปเสียแล้วตอนนี้แม้ส๊ตรคณิตศาสตร์ทุกขนิด มันยังคงถูกใช้ได้ดี

       คือ" คนเริ่มอยากทำความดีในนามของความชั่วที่ชั่วและชั่วชั่ว และคนอยากทำชั่วในนามของสิ่งดีงามที่ดี๊ดีนี้กันนั่นเอง" เพราะเหนื่อยและพลั้งไป
      กล่าวคือ คนหลายคนและเกือบทุกคนทั่ง
ทาสและขุนนางและสามัญชน มันอาจจะถูกล็อกอัตโนมัติด้วยพรหมแดนของสรรพสิ่งเอาไว้ 

       ที่มีปรัชญาว่าคลื่นของความดีความชั่วที่เกิดมีขึ้นมากมายนัก แต่มนุษย์ทำไม่ได้เข้าถึงมันไม่ได้นั่นเอง เช่นคนจะทำดีแต่เวลามากำหนดเสียมิให่เข้าถึงความดีที่ตนจะทำ ความชั่วคนก็อยากทำแต่กฎหมายมันมาขวางกันไม่ให้ถึงความขั่วไปเสียเป็นต้นดังนี้ จึงเกิดมิติใหม่มารองรับสิ่งนี้

        มิตินั้นลอร์ดมิคานเชื่อว่า มันคือ"อุบัติเหตุและหรือสงคราม"ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

        ด้วยกฎหมายใต้ดินและสากลระหว่างเมืองในจักรวาลหมดแล้ว "ลอร์ด มิคานเดาเอา""