วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แม่ mom

martintrinity50@yahoo.com





หนังสืออนุสรณ์งานฌาปนกิจศพนางหงษ์ ทะเบียนมรณบัตรเลขที่ 01-770559862 มกราคม 2552ณ ...














คำปรารภ

เล่มที่ 1 หนังสือเล่มนี้ เรื่อง การเข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นหนังสือสอนเรื่องการเชื่อในแก้วสามดวงในพระพุทธศาสนา อันเป็นแนวทางการเข้าถึงศาสนาพุทธในระดับสูง ซึ่งผู้เขียนได้เขียนขึ้นสมัยเรียนหนังสือที่วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ ยุคเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ ปธ 8)เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ของไทยรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนเห็นว่าสมควรนำมาพิมพ์แจกผู้ร่วมงาน เพื่อประโยชน์แด่ทุกคนต่อไป
เล่มที่ 2 หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยมหิดลฉบับที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนดังกล่าวทายาทได้นำมาพิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพเพราะผู้เขียนหนังสือนี้ทำขณะไปพยาบาลมารดา เพื่ออุทิศส่วนดีของหนังสือนี้ถ้ามีให้มารดาในฐานะที่มารดาเป็นคนให้โอกาสทางการศึกษาของผู้เขียนมาโดยตลอด
พระมหามาติณ ถีนิติ
วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553













สารบัญ

ประวัตินางหงษ์
ประวัตินายซิวเม้า
จดหมายคำไว้อาลัย
เรื่องต้นมะไฟเต่า
วิธีเปิด หนังสือ “มนต์พิธี” ของพระครูสมุห์เอี่ยม วัดอรุณฯ
หนังสือเรื่อง “การเข้าถึงพระรัตนตรัย” โดย พระมหามาติณ ถีนิติ



















ประวัตินางหงษ์
เกิดเมื่อ พ.ศ. 2570 ที่ บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีบัตรประชาชนไทยเลขที่ 3-7705-00048-43-4 พ่อชื่อนายคล้าย แม่ชื่อนางหนู มีพี่น้องหญิง 4คน และน้องชาย2คน น้อยชายเสียชีวิตแต่เยาว์วัย ส่วนหญิง 4 คน คือ หงส์ - เฮียง- เฮียว - ปัจฉิม พี่น้องทั้งหมดแต่งงานหมดแล้ว สำหรับนางหงษ์ มีบุตร 1 คน แม่เสียชีวิตเมื่อ เมื่อ วันที่ 2 มกราคม 2552 เวลา 00.33อายุ 82 ปี ด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต ศพฝังไว้ที่สุสานชั่วคราม เปา เกง เตง เขาช้าง(โรงเจเก่า) ตำบล หนองกระทุ่ม อำเภอ ปากท่อ จังหวัด ราชบุรี

การศึกษา
พ.ศ. 2480 จบการศึกษาประชาบาล ร.ร. วัดดอนตะเคียน บางสะพานน้อย ประจวบคีรีขันธ์ ครูใหญ่ชื่อชัด (เมือง-) พ.ศ. 2507 จบจูฬอภิธรรม ตรี สำนักเรียนวัดเขาถ้ำม้าร้อง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2508 จบจูฬอภิธรรมโท สำนักเรียนวัดเขาถ้ำม้าร้องจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2509 จบจูฬอภิธรรมเอก สำนักเรียนวัดเขาถ้ำม้าร้องจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

งานสาธารณะ
พ.ศ. 2504 บวชชีวัดสร้อยทอง ช่วยงานบูรณะฟื้นฟูวัดสร้อยทองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามโครงการของ คณะ พ.ท. พระประชาฤทธิฤาชัย (อิ๊ด)เพื่อนจอมพลแปลก ขีตะสังคะ
พ.ศ. 2508 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าแม่ชีวัดเขาถ้ำม้าร้อง
พ.ศ.2510-51 ทอดผ้าป่าและกฐินสามัคคีกับสามี และร่วมงานการกุศลอื่น ในเขตบ้านเกิด 2551 สร้างเสาโบสถ์ถวายวัดดอนตะเคียน 1 ต้น เป็นเงิน 10,000 และทำบุญด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
พ.ศ.2507 เคยร่วมประชุมวิปัสสนากรรมฐานทั่วประเทศ ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพ ฯ กิจกรรมระดับประเทศของของวัดสร้อยทองนำโดยพระครูสังวรสมาธิวัตร(ประเดิม)
สถาบัน
แม่ชีสังกัดวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ
แม่ชีสังกัดวัดเขาถ้ำม้าร้อง ประจวบคีรีขันธ์
เป็นสมาชิกสถาบันแม่ชีไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ถือหนังสือสุทธิบรรณ






















ประวัตินายซิวเมา (สามี)
เกิดเมื่อ พ.ศ. 2465 ที่เมืองจีน หมู่บ้านแพเจ ตำบลซงแปะอุย อำเภอ ลิโอว จังหวัดเผาเลง มณฑลกวางตุง ประเทศจีน บัตรประชาชนไทยเลขที่ 3—7705-00048-44-2 เป็นบุตรของนายขากี่ และนางชาลิม พ่อมีพี่น้อง 3 คน ชาย 1 คน ชื่อ นายซิวหง และหญิงหนึ่งคน ชื่อซิวงาย พ่อ ได้เดินทางมาประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. - และสมรสกับนางหงษ์จดทะเบียนสมรส ที่ว่าการอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีบุตร 1 คน พ่อตาย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 17. 30 น ด้วยโรคชราภาพ ศพฝังไว้ที่สุสานชั่วคราม เปา เกง เตง เขาช้าง(โรงเจเก่า) ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัด ราชบุรี
การศึกษา
จบการศึกษาสูงสุดในประเทศจีนระดับมัธยม
งานสาธารณะ
เป็น”ซินแซ”ในเขตพื้นที่บางสะพานน้อย
ช่วยงานโรงเจ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎษร์ธานีทุกครั้งปีมีงานมื่อมีชีวตอยู่
ช่วยงานซินแซ โรงเจเขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี ทุกเทศกาลกินเจทุกปี
สถาบัน
สมาชิกสมาคมคนเมืองแผาเลงจากประเทศจีน ในประเทศไทย

ประวัตินางหงษ์ (ประทุมทิพย์) (บันทึกอื่นอีก)
ชาติภูมิ
คุณหงษ์ เกตุมณีเดชา (นามสกุลตั้งใหม่หลังพ.ศ.2475))เกิดที่ บางสะพานน้อย เป็นบุตรี นายคล้าย (แซ่บาง ตระกูลที่รู้จักกันในพื้นที่คือตระกูลเจ็กเกตุ)และนางหนู เกตุมณีเดชา(แก้วขำลูกนางวอน นามคุ้ม แก้วขำคนยุค รัชกาลที่ 4-5))มีบุตร 1 คนชื่อ พระมหามาติณ ถีนิติ ศศ.ม.( ด.ช.บุญนาค เกตุมณีเดชา) เป็นสักขีพยานรัก
คุณแม่มีพี่น้องรวม 6 คน เป็นชาย2(จำชื่อไม่ได้ เสียอายุแต่เยาว์วัย) และมีน้องสาว 3 คนคือ เฮียง เฮียว ปัจฉิม ญาติที่สำคัญที่ขึ้นชื่อในพื้นที่คือ นายเกียรติ(จากตระกูลไฮหลำ เดชอุดมวัฒนา คฤหบดีบ้านปากคลองที่มีลูกชายเป็นกำนัน2553) แม่เล่าว่าแม่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการก่อสร้างตัวในยุคการพัฒนาเกษตรกรรมสมัยให้คนจับที่ดินทำกินเพิ่มและแม่เป็นกำลังสำคัญให้กับครอบครัวและเลี้ยงน้องทุกคน ลำบากมาก นับจากการสร้างสวนจากที่เป็นป่าที่ไม่มีอะไรเลยจากสมบัติเก่าตามแผนเก่า แม่ปลูกมะพร้าว หาบของขาย ปลูกผัก พืชสวน เลี้ยงดูพ่อแม่
ประวัติการศึกษา
จบประถม 4 รร ประชาบาลวัดดอนตะเคียน
จบจูฬอภิธรรมเอก สำนักเรียนวัดระฆัง(อภิธรรมโชติกธรรมจริยะ)
จูฬตรี สำนักเรียนวัดวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ
จูฬโท สำนักเรียนวัดเขาถ้ำม้าร้อง ประจวบคีรีขันธ์
จูฬเอกสำนักเรียนวัดเขาถ้ำม้าร้อง ประจวบคีรีขันธ์
เรียนประถมศึกษาจบ ประถม 4 ร.ร. ประชาบาลวัดดอนตะเคียน รุ่นเดียว กับครูจรุง อุ่นใจ ครู รร วัดดอนตะเคียน และ นางจุฬี กันภัยคหบดีบ้านหนองคล้า เป็นต้น มีครูชัด (เมือง-)เป็นครูใหญ่
อาชีพ
เกษตรกรรมคุณแม่ไม่เสพสิ่งติดทุกชนิด หมาก เหล้า กาแฟ ทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกคนในพื้นที่รู้จักเรื่องความขยันของแม่ดี ตื่นเช้ามาหุงข้าวใส่บาตร เลี้ยงหมา 1 ตัว แมว 1 ตัว
ชีวิตแม่ชี
และแม่ได้แยกกับพ่อชั่วคราวและไปบวชชีที่วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ ช่วยงานบูรณะวัดสร้อยทอง โดยการชักนำของสมัยอาจารย์ประเดิมอดีตครู ร.ร. บางสะพานวิทยา บางสะพาน พระครูสังวรสมาธิวัตร (ประเดิม โกมโล) เมื่อแม่บวชชีแล้วได้เข้าทำกรรมฐานและช่วยงานวัดในความควบคุมดูแลของ คุณนายเล็ก รัตรัตนะ และ พ.ท. พระประชาฤทธิฤาชัยผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของวัดสร้อยทองขณะนั้น มีแม่ชีคนสนิทเช่น แม่ชีสุธรรมา จันทร์เติม(อดีตหัวหน้าแม่ชีสำนักวัดสร้อยทอง) และ แม่ชีจำลองลักษณ์ คงสาหร่าย(อดีตประธานสถาบันแม่ชีไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์) นอกจากนั้นดูแลผู้มีแนวร่วมทางความคิดแรงบุญ จนสนิทชิดคุ้นรู้จักกันในนาม “หนูประทุมทิพย์” ที่พอเอ่ยชีเก่าวัดสร้อยต้องรู้จักคือมีอาทิเช่น คุณหญิงอนุกิจวิธูร(แฉล้ม เทพหัสดิน ณ อยุธยา) คุณปิ่ว กระทุ่มแบน คุณนายสังวาลย์ ชุติชูเดช แม่ชีพิศ สุชาโต คุณนายใหญ่(ผูก)(นางประชาฤทธิฤาชัย) (ภริยาหลวงของคุณพระประชา) เป็นต้น และต่อมาแม่ได้ย้ายมาอยู่วัดถ้ำเขามาร้อง มาดูแลคุณลุงคือพระอธิการช่วง วิสารโท(ปู่ช่วง วัดหินกอง)พระคู่สวด ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของแม่ของแม่ที่ท่านบวชแล้วช่วยสร้างวัดไปทั้งเมือง วัดที่สร้างเป็นรูปธรรคือวัดถ้ำเขามาร้องร้วมกับพระมหาพุฒ อดีตศึกษาจังหวัดประจวบฯ (ยุคสังฆมนตรี)พระครูปัญญาโสภิต (สำรวย) อดีตศึกษาอำเภอบางสะพาน(สงฆ์) คุณแม่สังกัดวัดถ้ำม้าร้องจนกระทั่งลาสิกขาและกลับมาอยู่กับสามีตามเดิมที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำการค้าเล็กน้อย และต่อมาย้ายมาอยู่ที่บ้านดอนตะเคียน ประกอบอาชีพทำสวนมะพร้าวตามปกติ ปกติ แม่ได้ตายสนิทเมื่อเวลา 00:33 น.ตามความเห็นของแพทย์ สมรส ต่อมามาพบรักกับนายซิ้วเม้า แซ่แต้ สัญชาติจีน จาก ตำบลซงแปะอุ๊ย เมือง ลิโอว จังหวัดเผาเล้ง มณฑลกวางตุ้ง โทรศัพทย์หมายเลข 001-86-663-277-4761โดยมีนายบั๊กลิ้มปู่ของนายกบริหารส่วนจังหวัดประจวบฯ (2553) (นายทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์)มาสู่ขอและจดทะเบียนสมรสแต่งงานตามประเพณีที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ขณะป่วย การรักษาหลังแม่ล้มป่วยลงใช้เวลา 2 ปีเต็ม ช่วงแรกพ่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ปีสุดท้ายของชีวิตแม่ อาตมาได้เดินทางมาเฝ้าและดูอาการตลอดเวลา แม้ว่าต้องเรียนหนังสือในนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าแม่ระยะหลังรับประทานอาหารทางปากไม่ได้ ต้องใช้สายยางสอดทางจมูกสู่ลำไส้ ให้อาหารเหลว อาตมาพยาบาลอย่างใกล้ชิด ร่วมกับพ่อก่อนพ่อตายพ่อนั้นดูจนตัวเองตายก่อน อาหารที่ใช้ได้คืออาหารปั่นและนมกระป๋องชนิดผง การรักษาคนไช้ระยะนี้ต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ซึ่งอาตมาในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยสายสังคมและด้านแพทย์(แต่ตนเองมิใช่หมอ)มหิดลมาแต่ได้ช่วยพยาบาลแม่อยู่รอดต่อมาได้อีก 1 ปี คุณแม่สิ้นชีวิตอย่างสงบที่บ้านตามบันทึกแพทย์ แต่มาตรวจชีพจรตายแน่นอนโดยการรับรองการตายที่โรงพยาบาลบางสะพานน้อย โดยรถฉุกเฉินของพยาบาลมารับถึงที่บ้าน
ในคืนนั้นแม่พูดว่า “แม่จะตายแล้ว” แต่อาตมาบอกว่าอย่าเพิ่งตายขอลูกจบปริญญาโทก่อน “แม่นิ่ง” แม่มีสติสมบูรณ์ก่อนตาย รู้จักพนมมือไหว้พระ บอกพระว่า ระวังบาป ถูกผู้หญิง แต่อาตมาค้านว่า เพศแม่ในลักษณะเช่นนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ห้าม “แม่เฉย” อาตมาต้องดูแลแม่ชนิด “อุ้มขี้อุ้มเยี่ยวแม่” ชนิดได้ตอบพระคุณแม่อย่างน่าภูมิใจทีเดียว เพราะชีวิตอาตมาตั้งแต่เกิดมารอดอยูได้ใช้ชิวิตจริงกับแม่เพียง 4 ปีตอนติดนมเท่านั้น แม่เป็นคนคิดการณ์ไกล เช่นซื้อตั๋วเครื่องบินให้ไปเรียนต่อที่เมืองอังกฤษ เคยอยากส่งลูกไปเรียนที่อินเดีย เพราะคิดถึงคุณข้อนี้อย่างดื่มด่ำอาตมาภาพจึงเสียสละเงินที่ตนเองได้รับนอกจากพินัยกรรมซื้อโลงไม้จำปาใส่ศพท่านเป็นการตอบแทนพระคุณอย่างสมเกียรติ ปกติคุณแม่แข็งแรง ทำงานทุกวันไม่มีหยุด ที่หาตัวจับยากในพื้นที่หากินเก่ง ไม่มีหนี้สิน เลี้ยงดูแม่ตนเองที่ถูกงูเห่ากัดจนสิ้นชีวิตในมือตนเอง คุณแม่มีโรคมะเร็งที่มดลูกผ่าตัดที่ ร.พ. วชิระ กรุงเทพฯ หายแล้วต่อมา คุณแม่ป่วยบ้างเล็กน้อย แต่วาระสุดท้ายแม่เป็นอัมพฤกต์เดินไม่ได้ คุณพ่อได้นำไปรักษาตัวที่ ร.พ.เปาโล กรุงเทพฯ ร.พ. วิรัชศิลป์ จ. ชุมพร ไปรักษาตัวที่ ร.พ. สุราษฎร์ธานี และที่ ร.พ.ศิริราชนี้ โดยเพราะเพื่อนและอาจารย์ที่นี่และอาตมานำมาแต่แพทย์บอกว่าอาการของคนชราภาพ จนต่อมากลับมารักษาต่อที่ร.พ. บางสะพานน้อยจนแม่เสียชีวิตในที่สุด แพทย์สันนิษฐานว่าเป็นโรคติดเชื้อในกระแสเลือด
จนถึงวันมรณกรรมมี ทะเบียนบัตรประชาชนเลขที่ 3101501134641 มรณะเมื่ออายุ 84 ปี วันที่ 2 มกราคม 2552
ประวัติสาธารณกุศล
ช่วยงานวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ ช่วยงานวัดเขาถ้ำม้าร้อง สร้างกุฎีขนาดใหญ่ร่วมกับ แม่ชีพิศ สุชาโตถวายที่คณะชีเดิมหลังเขาด้านทุ่งนุ่นวัดเขาถ้ำม้าร้อง ดูแลปู่ช่วง ช่วงเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำม้าร้อง ดูแลแม่ชีจำลองลักษณ์ คงสาหร่าย ช่วงมาพักวัดเขาถ้ำม้าร้องและแขกสำคัญของวัดจากกรุเทพฯ
ทำบุญหลายรายการจำไม่ได้ ที่แม่เคบบอกมีรายการดังต่อไปนี้คือ ซื้อโลงศพถวายปู่ช่วง (3,000บาท)
นำทอดผ้าป่าและกฐินสามัคคีที่วัดเขาถ้ำม้าร้องร่วมกับสามีจาก จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นำทอดผ้าป่าและกฐินสามัคคีที่วัดดอนตะเคียนกับสามีจาก จ. สุราษฎร์ธานี
ทำบุญกับวัดดอนตะเคียนตลอดเวลาเกือบทุกรายการ ส่วนที่มีบันทึกไว้คือบริจาคทรัพทย์สร้างเสาโบสถ์วัดดอนตะเคียน 1 ต้นเป็นเงิน 10,000 บาทขึ้นไป ขณะป่วยได้บริจาคทรัพย์ 10,000 ให้วัดดอนตะเคียนผ่านนางเฮียว ถวานพระอธิการเมี้ยน มีใบอนุโมทนาบัตร สำหรับวัดดอนตะเคียนมีรายการทำบุญอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับแม่คือนางหนู เกตุมณีเดชา(แก้วขำ)ผู้เป็นแม่ในสมัย เจ้าอาวาสดังนี้(เดิมปู่สิน) ต่อๆมาอาจาร์เที่ยง อธิการละม้าย อาจารย์ยี่ พระปลัดชาญชัย พระโสม พระน้อย พระกล่ำ พระอธิการเมี้ยน
บริจาคที่ดินให้โรงเรียน 1 ส่วนไม่เกิน 1 ไร่เป็นที่เก็บขยะและเรือนเพาะชำโรงเรียนวัดดอนตะเคียนเดี๋ยวนี้ ตาช่วงวบอกว่าที่ดินวัดดอนตะเคียนย่าวอนคือทวดของอาตมาเป็นคนบริจาคให้วัดบันทึกพบจากเอกสารมีชื่อว่านางวอนบริจาคจริงให้แต่ไม่มีนามสกุลเพราะยุคนั้นเมืองสยามไม่ใช้นามสกุล
บริจาคที่ดินให้กรมทางหลวงชนบทไม่เกิน 1 ไร่ นอกนั้นยังคิดไม่ออกและค้นหาเอกสารยังไม่พบ เพราะที่บ้านมีภัยพายุ ภัยธรรมชาติมาก เช่น พายุแหลมตะลุมพุก พายุเกย์ เป็นต้น
หน้าที่ปกครอง
เคยเป็นผู้ช่วยหัวหน้าแม่ชีสำนักวัดเขาถ้ำม้าร้อง และเป็นสมาชิกสถาบันแม่ชีไทยได้รับใบสุทธิบรรณ)



คำสั่งสอนบุตรวาระสุดท้าย
ดูแลตนเองให้ดี แม่ชอบเงียบ ๆไม่อยากให้หนวกหู รู้จักใช้เงิน อาตมาคิดสร้างวัดหรือมูลนิธิให้ท่านถ้ามีโอกาส และเก็บรักษาทรัพย์สินให้อยู่เงียบ เหมือนคนสมถะ ไม่ให้หนวกหูเหมือนหรือคนมากวนใจจิตวิญญาณของท่านในบริเวณที่ท่านเคยอยู่อาศัย เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว อาตมาชอบที่ท่านไม่บังคับเลือกคู่สมรส หลังตายอาตมาโดยจะกักบริเวณไม่ให้ใครเข้าไปบริเวณที่ท่านเคยอยู่อาศัย แม้วัวควาย ปล่อยธรรมชาตินิเวศน์เพื่อไว้อาลัยท่าน ส่งเสริมสมุนไพร แต่จะจัดบ้านไว้รับแขกต่างหาก เพราะขณะแม่มีชีวิตอยู่ท่านชอบสมาธิภาวนามาก และชอบชีวิตแม่ชี ชอบชีวิตป่า เขา ทะเล เงียบ แม่ไม่ชอบการเมือง
ประวัติการรู้จักพระของแม่
แม่ชอบทำบุญ พระที่รู้จักแม่คือในนาม คือนิคแนมที่ถูกแม่ชีสุธรรมาตั้งให้เมื่อบวชเสร็จคนจึงเรียกแม่ “พี่ชีประมทุมทิพย์” “อุบาสิกาประทุมทิพย์” “หนูประทุมทิพย์”
แม่เคยนอกจากเลี้ยงน้องร่วมสายโลหิตมาทุกคนแล้ว สิ่งสำคัญที่อดไม่บันทึกไม่ได้คือ นำหลานชายลูกชายของน้องสาวชื่อโสราศักดิ์(ที่เกิดจากเฮียงและหลิ) ที่เกิดมามี2 หัวคือตูดยาว พาไปตัดที่ ร.พ. ศิริราชยุคก่อน 2525 สำเร็จ คือไม่ตาย และเนื้อเยื่อเก็บรักาษไว้ที่ ร.พ. และคนนำไปปิดวิคให้คนดูที่กรุงเทพฯ แม่ดำริทำหนังสืองานศพให้พ่อ(นายคล้าย เกตุมณีเดชา) 1 เล่ม เป็นหนังสือสวดดมนต์สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ตรวจแก้และตรวจก่อนพิมพ์โดย หลวงพ่อเจ้าคุณมาณพวัดราชโอรส สมัยเป็นสามเณร(ป)วัดสร้อยทอง นอกนั้นแม่นำน้องทั้ง3เว้นเฮียงมาบวชชีที่วัดสร้อยทองและนำน้องต่างพ่อ(ลูกพี่ลูกน้อง)คนหนึ่งคือรัตนา คงนาขา มาบวชชีที่วัดสร้อยทอง นับว่ามแม่พาคนเข้ากรุงเทพฯ หลายคน ในจำนวนอื่นในพื้นที่เดียวกันไม่มีใครมีสังคมในกรุงเทพฯ เท่าแม่ในช่วง (2500-2525)
การประกาศขอบพระคุณ
งานศพแม่ และพ่อ ช่วงงานศพพ่อ เจ้าภาพไม่ค่อยได้ปรากฎตัว แต่ก็ได้ ให้คนทำการแทนคือ อ.ส.ม. ในหมู่ 9 และคนอื่นช่วยทำการแทนเช่นแม่ชีสาคร บ้านใกล้วัด ตัวเองต้องคอยพยาบาลแม่ ซึ่งอาการร่อแร่เช่นกัน งานนี้จะพูดว่าพ่อปล้ำดูแลแม่จนตัวเองตายก็ได้ แม่และพ่อมีเรื่องหนึ่งที่พบเห็นคือ สำหรับท่านหลังวันแต่งงานท่านได้สาบานกันว่าไม่แต่งงานคนอื่นอีก และพบว่า พ่อและแม่แยกกันอยู่นานพอสมควร(10ปีกว่า) ไม่ได้แต่งงานใหม่ จนกระทั่งวาระสุดท้าย ที่แยกักนอยู่ก็ไม่แต่งงานคนอื่น แม้มีเถ้าแก่มีการทาบทามสู่ขอทั้งสองฝ่ายช่วงพ่อและแม่แยกกันอยู่
พ่อเคย ส่งเสียให้ทายาทเรียน ร.ร. ราษฎร์ คือที่ ร.ร. ธีราศรมวิทยา พุนพิน 4 ปี คือชั้น ป 2 ถึง ม 1 (ป5) แล้วออก ทายาทได้หนีพ่อไปบวชสามเณร หลังจากนั้น
พ่อตายก่อนแม่เพราะดูแม่จนเป็นไข้ คือเช้าวันหนึ่งพ่อไปซื้ออาหารเช้ามาให้แม่ แล้ว กลับมาชักต่อหน้าอาตมา ๆจึงพยาบาล และนำส่ง รพ. ต่อมา ขอขอบพระคุณรถพยาบาล ร.พ. บางสะพานน้อย และคุณหมอสมพงษ์ และของคณะพยาบาลทุกท่านที่ได้เอาใจใส่มาดูแลแม่และพ่ออย่างดีในช่วงวิสัญญี ทั้งในฐานะนโยบายอำเภอและรายการอื่นที่น่าชมเชย (โปรดอ่านเพิ่มเติมในหนังสือเยี่ยม) อาตมายากจนแต่ได้ให้ดอกกล้วยไม้สีเขียวกระถางหนึ่งให้ 1 กระถางตอบแทนโรงพยาบาล และทุกท่านที่มาร่วมงานและตลอดถึงคนที่มาที่ไม่ได้กล่าวถึงทุกท่าน มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเจ้าภาพ กล่าวคือทายาทขออภัย และขอให้ทุกคนจงได้รับส่วนบุญ ถ้ามีด้วยกันทุกๆคน
กรรมใดที่แม่หรือพ่อหรืออาตมาได้ล่วงเกิน กาย วาจา ใจ ทายาทขอประทานอภัยมาทุกถ้วนหน้าในที่นี้ด้วย
เห็นมีพวงหรีด อ.บ.ต. บางสะพาน เจ้าของโลงไม้จำปา และ พระมหามาติณ ถีนิติ (บุตรชาย) ในงาน ส่วงนท่อนอื่นจำไม่ได้ ทายาทขออนุโมทนาและขอบคุณเช่นกัน งานศพแม่ไม่เหมือนงานศพยายที่มีพวงหรีดมากมายนับจาก ส.ส.ของจังหวัด ถึงพระอย่างอาตมา
นอกนั้น พบว่าแขกมากันพอสมควร บางคืนเต็มศาลา และขอบคุณ เด็กนักเรียน วัดดอนตะเคียนที่ได้มาเยี่ยมแม่และกล่าวอวยพรให้แม่หายไว ๆ ประทับใจอาตมามากในนโยบายชุมชนของโรงเรียนเช่นนี้ กล่าวคือโดยการนำของหัวหน้าชั้นนักเรียนห้องหนึ่ง(โปรดดูในหนังสือเยี่ยม) ที่จำได้คือ ท่านทูล พระเลขาฯตำบลพงษ์ประศาสน์ (ญาติแม่คนหนึ่ง) โกจิ้นพ่อนายก อบจ น้าหยีดโรงสี คฤหบดี ม. 9 และอีกมากกาย เมื่อพบบัญชีแล้วจะนำมาแสดงภายหลัง
กำหนดการศพ
ไว้3 คืน เดิมกำหนดไว้ 1 คืนคือคิดว่าเก็บศพหรือฝังรอพร้อมแล้วเผาทีหลัง แต่ต่อมาเป็นว่าแล้วพาไปฝังรอพร้อมเพื่อเผา ศพพ่อชอบฝัง แม่ชอบเผา แต่ไว้รวมกันก่อนได้ท่านทั้ง 2ไม่ว่า กล่าวคือคือพาไปฝังที่ จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีบุตรเพื่อนพ่อนับถือกันทำไว้ให้ 2 อันด้วยอุปการคุณต่อกันบางอย่างในอดีต
แต่ต่อมาทางบ้านดอนตะเคียน เมื่อขอ ไว้ 3 คืน ก็ยินยอม เพราะทายาทไม่มีแรงทำ สุขภาพไม่สมบูรณ์ ติดเรียน จึงกำหนดว่าไว้เพียงแค่นั้น แม่สั่งว่าทำศพแม่และพ่ออย่าไปเก็บน่วย(ค่าการทำบุญหมุนเวียนตามประเพณี) ให้ปล่อยฟรี เพราะฉะนั้น งานที่ทำคือ ไม่ได้หวังอะไร มีเงินฌาปนกิจอยู่บ้างส่วนประกันชีวิตฌาปนกิจสงเคราะห์หมู่บ้านของแม่ทายาทรับเรียบร้อยเป็นทางการ มีนางเฮียงน้องแม่เป็นพยาน ส่วนพ่อไม่มีฌาปนกิจ
หมายกำหนดการศพแม่
หลังการนำศพจาก ร.พ. บางสะพานน้อยไป ร.พ. พยาบาลบางสะพานใหญ่ ฉีดออตอ็ปซี่(Autopsy)รถร่วมของโรงพยาบาลฝ่ายอาสากู้ภัยบางสะพนานน้อย
2 มกราคม 2552
พาแม่มารดน้ำศพที่วัดดอนตะเคียน มีนายสุมล (ญาติแม่) ผูกตราสังให้ ส่วน พ่อ พระมหามาติณ ผูกตราสังให้ รดน้ำศพเสร็จนำเข้าใส่โลงจำปาทันที ราคา 35,0000 บาทรวมค่าเบ็ดเสร็จ ลูกชายยินดีบริจากซื้อ ให้ แม้ไม่มีเงินเพื่อตอบแทนพระคุณ
3 มกราคม 2552
สวดพระอภิธรรมทุกคืน นิมนต์พระเณรฉันเช้าเพลทุกวัน
ขอขอบคุณเจ้าอาวาส ท่านไก่ แม่ชีสาคร และพระพิธีกรรมโรงทึม วัดดอนตะเคียนท่านสม หลวงพ่อเมี้ยน อาลีอาของกำนัน และทุกท่านที่มาช่วยำให้มีบรรยายกาศกินเหล้าอ่อนแก้เหนื่อยและเล่นสนุกตามกาลเวลาด้วย และทุกท่านทุกคนมาณ โอกาสนี้ด้วย
แม่และปู่ช่วง เคยเล่าว่า ที่ดินวัดดอนตะเคียนนั้นย่าเป็นคนถวายให้ แต่เมื่อตรวจดูเอกสารฝ่ายเมือง พบแต่ชื่อ”วอน” ไม่พบชื่อนามสกุล จึงละไว้ว่า อาจจะถวายที่ดินสร้างวัดดอนตะเคียนจริง มีคนมาเต็มโรงทึมทุกวัน
4 มกราคม 2552
วันที่ 3 นำศพแม่ออกจาก วัดดอนตะเคียนตอนเช้า เพื่อพาไปสุสานที่ จังหวัดราชบุรี โดยขวบรถ 3 คัน มีรถคุณสมภพฯ และพระหมามาติณทายาท รถของญาติหลายคัน รถเช่าจำเพาะ และรถนำส่งของโรงพยายาบาล พาแม่ไปฝังที่ โรงเจเขาช้าง เพื่อรอทำพิธีกรรมอื่น ต่อไป
งานศพพ่อ ทายาทไม่ได้ไป เพราะว่า ต้องดูแลแม่อย่างใกล้ชิด งานศพพ่อ มีญาติตลาดพลูมาทุกคนมีญาติมาร่วมงาน งานที่ดอนตะเคียนมีญาติจากบ้านกรูด ชุมพร และดอนตะเคียนมาร่วมงานทุกคน ส่วนญาติข้างแม่ทางกรุงเทพฯมีคุณรัตนา มาร่วมงานที่โรงเจที่ฝังศพสำหรับญาติกรุงเทพฯฝั่งธนบุรี ข้างพ่อมาหมดทั้งสองรายการ อาจจะจดไม่หมดขออภัย ส่วนงานศพไม่มีญาติทางกรุงเทพฯมาได้ทันเวลาทุกคน
ขอขอบพระคุณ พี่วิลาสแม่ยายน้องแก่นที่ขุดสระปลูกบัวให้แม่หลังตายและพี่วิลาสที่รับงานดูแลและทุกคนที่มาเอาใจใส่ดูแลแม่และพ่อช่วงช่วยตัวเองไม่ได้ทุกระยะแม้จะมีสิ่งตอบแทนบ้าง แม้มีค่าตอบแทน แต่ก็มีน้ำใจเป็นพิเศษฐานญาติตั้งอยู่ ขอขอบคุณคณะหมอจับเส้นทุกคน หมอยาต้มยาไทยทุกท่าน และรถยนต์บางครั้งพาไป ร.พ.(เช่นรถส่วนตัว อบต ลูกชายน้านาญเป็นต้น และ การประชาสัมพันธ์งานของผู้ช่วยอี๊ดเป็นต้น ในกรณีฉุกเฉินที่ไม่ได้เบิกรถฉุกเฉินโรงพยาบาล ขอประทานอภัยและทุกคนที่ประสบความผิดหวังจากการมาเยี่ยมไข้แม่
สมัยหนึ่งแม่เป็นไข้ผีเข้า รักษาหายโดยพระครูเคล้าตาเคล้าวัดดอนยาง นายอำเภอธวัช เคยมาเยี่ยมไข้แม่ครั้งแม่ป่วย คนข้างบ้าน แม่ผู้ใหญ่ ครูน้อม สาคร อาลี กำนันโป่ง น่าเกลื่อน และเมียลุงวงศ์จากเกาะยายฉิมบ้านกรูด พ่อหลวงเมี้ยน ผู้ใหญ่หมู่ 4 ท่านไก่ น้านึก และอีกหลายคนจำไม่ได้ ตาขายหมูตลาด จรีย์ลูกสาวสน้าจบ และพยาบาล อนามัย อำเภอ ตำบล บางสะพานทุกท่าน เมียน้ายวด เมียตาเคลื่อน และคนเก็บพลู อุบลและลูกพร้อมสามี น้ากิมเฮียวและทุกคนที่ไม่ได้เอ่ยถึงทั้งหมด

พระที่รู้จักแม่นั้นมีนั้นอาทิเช่น หลวงพ่อเจ้าคุณมาณพ วัดราชโอรส หลวงพ่อเจ้าคุณวิเชียร วัดมณีไพรสนณ์ แม่สอด ตาก หลวงพ่อเจ้าคุณประสาท วัดกลาง บางปลาม้า สุพรรณบุรี หลวงพ่ออาจารย์สุนทร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี ที่บ้านรายการ 3 รูปนี้พบ รูปมอบให้กัน แบบญาติธรรม มิตรธรรม พระอาจารย์ประเดิมยืนพื้นนับจากวันทายาทอายุ 4 ขวบ ท่านอาจารย์เดิมเป็นพระของที่บ้านทีเดียว เมื่อแวะใต้ต้องมาเยี่ยมบ้านดอนตะเคียนนายคล้าย
แม่บันทึกที่คบคนมา ปิ่น แจ่มจักษุ คนข้างวัดหัวตะเข้ ซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ แม่ชอบปลูกต้นไม้ วิธีปลูกคือ ปลูกกลางแดด และทำซุ้มให้ และรดน้ำเช้าเย็น เพราะแดดและน้ำไม้โตไวทุกต้น ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ระยะหลังแม่เรียนรู้การใช้สายยาง สมัยก่อนหาบน้ำใส่ทุกวัน แม่ชอบหาลำไพ่เก็บพริก ปลูกพืชสวนครัว ขายเก็บเงินไว้ทำบุญ เพราะเงินค่ามะพร้าวพ่อเก็บดูแลคนเดียว แม่ใช้เงินเมื่อไข้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแม่หาทางเลือกทางนี้ คือปลูกพืชผักสวนครัวเป็นรายได้เสริมให้ลูกกินขนมแม่ไม่ชอบเลี้ยง สัตว์เพื่อขาย ลูกจะทำตามใจแม่
ต้นไม่ในความทรงจำของแม่คือต้นอิน ที่แม่รักมาก แต่มาระยะหลัง ตาย แม่สึกจากชีจาการเรียนรู้ที่กรุงเทพฯ คือปลูก ต้นมะขามรอบรั้วบ้าน ที่พ่อ(คล้าย)สร้างไว้ให้ให้ แต่เมื่อแม่ตายลง เหลือ 4 ต้นขนาดใหญ่ จากการปลูกไม่ต่ำกว่า 100 ต้นแบบสนามหลวงทีเดียวง บทพื้นที่ กว่า 10 ไร่แม่ชอบปลูกผักเสี้ยน แล้วทำผักเสี้ยนดองขาย มีชื่อในพื้นที่ วิธีทำของแม่คือ ปลูกด้วยเมล็ด และรดน้ำกลบด้วยฟางข้าว ชนิดทำแล้วได้กินแล้วเก็บ มานวดด้วยเกลือ ราดน้ำมะพร้าว แล้วตากน้ำค้าง ขายดีมากทำไม่ทัน
แม่ประสบภัยชีวิต ครอบครัว สังคม ธรรมชาติมาตลอดเวลา นอกนั้น แม่ชอบทำวุ้นว่านหางจระเข้กินเอง และแช่น้ำตาลกกรวดและน้ำตาลทดสะกอนกับน้ำจากน้ำค้างค้างคืน มากิน เป็นยา แม่ทำอะไรอีกหลายอย่าง สิ่งที่แม่ชอบที่สุดคือน้ำพริกเกลือกับปลาทูนึ่งแดดเดียว กินได้กินดี อย่างอื่นแม่ไม่ชอบกิน สุนัขตัวโปรดของแม่คือ “ห้าว” ตัวโปรดของ ลูกเป็นแมวคือ “ทองแดง”
ทรัพย์สินหนี้สินของแม่
มีพินัยกรรมที่มอบให้ที่อำเภอไว้ให้ลูกคนเดียว(นายมาติณ ถีนิติ) นอกนั้นไม่มีทรัพย์สินอื่นใด มีหนี้สินที่แม่คนอื่นมีต่อ ในรูปแบบใดๆ(แม่เคยบอกรายการไว้แต่ทายาทมอบให้ทนายดำเนินการให้ไม่ติดตามเอง) และถ้ามีรายการอื่นอีก โปรดส่งตรงเข้าบัญชี เงินออมทรัพย์ของทายาท ที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบางสะพานน้อย บัญชี เลขที่ 490-0-23196-2นายมาติณ ถีนิติด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง
นายมาติณ ถีนิติ ได้รับคำสั่งให้จัดการมรดกของนางหงษ์ เกตุมณีเดชา และนายซิวเม้า ซ่าแต้ ตามกฎหมาย มรดกและการจัดการมรดกที่เรียบร้อยแล้ว ณ ศาลประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2552
ส่วนถ้ามีพิพาทอื่นใดโปรดติดต่อผ่านทนายความหรือผู้จัดการมรดกของ นายมาติณ ถีนิติ(พระมหามาติณ ถีนิติ ) เพื่อความเป็นธรรมทุกประการ สืบไป ทรัพย์สินนายมาติณ ถีนิติ คาดว่าเป็นมรดกมีพินัยกรรมเป็นมูลนิธิ และบริจาคต่อไป ผิดตกบกพร่อง ขีดฆ่าลบ โดยเหตุไม่ถึงการณ์ และไม่มีเจตนาก่อนกฎหมายบังคับ ขออภัยทุกประการด้วย
บ้านเก่าที่แม่เคยอยู่นั้นเป็นบ้านตากับยายเป็นบ้านเชิงเขา หลังใหญ่มากถ้านับเป็นบ้านจะใหญ่ทีสุดในหมู่บ้าน เป็นโรงเรืยนผสม 2 ชั้น กว้างยาว 2 งาน ทุกคนรู้จัก บ้านนี้ มีหมอยาจำเป็นคือตา ตาสูนฝีเก่ง ท่านสูนด้วยปูนแดงพร้อมคาถา ฝีไข่ดัน หรือคางทูมทำได้ผล บ้านหลังคามุงสังกะสี ครัวมุงตับจากมะพร้าวเย็บเอง สมัยก่อนจะทำบ้านทำอะไรลงแรงกันทำ ไม่ต้องจ้าง ไม้ใหญ่ตัดได้ถ้าใครมีปัญญาตัด ไม่ต้องขอป่าไม้ บ้านผนวกด้วยโรงเรือนพักของเกวียน พืชผลต่างๆ มียุ้งข้าว กะทะต้มขนาดยักษ์ มีเชิงควายลาก ตาเคยเลี้ยงหมู ปลุกผักขาย ลูกเขยตาเป็นคนต่างถิ่นทั้งหมด เว้นเฮียงน้องคนที่ 2 ของแม่ได้ลูกเขย(สามีคนที่ 2 ของเฮียง) เป็นหลานของอดีตกำนันชื่อท่านขุนอุทกฯ(โพธิกสิกร) ตาปลูกว่านสาระพัดดอกไม้ทางไกล ตาไปหามาปลูกตาเล่นเหล็กไหล ว่านงู กล้วยไม้ป่า คนนำต้นแก้วมังกรมาปลูกที่หมู่บ้านโดนท่านปลูกไว้ที่ต้นระหาดข้งเขาที่ไม่คิดว่ากินได้นำมาจากเวียดนามตาไปเที่ยวมาธุดงค์แบบเถื่อน ๆ แต่ปัจจุบันทั้งหมดที่กล่าวเป็นอดีตหมดแล้ว แม่บอกว่าพ่ออาตมาพบรักแม่เพราะพ่อมารับจ้างทำงานในสวนของตาจึงได้พบรักกับแม่ของอาตมา
แต่สุดท้ายตายายเปลี่ยนอาชีพมาทำมพร้าวอย่างเดียว ตากับยายได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องคนอื่นให้มาอยู่ด้วยเพื่อฝึกฝนและรู้จักชีวิตพบว่าตาทำมาหากินเก่งมากเมื่อเทียบกับประชากรหน่วยอื่นในสมัยเดียวกัน คนที่เคยมาอยู่ นายวงศ์ อดีตผู้ใหญ่ ยายฉิม บ้านกรูด บูรณ์ อดีตผู้ใหญ่ดอนสูงบ้านกรูด เกลื่อน(สุจสวัสดิ์)เมียของคนนามสกุล สุขสวัสดิ์ ทั้งสามคนนี้เป็นพี่น้องข้างยายของอาตมา ส่วน ข้างตา มีลูกสาวน้องชายตาจาก อ. ท่ายาง เพชรบุรี หนองไม้รวก 2 คนมาอยู่ด้วยคือ ยี่ และแท้ อาจหาญ(บุนนาค) มาอยู่เพื่อเรียนชีวิตกับตา นอกนั้น จำไม่ได้ ที่นี่มีคนมาอยู่อาศัย และตายายมีคนใช้ด้วยมีเงินเดือนทีเดียว และมีการเอาคนอื่นมาเลี้ยงอีกต่างหากเพราะที่บ้านขาดเด็ก เลี้ยงฟรีให้ด้วยเช่นบุญยิ่ง เอามาเลี้ยงให้ฐานเพื่อนบ้านที่แม่ของนายบุญยิ่งตายท้องกลม แม่ตาย ตาและกับอาตมาจึงไปอาสาพามาเลี้ยงให้จนโตฐานเพื่อนบ้าน เดี๋ยวนี้ทำการค้าขายอยู่ไม่พบกันหลัง 20 ปีผ่านไป
บ้านตามีเกวียน ควาย ตามีความเผือก 1 ตัวเกิดที่บ้าน มีกัง มีหมา แมว หมาชื่ออ้ายหมึก แมวชือทองแดง และตอนอาตมาเป็นเด็กเล็กก็ยู่กับตายายที่นี่ 5 ปี เขาลักจันทร์ข้างบ้านเก่ามีตัวโครัมมาเที่ยว มีเก้ง มี ค่างบ่างชะนีมากมายปัจจุบันมันย้ายเข้าป่าใหญ่ไปหมดแล้ว
ที่นี่บ้านตามีทุกอย่างบ่อนำใช้กันได้สาธารณะด้วย ตาขุดไว้อย่างดีอาตมาตอนเด็ก4 ขวบจำได้ว่าตาใส่กระป๋องหย่อนลงไปเพื่อวิดนำก้นบ่อขึ้นลงขึ้นลงที่บ่อนี้ลึกถึงกว่า 25 เมตร ตามีนา 2 ที่หน้าบ้าน กะบิ้ง ส่วนนานอก 2 กะบิ้ง ชิ้นหนึ่งเป็นของแม่และมรดกแม่ได้ขายเอาเงินไปสร้างเสาโบสถ์วัดดอนตะเคียน(วัดนี้เดิมชื่อวัดหนองเสือตายแม่บอกมา) และนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้รักษาตัวบางเวลาช่วงหนึ่งช่วงไข้น้อย ยายเคยเล่าว่าตาเคยไปเที่ยวสวนแตงบางเบิดของท่าน ม.จ. สิทธิพร ขณะมีชีวิตอยู่ที่ห้วยสัก อำเภอเดียวกัน
ตามีสวนมะพร้าว กล้วยไม้ดอกไม้มากมาก แต่เมื่อตาตายแล้ว ยายกลัวผีหลอก จึงย้ายมาอยู่บ้าแม่ และรื้อบ้านหลังเก่านั้นทิ้งหมด ไม้เก่า มอบให้วัดดอนตะเคีบน ยายเล่าว่ายุคแรกที่ยายมาอยู่ที่นี้กับพ่อและแม่ของยายอาตมา ที่นี่มีเสือลายพาดกลอน มาจากเขาตะนาวศรีพม่า มันมากินควายที่ล่ามโซ่ไว้กับต้นมะพร้าว พอยายมองเห็น ยายวิ่งขึ้นบ้านปิดประตูทันทีเพราะกลัว
มีสำนักทำใจขนาดย่อมติดชานเขาได้รับอนุญาตให้ทำได้จากอดีตเจ้าคณะอำเภอ
และพระผู้ใหญ่ในพื้นที่ยุคนั้นคือ พระครูสมวงษ์ วัดบรรพตาเรืองราม และอาจารย์ลาภวัดละหาน ตาเป็นเถนนุ่งขาวห่มขาว ทำมาหากินธรรมดาหลานเห็นมาอย่างนั้นตั้งแต่จำความได้ ตาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตากินข้าวต้มและเกลือโดยมากในถ้วยกังไสจากมณฑลไฮหลำใบใหญ่มากปากกว้าง แตกสูญหายไปหมดแล้วถ้วยใบนี้ ต่อมาตาได้สร้างบ้านให้แม่หนึ่งหลัง ในที่ดินมรดกของแม่ เดิมที่ดินแม่ ๆซื้อให้ตา จากเงินสินสอดการแต่งงาน ซื้อไว้หลังแต่งงาน ที่เปล่า และคือที่อยู่ในปัจจุบันก่อนแม่ตายนั้นเอง
เลขที่บ้านหลังเก่าคือ 72 จึงถูกย้ายมาที่ดินของแม่ด้านติดถนนทางหลวงชนบทสาย1013 และติดโรงเรียนติดวัดในปัจจุบัน จะไม่เล่าเรื่องตากับยายมาก สิ่งที่แม่ทำให้ผีตาหายใจคล่องขึ้นคือ แม่รู้จักทำหนังสืองานศพให้ตาเมื่อตาตายด้วยวัณโรคอย่างสงบที่บ้านเก่า หนังสือเล่มนั้นชื่อหนังสืออนุสรณ์งานศพคุณเตี๋ยคล้าย เกตุมณีเดชา (นามสกุลนี้ตาตั้งใหม่เจ้าคุณหลวงพ่อสุเมธีวรคุณ พ่อโถ เจ้าคณะจังหวัดประจวบฯ ชมว่านามสกุลนี้เพราะตาเดิมใช่แซ่บาง) และในคำไว้อาลัยเขียนหน้าหนึ่งโดยหลานคนโตของตาคืออาตมา บอกว่ากำลังจะไปศึกษต่อที่ฟิลิปินส์แต่ที่จริงอาตมายังไม่ได้ไป คาดว่าจะไปเพราะตอนนั้นอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นอาตมาบวชเป็นสามเณรอยู่วัดมหาธาตุฯ เคยคิดโครงการจะไปเรียนนอกซึ่งกำลังเป็นแฟ่ชั่นสมัยนั้น วางโครงการไว้กับ รองศาสตราจารย์ ดร. ภิรมย์ จั่นถาวร ธรรมศาสตร์ แต่ดร.ท่านได้ทุนไปเรียนต่อที่นั้นสำเร็จ แต่อาตมาเป็นสามเณรคณะ 1วัดมหาธาตุฯ ไม่ได้ไปคอยความหวังเก้อ จึงไม่ได้มาร่วมงานศพตา
และต่อมาอาตมาตัดสินใจไปอังกฤษ ตอนไปอังกฤษนี้ไม่ได้มางานศพตา เพราะติดรอเครื่องบินcharter flight เที่ยวบินพิเศษคือต้องรอวันเรือบินออก มิใช่ไปตามเวลา คือเขาลงของเส็จเรือจึงออกไปพร้อมผู้โดยสารพ่วง แต่ตีตั๋วนั่งมิใช่ตั๋วยืนเป็นแต่ว่า ต้องรอเขาเรียกตัวไปตามนัดเท่านั้น เพื่อเดินทางไปอังกฤษ
ขอเล่าเรื่องตาสักนิดตารูปร่างใหญ่ทรงโรมัน เป็นคนเชื้อจีนลูกครึ่งไทยสายไฮหลำ (คนจีนบ่าบาเขาเรียกกัน ในพื้นที่ )เกิดเมืองไทย เคยไปอยู่ที่เกาะไฮหลำ แม่บอกว่าตาเดิมตาอยู่เพชรบุรีแล้วย้ายมาตั้งตัวที่อำเภอบางสะพานน้อยตามพ่อแม่มา (ตาเกตุ ยายนิ่ม) ตามีมรดกมาก (ตรงนี้เล่าเพื่อการวิเคราะห์สังคมยุคนั้นมิได้เพื่อประโยชน์อะไรขออภัย)แต่แพ้ความเพราะเรื่องพ่อและแม่ของตามีเมียใหม่หลังพ่อของตาตายลง ตาได้ทำหนังสือพินัยกรรมที่ทำด้วยมือหายไปเลยขึ้นศาลแพ้ ระหว่างลูกจริงกับลูกพ่อเลี้ยงมีพิพาทกัน ตาจึงจนพบรักกับยายและย้ายมาอยู่ที่บ้านข้างเขาบ้านข้างเขาดอนตะเคียนที่ห่างจากที่แม่ตายเพียง500 เมตร ตามีที่ดินพอทำกินยุคเกษตรแผนเก่า จากทรัพย์สินเดิมของพ่อและแม่ของยาย(แม่ของแม่เจ้าภาพหรือทายาท) แล้วตาทำงานเก่ง จึงเพิ่มที่ดินขึ้นมาทำกินเป็นสวนมะพร้าวเกษตรกรรมแผนใหม่ ปลูกมะพร้าวเป็นแถวเป็นแนว จนมีที่ในระดับ 100 ไร่เศษหย่อนหนึ่ง
แม่เล่าและเพื่อนตารุ่นเดียวกันเล่าว่า ตาเคยรับจ้างทำทางเพชรเกษมสายใต้ของไทย ต้องเดินทางวันละเป็น 10 กิโล คดข้าวห่อน้ำพริกไปทำงาน ตาครันอดีตทหารผ่านศึกเล่าให้ฟังว่า เดินทางไปด้วยกัน ในฐานะที่ตามีเชื้อจีนตาแข็งแรงทำงานเก่ง ไม่เสพสิ่งเสพติดให้โทษ อาตมาจำได้ว่าตาไม่กินเหล้า แต่ตาสูบบุหรี่ใบตองแห้ง ตาชอบถอนฟันด้วยเชือกทำด้วยมือตนเอง ฟันล่างโยนขึ้นหลังคา ฟันบนโยนลงในน้ำ แต่ตาเก็บฟันใส่แก้วใสสีฟ้าไว้ทุกซี่ที่ตาถอน ตาสมถะ เที่ยวทั้งเมืองเจ็ดย่านน้ำ (ธุดงค์) เมื่อเป็นนพระซึ่งเคยเป็น 2 ครั้งฉายา พระคล้าย สุวณฺณคุตฺโต ตาชอบเดินธุดงค์ไปทั่ว และชอบนิมนต์พระธุดงค์ต่างถิ่นมาพักที่ศาลาธรรมที่บ้านเก่า ระยะหลังบวชครั้งสุดท้าย ไปช่วยสร้างวัด(เจดีย์)ที่ทางภาคเหนือ จนไม่สบายจึงเดินทางกลับมารักษาตัวที่บ้าน ตาทำกุฎีไว้ 5 หลังมุงตับจากที่บ้านข้างเขา ไม่เห็นตั้งชื่อ ศพตาชมพ่อหลวงชมอดีตสมภารวัดชะม่วงเคยวางไว้ที่ศาลาธรรมที่ตาสร้างขึ้นนี้นี่รอเผา ตาประดับหินใหญ่ด้วยแรงและมือตนเอง ที่ทุบมาจากเขาไว้อย่างมีระเบียบ ยังเหลือมาทุกวันนี้ แต่กระท่อมร้างหมดแล้ว กระท่อมหรือกุฎีนี้สร้างไว้เพื่อรับแขกพระ มีพระธุดงค์มาพักเป็นประจำ ระยะหลังยายเคยพาแม่ชีวัญเพ็ญ แม่ ดร. สุนทร พลามินทร์มาทำกระท่อมทำสมาธิครั้งหนึ่ง ทรัพย์สินชิ้นนี้ไม่ได้เป็นมรดกตกทอดมาสู่อาตมาตามพินัยกรรม
ตากับยายเป็นคนพระ ยายมีพี่ชายที่สำคัญมีคนนับหน้าถือตารูปหนึ่งคือปู่ช่วงวัดหินกอง อดีตพระอธิการช่วงเจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำม้าร้อง และคู่สวดองค์สำคัญในอำเภอบางสะพาน ท่านเป็นพระเถระรูปหนึ่งในอำเภอขณะที่ท่านเป็นศิษย์ปู่ท้วมพระที่นับถือของแม่ดัด ประจวบเหมาะ เจ้าอาวาสวัดเขาโบสถ์(พระอารามหลวงปัจจุบัน) มีที่น่านับถือต่อมาของตาพี่ชายของยายคือ อายุท่านยืนถึง 109 ปี
มีคนจะมาทำข่าวแต่ตาคนนี้ไม่ชอบ ปู่ช่วง ชอบอยู่เงียบ ๆ และได้ปลีกมาอยู่วัดหินกองซึ่งเป็นวัดเงียบขนาดเล็กที่มี ป้ายรถไฟจอดให้ลงได้ บ้านดอนตะเคียนเดิมที่ แม่เล่าให้ฟังว่า เดืมชื่อว่า บ้านหนองเสือตาย อาตมาสงสัยต่อคนเก่าเล่าว่า เสือคนหรือเสือโคร่ง อาตมาถาม คำตอบมีว่า เสือที่มาตายที่หนองบ้านนี้จึงชื่อว่าบ้านหนองเสือตาย มิใช่คนที่เป็นโจรถูกยิงแล้วมานอนตายที่หนอง อย่างที่อาตมาเข้าใจ วัดหนองเสือตายนั้นคือที่บริเวณที่หมู่บ้านนี้มีชื่อ เดิมทีอาตมาสันนิษฐานว่า เสือที่ถูกยิงเพราะช่วงที่ ล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 เมตตาสร้างทางรถไฟสายใต้ และมีโจรไปปล้นคนสร้างทางรถจึงถูกตำรวจยิง และหนีมานอนตายที่หนองน้ำดังกล่าว ข้อสันนิษฐานนี้จึงตกไป
ดอนตะเคียน นั้นชื่อเดิม บ้านหนองเสือตาย ต่อมาเปลี่ยนเป็น ดอนตะเคียน เพราะมีตะเคียนไม้ผีดุ มากที่นี้ และต่อมาเป็นบ้านหนองคล้าเพราะมีคล้ามาก เมื่อสมัยใหม่ยุคนายอำเภอธวัช ธนจินดา
สรุป หมู่บ้านนี้เดิมชื่อบ้านหนองเสือตาย เปลี่ยนมาเป็นหมู่บ้านดอนตะเคียน และเปลี่ยนมาเป็นบ้านหนองคล้าตามลำดับ นี่คือความเป็นมาของหมู่บ้านที่แม่เกิดอยู่อาศัยที่ทำกินมาตอลดชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้





ประวัติ
นายซิวเม้า แซ่แต้(นายซิวกิ้ว แซ่แต้ หรือนายย่งง้เนแซ่แต้) ชื่อหนึ่งตามหนังสือเดินทาง ชื่อหนึ่งชื่อยี่ห้อร้าน ชื่อหนึ่งเพื่อนตั้ง และชื่อที่เรียกที่พุนพินพ่อชื่อว่าเจ็กแต้ พ่อเป็นบุตรนายแต้ชากี่และนางชาลิ้มทะเบียนบัตรประชาชนไทยเลขที่ 3770500048442 ตายเมื่อ24 ธ.ค. พ.ศ. 2451 ที่บ้นเลขที่ 72 ม9 ต บางสะพาน อ. บางสะพานน้อย จ ประจวบคีรีขันธ์ เข้าประเทศไทยเมื่อ 12 พศจิกายน 2485 สิ้นชีวิต ด้วยโรคชราภาพ นับอายุได้ 85 ปี อาชีพค้าขาย
คุณพ่อพูดภาษาจีน อาตมาไม่เป็นภาษาจีน แต่คุณพ่อเล่าเท่าที่จำได้มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คุณพ่อมาจากเมืองจีนทางเรือโดยการชวนของ อาทั้งสองที่อยู่ในเมืองไทยแล้ว(พ่อของพ่อเป็นพี่ชายคนโต อาของพ่อมี 3คน คนหนึ่งตายสมัยสงครามญี่ปุ่น อีก 2 คนอยู่เมืองไทยคนที่บ้านตลาดพลูอาที่ 2 อาที่3 อยู่ บุรีรัมย์)คุณพ่อเล่าว่าก่อนมาเมืองไทยพ่อเคยมีคู่หมั้นแล้ว แต่ต้องออกจากจีนจึงไม่ได้แต่งงานกันจนมาพบคนรักใหม่คือแม่ อาตมาเคยไปเยี่ยมปู่ที่เมืองจีน พ.ศ.2512 คู่หมั้นเก่าของพ่อมาเยี่ยมอาตมาถึงบ้านปู่ทีเดียว) พ่อขณะอยู่เมืองไทยแล้วเคยได้รับอนุญาตให้ถือหนังสือเดืนทางไทยไปประเทศจีนจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะพ่ออยู่เมืองไทยไม่เคยทำความผิดกฎหมายไทย
คุณพ่อเป็นพี่ชายคนโตในจำนวน น้อง 2 คน เป็นชาย 1 หญิง 1
ชายชื้อ ซิวหง แซ่แต้ หญิงไม่ทราบชื่อและได้สูญหายไปในเมืองไทยและไม่พบกันอีกเลยนับจากการออกมาจากเมืองจีน อนึ่งคุณพ่อเป็นชาวจีนอพยพมาในยุคการเปลี่ยนวัฒนธรรมของประเทศจีน
พ่อมาเมืองไทยมาอยู่ที่บ้านตลาดพลู บางยี่เรือ ธนบุรี เคารพรัก พระเจ้าตากสิน เพราะมีนามสกุลจีนเดียวกัน เมื่อมาเมืองไทยแล้วได้ช่วยอาขายผักที่ตลาดพลู และต่อมาย้ายไปหลายจังหวัด เช่น กับอาที่บุรีรัมย์(พ่อคุณสุวิมล วงศ์ทองศรี)และย้ายไปหลายจังหวัด สงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์จนพบรักกับแม่และมีสักขีพยานรัก 1 คนคืออาตมา เมื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้วได้เปิดร้านค้าขายของที่ตลาดอำเภอบางสะพานน้อย รุ่น(หมอ)นายสุ่น ตันประเสริฐ เท่าที่ทราบคุณพ่อเขียนหนังสือจีนสวย คิดเลขเก่ง ได้สร้างบ้านให้พ่อแม่อย่างดี 1 หลังไว้ที่ประเทศจีน คุณพ่อตายอย่างสงบ มีโรคประจำตัวคือวัณโรคแต่รักษาหาย คุณพ่อกินเจที่เขาลูกช้างได้รับตำแหน่งอาจารย์ในระดับ “เซียน”
ประวัติการศึกษาพ่อ
จบชั้น มัธยม 3 ประเทศจีน

หน้าที่งานสาธารณกุศล
ช่วยงานเขียนตัวหนังสือจีนและบัญชีที่ โรงเจ เขาลูกช้าง
โรงเจ พุนพิน สุราษฎร์ธานี
โรงเจ บางสะพานน้อย ประจวบฯ และที่กรุงเทพฯไม่ทราบชื่อ
บริจาคทรัพย์ให้ วัดดอนตะเคียน เช่นถวายสมภารกล่ำ ต่อหน้าอาตมาอุทิศให้ “ฮกเมี่ยสี ”อาตมาไม่ทราบว่าฮกเมี่ยสีคืออะไร
นำทอดผ้าป่ากฐินร่วมกับแม่ทั้งที่วัดเขาถ้าม้าร้องและวัดดอนตะเคียน
อุปถัมภ์หลวงพ่อวัดพุทพินใต้ถวายบุหรี่และเงินบ้างทุกครั้งที่พบกันประมาณเดือนละครั้ง(ที่รักษาอาตมาแขนหักบาที่ไหล่หลุดพ่อจึงได้รู้จักท่าน)
และทำบุญอีกหลายสถานที่ เขียนบันทึกไว้เป็นภาษาจีน อาตมาอ่านไม่ออก และพ่อเป็นสมาชิกสมาคมเผาเล้งแห่งประเทศไทย มีหนังสือรับรอง เมื่อเป็น”เซียน” ได้ระดับอาจารย์ที่เรียกว่า”ซิงแซ” จึงทำหน้าที่คนผูกตราสัง ชี้ที่ฝังศพ “ฮวงจุ๊ย” นำศพลงหลุม ทำหน้เที่นี้ในพื้นที่ ที่ฝังศพพ่อตาที่ดอนตะเคียนและอุปกรณ์ป้ายหลุมพ่อทำให้ ศพที่ทำให้ที่รู้จักกันดีคือปู่ของนายทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์นายกอบจ. ประจวบคีรีขันธ์2553 คุณพ่อทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้า ไม่กินเนื้อวัว ไม่กินเหล้า ไปร่วมงานศพทุกงานในพื้นที่ขับรถมอร์เตอร์ไซด์เก่ง ขับจักรยานเก่ง ตีปิงปองเก่ง ว่ายน้ำเป็น ร่างกายปกติแข็งแรง เงียบขรึม พูดไทยไม่เป็น ซื้อป้ายหินสุสานให้พ่อตา และแม่ยาย มีเพื่อนมาก เพื่อนที่เมืองจีนเคยมาเยี่ยมที่บ้านในเมืองไทย
ได้รับความไว้วางจาอาที่ 2 จากกรุงเทพฯ อาฝากลูกชาย 2 คนไปอยู่ด้วยคือนายทนงศักดิ์ และนายณรงค์ เคยไปอยู่ร่วมที่พุนพิน คุณพ่อไม่ได้เป็นทหาร เพราะลี้ภัยการเมืองจากจีนเพราะอยู่ในยุคจีนเปลี่ยนวัฒนธรม

จดหมายฉบับสุดท้ายถึงลูกก่อนแม่ตาย
จากหนองคล้า
26 สค 37
ถึงลูกอ๋า(ชื่อเล่นที่พ่อตั้งให้อาตมา) ทราบ
แม่ไม่มีเวลาเขียนจดหมาย ถ้าลูกไม่ส่งซองมาแม่จะไม่ได้เขียนตามจดหมายทั้งหมด 19 ฉบับ แล้วทั้งวันแม่เรื่องกรรมไม่ต้องพันระนาให้แม่ฟัง เท่าแต่พูดถามแต่ความเจ็บไข้ และแม่คุณว่า ครอบครัวแม่คุณว่าหลาน ๆ สบายวันดีหรืออย่างไร และของอะไรก็ไม่ต้องส่งมา ส่วนเงินลูกลูกก็เก็บไว้กับตัวลูกก็แล้วกัน เรียนธัม แม่ก็ขอโมทนากับลูกด้วย แม่คุณก็เลี้ยงลูกอ๋ามาเหมือนกัน เขาอ่านกันแล้วแม่คุณจะให้พรบ้างว่ายังไม่ลืมบุญคุณที่เลี้ยงมันมา
เวลานี้ แมวยังแต่ของลูกเท่านั้น ของแม่คงตายไป เพราะมันไปกินลูกไก่เขา เป็นแน่ เขาแก้มันมาก็เปื่อยรอบคอแม่ก็รักษาแล้วหายไป คงตาย ของลูกยังคงอยู่ ส่วนแม่คุณ(ยาย)สบายดี แบบคนแก่ ตอนนี้เตี่ยเขาเป็นหวัดไอลูกไม่ต้องห่วง ขอให้ลูกได้งานทำอยู่กับแม่ก็ลำบาก ควรอยู่กรุงเทพฯไปก่อน ส่วนมะพร้าวมันถูก แม่จึงไปเก็บพริกบ้าง เป็นค่ายารักษาตัว นั่นจะไม่พอกินและลูกอย่าอย่าไปรบกวนบ้านอาเจ็กเขาหน้าลูก เกรงใจเขาบ้าง เพราะเล้ายี่ซิ้ม(เมียอาพ่อ)ไม่มีแล้ว ขอให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข กว่าอยู่ที่บ้าน ส่วนลูกอยู่ที่บ้านทำอะไรก็ไม่ได้ อะไรขึ้นมามีแต่ของเสียประโยชน์เหนื่อยเปล่า ๆ นาน ๆไป ก็ตอบ จ ม มาบ้างก็แล้วกันเพราะคิดถึง เดือนละครั้งก็พอขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยจงคุ้มครองลูกจงปลอดภัยทุกประการนึกอะไรก็ให้สมความปรารถนาก็แล้วกัน
จากแม่







คำไว้อาลัยของบุตร
โดย
พระมหามาติณ ถีนิติ
สมาชิกสมาคมศิษย์วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ รุ่น 2509
หนังสือไว้อาลัยทั้งหมดตามรายการต่อไปนี้ ได้รวบรวมมาจากคนผู้สนิทกับกับบิดามารดา และญาติสนิทมิตรสหาย พระอาจารย์ และเพื่อนผู้คุ้นเคยกับบุตรของผู้วายชมน์ อาตมาขอขอบพระคุณทุกท่าน และอนุโมทนาในส่วนบุญที่กระทำ กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดีทั้งของผู้วายชมน์และของบุตรผู้วายชมน์ ขออโหสิกรรมทุกถ้วนหน้า และขออภัยที่กราบเรียน เรียนเชิญ ทุกท่านทั้งในงานฌาปนกิจศพทั้งของคุณพ่ะอและคุณแม่อาจไม่ทั่วถึง เพราะกาลเวลาเป็นตัวกำหนด ก็ขอกราบประทานอภัย และขออภัยมาณ ที่นี้ อนึ่งคุณแม่สั่งไว้ว่างดรับซองในงานนี้
ความดีถ้าหากมี เพราะการทำหนังสือไว้อาลัยนี้ ขออุทิศให้พ่อกับแม่เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ส่วนข้อบกพร่องอาตมาขอรับผิดชอบ
อันหนังสืออนุสรณ์ไว้อาลัยผู้ตายนี้ ถือเป็นหนังสือแสดงจารีตประเพณีอันดีงามของสังคมไทย ในฐานะที่เป็นนักศึกษาวิชาศาสนาเปรียบเทียบมองเห็นว่า การมีหนังสือรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อทำให้วิญญาณของผู้ตายได้รับทราบความอาลัยอาวรณ์ ในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว โดยเฉพาะของผู้มีพระคุณเยี่ยงมารดาบิดา ที่ถือว่าเป็นกตัญญูตเวทิตาธรรมอันดีงาม ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ที่น่าส่งเสริมต่อบุพพการีชน ในโอกาสนี้อาตมาภาพได้นำหนังสือธรรมะ เรื่องพระรัตนตรัยและเรื่องอื่นมาประกอบในหนังสือไว้อาลัยฉบับนี้ด้วย ขออายุ วรรณะ สุขะ พละ จงมีแด่ทุกท่านเทอญ
พระมหามาติณ ถีนิติ ศศ.บ (ศาสนศึกษา)
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ
มหาวิทยาลัยมหิดล รหัส 4937659












คำไว้อาลัย
โดย
พระวิมลภาวนานุสิฐ(วิ) (อ.ประสาท สุบัณฑิโต)
16 ตค 53
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2553 ได้รับหนังสือจากท่านพระมหามาติณ ถีนิติ (บุตรชายของแม่หงษ์และเตี๋ยซิ้วเม้า แซ่แต้)(เกตุมณีเดชา) ว่าแม่หงษ์หรืออดีตแม่ชีประทุมทิพย์ เกตุมณีเดชา (แก้วขำ-แซ่บาง)ซึ่งเคยเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของข้าพเจ้ารักและเมตตามาก เธอมีศรัทธาเข้ามาบวชเป็นแม่ชีและศึกษาพระอภิธรรม เธอสุภาพอ่อนโยน เป็นที่รักของเพื่อนแม่ชีด้วยกันในสำนักเรียนวัดสร้อยทองมาก และให้ความเคารพอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์มากผู้หนึ่ง
ต่อมาข้าพเจ้าได้ย้ายจากวัดสร้อยทอง มาเปิดสอนพระอภิธรรมอยู่ต่างจังหวัด และได้ข่าวว่าเธอได้สึกจากแม่ชีไป จากนั้นก็ไม่เคยได้ข่าวอีกเลย จนมาได้รับข่าวอีกครั้ง จากพระลูกชายของเธอว่าเธอได้ถึงแก่กรรมลง ในระยะใกล้ ๆ กัน กับสามีของเธอ ข้าพเจ้าตลึงใจหาย และสังเวช ใจมากที่สุด ว่าเธอได้จากไปอย่างไม่มีโอกาสจะได้มาพบกันอีก อนิจจา! นี้แหละหนอสัจจะธรรมตามความเป็นจริงของสังขารสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้
จึงขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอบุญกุศลอันใดที่อาจารย์เคยได้สั่งสมมา ซึ่งเป็นในส่วนดีที่มีอยู่แล้ว ขอจงได้ถึงแก่ศิษย์ผู้นี้ พร้อมด้วยสามีของเธอ จงไปสู่สุคติอันสมควรแก่กรรมเถิด

หนังสือไว้อาลัย
โดย
นายชัยภัฎ จันทร์วิไล
8 ตุลาคม 2553
กรรมการผู้จัดการบริษัทจอมสุบรรณจำกัด
ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
อนุกรรมการงานบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดบูรณาการ
ข้าพเจ้านายชัยภัฎ จันทร์วิไล ผู้ซึ่งได้รู้จักกับพระมหามาติณ ถีนิติ ปกติข้าพเจ้าเรียกว่าหลวงพ่อบ้าง อาจารย์บ้าง ตามแต่โอกาสและอารมณ์มากว่า 10 ปีแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่หลวงพ่อมาหาในวันหนึ่ง ในวันนั้นหลวงพ่อยังเป็นฆราวาส ได้ออกปากให้ช่วยเหลือ เรื่องงานบวช ก็ได้รับปากไปและภายใน 2-3 วันก็ไปจัดการเรื่องการบวชของหลวงพ่อที่วัดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี วันนั้น ในพิธีบวชมีฆราวาสที่รู้จัก แค่ 2 คน คนหนึ่งคือข้าพเจ้า อีกคนหนึ่งคือเพื่อนข้าพเจ้า พ.ต.ท. วุฒิ บุลกุนรี ก็เป็นเรื่องแปลกดี และหลังจากนั้น หลวงพ่อได้บวช เป็นพระเรียบร้อยแล้วก็ได้ อุปฐากค้ำจุนกันเรื่อยมา ข้าพเจ้าก็ถวายเงินเดือน นิตยภัตร ปัจจัย ตามโอกาสอันควร ด้วยความเป็นพุทธมามกะนั้น บัดนี้หลวงพ่อพระมหามาตินทร์ ก็ได้เล่าเรียนงหนังสือจนจบปริญญาโท ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง ต่อข้าพเจ้า สังคม ประเทศ
วันนี้หลวงพ่อให้เขียนคำไว้อาลัย แด่บุพการีของหลวงพ่อ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะเขียนถึงท่านอย่างไรดีด้วยไม่รู้จัก คงเขียนได้เพียงว่าข้าพเจ้าขออุทิศกุศลบุญทั้งหลายที่ได้ทำไว้ทั้งในอดีตชาติปัจจุบันชาติ และจะพึงทำต่อไป แด่ดวงวิญญาณท่านทั้งสองจงได้ความสุข และสถิตย์อยู่ในสวรรค์พิมานตลอดไปด้วยความเคารพ
ฉบับแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสโดยกูเกิล
Memorial-livre.
Je suis M. Pat ® Wilai lundi, qui a été présenté à la Grande Loi, habituellement le Toi Ein J'ai appelé le père quelque temps avec le peu d'enseignants et d'émotions plus de 10 ans.Je suis un père qui était venu en un jour. Le père est aussi un laïque Pour parler à un travail de coordination de soutien dans les 2-3 jours, et a promis de faire face avec le moine Luang Por province de Phetchaburi sur la cérémonie d'ordination avec seulement deux personnes d'un profane connu, c'est moi. Un autre est mon ami le colonel Bull Kun Ri degré, il est surprenant bonne. Et au-delà. Le père a été ordonné. Son temps est fini. Tha un dispositif qui nous soutienne toujours. Je suis également offrir l'occasion de facteurs associés Nitipee salaire raisonnable. Avec qui en tant que bouddhiste. Maintenant, le père royale durable. Frais de scolarité remarquerez peut-être que d'une maîtrise. Il est plus merveilleux pour moi dans la société.Aujourd'hui père d'écrire les pensées et les prières. Gloire de la coulée d'un père parent bande. Qui est décédé. Je ne sais pas quoi écrire pour vous ne savez pas comment bien. Écrira juste que je voudrais dédier le mérite au mérite qui ont fait aussi bien dans le courant Odeechaei national. Et il devrait continuer. Gloire âme, vous sont heureux. Et le paradis statique dans le ciel pour toujours avec respect.Directeur général du Suban Chom Limited.Assistant blâmer réseau comme un travail en tant que membres du parlement. Administration Sous-province et la province intégrée.
Google




แม่
โดย
พระครูธรรมธรสุมนต์ นนฺทิโก
แม่เป็นผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แก่ลูกทั้งชีวิตร่างกายจิตใจ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นจุดเล็กภาษาธรรมเรียกว่า “กลละ” เจริญเติบโตไปตามลำดับ อยู่ในท้องแม่จนคลอดตามกำหนด ๙ เดือน ความรักของแม่ตั้งแต่ปฏิสนธิจนลูกเติบใหญ่ มิเคยจืดจาง จนลูกมีหน้าที่การงานเจริญด้วย ลาภ ยศ สรรญเสริญ หลายคนลืมแม่ ไม่รักแม่ เนรคุณแม่
ผู้หญิงทุกคนที่เป็นเพศเดียวกับแม่เรา ถ้าเขารู้หน้าที่ทำหน้าที่แม่ที่ดี โลกก็ร่มเย็นเป็นสุข ผู้ชายจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้เป็นเพศเดียวกับแม่เรา ควรให้ความรักความเมตตา คนรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เราก็คิดเหมือนแม่ ผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับแม่เรา ก็รักนับถือเป็นป้าหรือเป็นน้า ถ้าเด็กกว่าเราก็ต้องคิดว่าเป็นพี่สาวหรือเป็นน้องสาว ลูกสาว หลานสาว ผู้ชายที่คิดชั่วจึงพูดชั่ว ทำชั่วต่อผู้หญิงมีข่าวอยู่เสมอที่ผู้ชายข่มแหงรังแกผู้หญิงอยู่แทบทุกวัน ผู้ชายพวกนี้ไม่รู้จักพระคุณของแม่ เป็นคนอกตัญญู
ในสมัยพุทธการผู้ชายที่ข่มขืนผู้หญิงที่มีคุณธรรมสูง บาปหนักจนแผ่นดินรองรับไว้ไม่ได้ จนจมหายไปในแผ่นดินสู่นรกอเวจีทันที่ เมื่อเรามีวันแม่ ๑๒ สิงหาคม เรามีแม่ของบ้าน ของตำบล อำเภอ จังหวัด และสูงสุดคือแม่ของชาติ เราจึงต้องรักแม่บูชาแม่มิใช่ปีละครั้งแต่ต้องตอบแทนพระคุณของแม่ทุกวัน แม้แม่ผู้ให้ชีวิตเรา ท่านจากเราไปแล้ว แต่พระคุณของท่านยังคงอยู่ต้องกตัญญูบูชาตลอดไป
















คำไว้อาลัย
โดย
พระครูวิกรมสมาธิคุณ
(พระครูวิกรมสมาธิคุณ)
เจ้าอวสวัดพระธาตุุจอมกิตติ
อำเภอเชียงแสน จังหัดเชียงราย
แด่นางหงษ์(อดีตแม่ชีประทุมทิพย์) เกตุมณีเดชา(แก้วขำ-แซ่บาง)
และนายซิวเม้า แซ่แต้ ด้วยฯ ได้รับจดหมายจากพระมหามาติณ ถีนิติ (สหัส-บุญนาค เกตุมณีเดชา) ให้เขียนคำไว้อาลัยในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนางหงษ์ เกตุมณีเดชา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 และนายซิวเม้า แซ่แต้ เมื่อวันที่ 2 มกาคม 2553 ซึ่งเป็นโยมพ่อและโยมแม่ของพระมหามาติณ นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัว ที่ต้องมาสูญเสียบุคคลสำคัญที่เปรียบเสมือนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของครอบครัว การจากไปของบุคคลทั้งสอง ได้นำความเศร้าโศกเสียใจและความรักอาลัยแก่บุคคลในครอบครัวญาติมิตรเป็นอย่างยิ่ง
นางหงษ์ เกตุมณีเดชา (แก้วขำ-แซ่บาง) และนายซิวเม้า แซ่แต้ ครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี และได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ มีคุณธรรมจริยธรรม ได้นำหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มีความขยันหมั่นเพียร มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นผู้ที่มีใจใฝ่ดีมีน้ำใจงาม
การเกิด แก่เจ็บและตาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในมนุษย์ทุกคนที่จะหลีกเลี่ยงไปไม่ได้ต้องเป็นไปตาหลักสัจธรรมของชีวิต ที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามสภาวธรรม ถ้าผู้ใดมารู้ทันแห่งสังขารว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ผู้นั้นพิจารณาแล้วรู้ตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย จึงพบหนทางแห่งควาบริสุทธิ์
ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และเนกขัมมบารมีทั้งสองได้บำเพ็ญมาตลอดชีวิตจงได้เป็นพลวปัจจัย หนุนนำให้ดวงวิญญาณ อันบริสุทธิ์ไปสู่สุคติ สัมปรายภพเทอญ









สัจจะแห่งชีวิต
โดย
พระครูฐานปนกิจวิธาน
เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยน้ำค้าง ต . ม่สาว อ .แม่อาย จ. เชียใหม่
คุณแม่ประทุมทิพย์ ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรม พบกันเมื่อสมัยพระอาจารย์มาปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพฯ เมื่อท่านจากไปแล้วบรรดาลูก ๆ มีความอาลัยถึง จึงขอให้ปรารภธรรม เพื่อบูชาพระคุณท่านที่มีต่อลูกและแก่พระพุทธศาสนา
นี่เวลาก็ผ่านมา 50 กว่าปีแล้ว เหมือนเพิ่งผ่านๆไปสักวันหรือสองวัน เหตุที่ท่านสมัยบวชชีที่กรุงเทพฯ ท่านมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ ต่อพระเณร เพื่อปฏิบัติธรรมอย่าดี แต่เป็นวิสัยของปุถุชนคนอย่างเรา ๆ เมื่อได้ศึกษาธรรม เข้าปฏิบัติธรรมเข้าใจพอสมควรแล้ว ก็อดคิดถึงถิ่นกำเนิด อันเป็นแดนเกิดแห่งปิตุภูมิ มาตุภูมิได้ ก็จำใจจากเพื่อนปฏิบัติธรรมและท่านครูอาจารย์ ซึ่งเป็นเช่นนี้เหมือนกันทุก ๆ องค์ ที่สุดก็ไม่มีโอกาสจะได้พบปะกันอีกเลย
แต่เมื่อลูกๆ ผูู้เป็นสายโลหิตสายธรรม จึงมารื้อฟืนความหลังของคุณแม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าคุณธรรมแห่ความเป็นแม่เป็นลูกนั้น มีจริงและให้ลูก ๆ ได้มีแสงสว่างเป็นสัจจะแห่ชีวิต เพราะแม่เป็นแม่ที่ดีงาม เข้ากันได้กับบุคคลทั่ว ๆ ไป คือธรรมที่ว่า วิสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยกันเป็นญาติอันดียิ่ง คือเป็นญาติทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นพระอรหันต์ของลูก ดังคำพูดที่ว่า พรหมลิขิต ให้เราเกิดมาตรงกับอีกมิติหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าตรัส ไว้ คนเราเกิดมาเพราะกรรมลิขิต ที่มาอาศัยพรหมธรรมของคุณพ่อแม่ได้เกิดมาที่เรียกชื่อว่า พรหมวิหารธรรม ที่ท่านมีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา สี่อย่างครบถ้วน
เพราะเหตุผลนี้เอง ลูก ๆ จึงควรระลึกถึง ควรกราบไหว้ บูชาเป็นอย่างยิ่งจะเป็นมงคลอันประเสริฐ ก็ใครเสียอีกเล่า ผู้ให้ลูก ๆ ได้เกิดมาลืมตาดูโลกอันสวยงามใบนี้ และให้ทุกอย่างที่ให้มนุษย์จะพึงมี เหมือเนรมิตได้เอง ไม่ผิดกับเทพประทานไว้ ถ้าเราลืมพระคุณของท่าน ก็เท่ากับปฏิเสธตัวเราเอง คือถ้าเราไม่ได้ท่าน ก็มีไม่ได้ เมื่อว่าโดยพระคุณมีมากดังนี้แล้ว จึงยากแก่การจะทดแทนคุณให้หมดสิ้นได้ อย่างน้อยเราต้องทำหน้าที่ของลูกให้ท่านสบายใจ ใจได้จะดีมาก เช่น ช่วยการงานท่าน เคยเลี้ยงดูท่าน ยามท่านป่วยไข้รักษาท่านให้หาย แม้้สมบัติที่ท่านให้รักษาไว้ให้ดี ในที่สุดท่านจะสังขารแล้วก็ทำบุญอุทิศให้ท่าน จะเห็นได้ว่า คนแต่ก่อนนี้นิมนต์พระมาสวดให้และต้องสวดพระอภิธรรมจึงจะทดแทนพระคุณได้ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงเสด็จไปเทศนาพระอภิธรรม ให้พุทธมารดาฟังถึงบนสวรรค์ที่ไปเสวยในภพใหม่นั้น จึงปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้
ถ้าสมัยนี้คนเรารู้จักบุญคุณและตอบแทนคุณถูกต้อง ครอบครัวก็จะอยู่กันสงบสุข ทุกครอบครัวต่างก็ปฏิบัติได้ สังคมก็จะสงบร่มเย็น ทุกบ้านก็จะมีความสุข ประเทศชาติก็จะร่มเย็นเป็นสุขทั่วกัน
จึงขอขอบคุณ อนุโมทนาสาธุ แก่ ลูกๆ ที่ปรารถนา คุณแม่ประทุมมทิพย์ แล้วแจกจ่ายธรรมนี้




คำไว้อาลัย
โดย
นายวิญญู แจ่มขำ
อดีตเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ
ไปไม่กลับ There's no return.
หลับไม่ตื่น There's no waking up.
ฟื้นไม่มี There's no recovery.
หนีไม่พ้น There's no escaping it.
สมัยก่อน เมื่อไปร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ข้าพเจ้ามักไปนั่ง
อยู่แถวหลัง ๆ เสมอ แต่ปัจจุบัน ได้รับการปรับที่นั่งให้มาอยู่แถวหน้า ๆ
แม้ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ ฌาปนกิจศพ ประชุมเพลิง หรือเผาศพ
ก็มักได้นั่งแถวหน้า ๆ ใกล้เมรุมากขึ้น
ถ้อยคำมรณานุสติภาษาไทยข้างต้น ก็ได้มาจากการได้เห็น คณะสงฆ์ ๔ รูป จับและจรดตาลปัตรสมัยใหม่ที่มีข้อความดังกล่าวอยู่เป็นนิจ (มิได้ทำจากใบลานตามชื่ออย่างสมัยก่อน)ลงตรงหน้าของท่าน ก่อนเริ่มสวดพระอภิธรรมภายหลังพระสงฆผู้นำสวดกล่าวสรุปคำสมาทานศีล ๕ และคำแสดงอานิสงส์จบแล้ว ทำให้นึกถึงบทพิจารณาสังขาร บทปัญจอภิณหปัจจเวกขณะ และบทเจริญเมตตาพรหมวิหารไปพร้อมกัน จึงได้รู้ว่าสังขาร ได้แก่ร่างกาย จิตใจ รูปธรรมและนามธรรมทั้งปวงไม่จีรังยั่งยืน ล้วนเป็นทุกข์เนื่องมาจากการเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย และความตาย จึงไม่ควรยึดว่า สิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขารเป็นตัวตน ซึ่งความจริงเหล่านี้ ถึงแม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์หรือไม่ ก็ตาม มันก็มีอยู่แล้ว แต่ก็เพราะพระองค์ได้บังเกิด เราจึงได้รู้เนื้อหา สาเหตุ และหนทางแก้ไขอย่างถ่องแท้ เพื่อใช้วางแนวดำรงชีวิตจวบจนวาระสุดท้าย
ข้าพเจ้าอาลัยบิดาและมารดาของข้าพเจ้าซึ่งล่วงลับมาก่อน มากเช่นไร ข้าพเจ้าขอร่วมอาลัยแม่ชีประทุมทิพย์ เกตุมณีเดชา(แก้วขำ-แซ่บาง) และนาย ซิวเม้า แซ่แต้ โยมมารดาและโยมบิดาของพระมหามาติณ ถีนิติ (สหัส-บุญนาค เกตุมณีเดชา) ผู้วายชนม์ทั้ง ๒ ท่าน อย่างสุดซึ้งด้วยความเคารพ
มา ณ โอกาสนี้







คำไว้อาลัย
โดย
นายวรพจน์ วสุวัต
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เนื่องจากการที่พระอาจารย์มาติณ ถีนิติได้จดหมายพร้อมกับโทรศัพท์ย้ำให้ผมช่วยเขียนคำไว้อาลัยให้กับบิดา-มารดาของท่านซึ่งได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ในหนังสืออนุสรณ์งานศพของพวกท่านที่จะจัดพิมพ์ต่อไป
ด้วยข้อเขียนนี้ ผมขอส่งคำไว้อาลัยแด่ นางหงส์ (อดีตแม่ชีประทุมทิพย์) เกตุมณีเดชา(แก้วขำ-แซ่บาง) และนายซิวเม้า แซ่แต้มารดาและบิดาของท่านพระอาจารย์มาติณตามลำดับ ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองท่านขอให้วิญญาณของท่านทั้งสองจงไปสู่สุขคติในสัมปรายภพเทอญ
ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง






คำไว้อาลัย
โดย
พระราชสิทธิมุนี(บุญชิต ปธ 9)
ผู้ช่วยเจ้าอาว่าสวัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ
พระมหามาติณ ได้มาปรารภขอคำไว้อาลัยลงในหนังสือรำลึกในการจากไปของโยมบิดามารดา ขณะพบกันที่การอบรมวิปัสสนาที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2553
พระมหามาติณ ถีนิติ เป็นศิษย์มหาธาตุ รุ่น 09 ได้รับแรงบันดาลใจให้
บรรพชาจากโยมมารดา โดยเข้าร่วมพิธีบรรพชา เมื่อ 2508 ที่วัดมหาธาตุ มีพระเดชพระคุณพระธรรรัตนากร(สวัสดิ์ ปธ 5) อธิดีสงฆ์ในขณะนั้น โดยมี พ.ท. ขุนสุขสิริชัย เป็นโยมอุปถัมภ์ และต่อมาอุปสมบทมี คณะคุณหญิงศีพิชัยสงคราม และคณะ คุณสุวิมล วงศ์ทองศรี ได้อุปสมบทให้ที่วัดมหาธาตุฯ ในสมัยต่อมายุคสมัยเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ ปธ 8) และพระเทพสิทธิมุนี(โชดก ปธ 9) พระราชรัตนเมธี (ชนินทร์ ปธ 5) ได้ทำการอุปสมบทให้ตามลำดับ
โยมมารดา ได้ตั้งใจให้ลูกได้บวชเรียนและพระมหามาติณ ได้พยายามบวชเรียน ได้ มหาเปรียญ และจูฬอภิธรรมเอก สมความปรารถนา บัดนี้โดยมบิดาและมารดาได้เสียชีวิตลง ได้ภูมิใจและอนุโมทนาในสิ่งที่ตั้งใจไว้แล้นั้นสำเร็จความปรารถนาของท่านทุกประการ และท้ายสุดได้เสียชีวิตลง
สำหรับโยมมารดาของพระหมามาติณนั้น ขณะมีชีวิตอยู่ได้ ช่วยทำธุรกิจแด่พระพุทธศาสนา โดยบรรพชาบุตรชาย และส่วนตนเองได้บวชชี ที่วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของคณะ พ.ท. พระประชาฤทธิฤาชัย และต่อมาได้ช่วยดูแลปู่ช่วง วัดเข้าถ้ำม้าร้อง และได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสกับสามีคือบิดาขอพระมหามาติณตามเดิม และท้ายสุดบั้นปลายของชีวิตได้สร้างเสาโบสถ์ให้วัดดอนตะเคียน 1 ต้น ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และขณะมีชีวิตอยู่ได้ทอดกฐิน และผ้าป่า หลายครั้งให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ดังกล่าว เป็นกิจที่ทำได้ยาก อาตมาจึงขออนุโมทานาในกุศลอันดีงามครั้งนี้ นอกนั้นสิ่งสำคัญคือได้ส่งเสริมให้บุตรชายได้เรียน และปฏิบัติ จนได้เดินทางไปศึกษาในประเทศอังกฤษในที่ที่สุด อันนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเช่นกัน จึงขออนุโมทนาในวาระที่สอง และขอชมเชยในความอุตสาหวิริยะของโยมบิดามารดาพระมหามาติณ มาในวาระสุดท้ายนี้ด้วย
ในโอกาสการทำความอาลัยอาวรณ์ โดยการทำหนังสืออนุสรณ์นี้ในการจากไปขึ้น อาตมาภาพขออำนวยพรให้วิญญาณของโยมบิดาและมารดา ที่ได้มรณภาพแล้วนี้ อันเป็นไปตามกฎแห่งความ กล่าวคือความไม่เที่ยง ตามกฎไตรลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในชีวิตมนุษย์ นั้น ขอให้อานิสงส์ผลทานและบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาของท่านจงได้นำท่านไปสู่คติภพ จนกราบเท่าพระนิพพานเบื้องหน้าโน้นเทอญ


คำไว้อาลัยจากครอบครัวคุณหญิงอนุกิจวิธูร
กรุงเทพฯ
ขอแสดงความเสียใจต่อพระมหามาติณ ถีนิติ (สหัส-บุญนาค เกตุมณีเดชา- แก้วขำ –แซ่บาง- แซ่แต้)(โหลนนายคุ้ม นางวอน แก้วขำ(เชื้อสายคนไทยพลัดไทยมะริด)
ซึ่งคุ้นเคยกันและนับถือกันมาตั้งแต่ครั้งคุณป้า(คุณหญิงแฉล้ม อนุกิจวิธูร)ยังมีชีวิตอยู่ การสูญเสียผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองในเวลาใกล้เคียงกัน คุณพ่อคือนายซิวเม้า แซ่แต้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2550 และอีกต่อมาถัดมาก็มาเสียคือคุณแม่หงษ์(อดีตแม่ชีประทุมทิพย์ ) เกตุมณีเดชา(แก้วขำ-แซ่บาง) เมื่อวันที่ 2 มกราคม2551
คุณแม่ได้เคยอยู่
เพศแม่ชีถือศีล ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานาน ท่านได้ใช้เวลาที่ผ่านมานั้น สร้างสมบุญ กุศลและบารมีมายาวนาน เป็นที่น่าอนุโมทนายิ่ง บุญบารมีที่ท่านได้กระทำแล้วจะเป็นอริยทรัพย์ติดตามส่งผลแก่ดวงวิญญาณของท่านไปในภพข้างหน้า ย่อมส่งผลให้ท่านไปเกิดในสุคติภูมิอย่างแน่นอน
ขออานิสงส์ผลบุญที่คุณแม่หงษ์และคุณพ่อซิวเม้าได้บำเพ็ญมาแล้ว กับทั้งบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้กระทำมาแล้ว จงรวมพลังเป็นพลังบุญอันยิ่งใหญ่เป็ยพลวปัจจัยนำส่งดวงวิญญาณของท่านทั้งสองไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ
ดร จารึก -สุนทรี จินตกวีวัฒน์
47/3 : ซอยสันทัด กรุงเทพฯ


ลำลึกถึงคุณพี่ประทุมทิพย์
ในนามแม่ชีวัดสร้อยทอง
(จากคณะแม่ชีจุกและแม่ชีฉันทนา)
สำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดสร้อยทอง เป็นสำนักปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงมาก ตั้งแต่ก่อนปี 2500 ถึงพุทธกาล มีครูอาจารย์ที่มีคุณธรรมหลายองค์ มีหลวงพ่อแพ หลวงพ่อสุข จนมาถึงพระอาจารย์ประเดิม มีนักปฏิบัติมากมาย มีคุณพ่อประชาฤทธิฤาชัย คุณแม่ชีเล็ก เป็นผู้อุปถัมภ์ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร มีพระภิกษุสามเณร และแม่ชี และยังมีการศึกษาพระอภิธรรมอีกด้วย
พี่ประทุมทิพย์ เกตุมณีเดชา แก้วขำ –แซ่บาง- แซ่แต้)(เหลนนายคุ้ม นางวอน แก้วขำ(เชื้อสายคนไทยพลัดไทยมะริด)เป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้ามาบวชเป็นแม่ชี และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิที่ดียิ่ง และมีปัญญา มีบารมีที่สั่งสมไว้ในอดีตชาติมาพอสมควร
พี่ชีได้ปฏิบบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้รู้เห็นตามความเป็นจริงของ รูป -นาม ขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ คณะแม่ชีทุก ๆ ท่านที่เข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และศึกษาเล่าเรียนอภิธรรมกันหลายรูป ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งในคณะแม่ชี ได้รู้จักพี่ชีประทุมทิพย์ พี่ใจดี โอบอ้อมอารีย์มีเมตตากับน้องชีทุกคน ในสำนักปฏิบัติชองแม่ชีมีความเป็นอยู่กันอย่างครอบครัว เคารพยกย่องกันตามฐานะพี่รักน้อง น้องรักพี่ ซึ่งข้าพเจ้ามาอยู่แล้ว อบอุ่นใจมีความสุข แต่ชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ หนีไม่พ้นกรรม เป็นไปตามกรรม พี่ชีประทุมทิพย์เป็นบุคคลหนึ่ง ที่ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม พี่ชีต้องลาสิกขาจากแม่ชี ไปสู่เพศฆราวาสวิสัยด้วยความจำเป็น แต่พี่ชีปฏิบัติทางใจให้เป็นกุศลอยู่เสมอ ด้วยการบริจาคทาน รักษาศีลในวันอุโบสถ เจริญภาวนาอยู่เสมอ ข้าพเจ้าได้พบพี่ครั้งสุดท้ายที่ ร.พ. พี่ได้พูดกับพวกเราที่น้องไปเยี่ยม มีแมชีฉันทนา พี่กัญญา พี่ได้พูดว่า “พี่จะใช้หนี้กรรมให้หมดในชาตินี้” ข้าพเจ้ายังจดจำอยู่จนทุกวันนี้ บัดนี้พี่ใช้หนี้กรรมหมดแล้ว จิตของพี่สงบดีแล้ว พี่ปราศจากความทุกข์ ในโลกขันธ์ 5 นั้นแล้ว เพราะขันธ์ 5นี้เป็นทุกข์มาก พี่พ้นแล้วขอดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพี่ จงได้ไปสู่แดนสุขาวดีอันน่ารื่นรมย์ หาทุกข์มิได้ มีอารมณ์เลิศในภพภูมิที่พี่ปรารถนา จงทุกประการเทอญ
รักและเคารพนับถือพี่มาก
แม่ชีสัวาลย์ ทรงสุภาพ(น้องจุก)
เขียนในนามของคณะแม่ชีวัดสร้อยทอง แม่ชีสังวาลย์ ทรงสุภาพ วัดใหญ่ชัยมงคล คลองสวนพลู พระนครศรีอยุธยา
ขณะเขียนนี้แม่ชีสุธรรมมา จันทร์เติมได้ตายแล้วอุทิศศพให้ รพ ศิริราช จะมีพระราชทานเพลิงศพในโอกาสต่อไป เจ้าภาพงานนี้ประกาศแทนมา








อาลัยจาก
คุณครูจินตนา อดุลย์อารยรังษี
46 ม 9 ต บางสะพาน
อ บาสะพานน้อย
จ ประจวบคีรีขันธ์ 77170
หนังสือบันทึกที่ครู ส่งมาให้จำนวนมากเป็นคำสอน คารมปราชญ์ คัดมาลงได้เพียงเท่านี้ เพราะหน้าจำกัดคือ
กอรป อ่านว่า กอบ
อินทรี อิน-ซี
กรณี กะ –ระ- นี
อรหัน ออระหัน(สัตว์ในนิยาย)
เกียรติ เกียด
นวลหง นวน-ระ-หง
พยาธิ พายาด
โลกนิติ โลก-กะ-นิด
ของอาจารย์ธนู บุญรัตพันธ์
ทัณฑฆาต( ทัน-ทะ-คาด) “-” ชื่อเครื่องหมายสำหรับฆ่าตัวอักษรที่ไม่ต้องการออกเสียง
ที่สมุดบันทึกเยี่ยม มีส่วนที่ขาดหายไปตกหล่น ไม่ได้บันทึกขอกราบอภัยมาณ ที่นี้ด้วย ด้วยเหตุสุดวิสัย
เจ้าภาพ
อันเนื่องมาจากสมุดเยี่ยม ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2550
หลักการและเหตุผล
ด้วยข้าพเจ้าประสบภัยหลายอย่างนท้ายสุดได้ทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยหลังการสอบผ่านข้อเขียนและข้อสัมภาษณ์ได้ในวัยสุดท้ายของคน
เพื่อการยืนยันในการปฏสัมพันธ์ของสังคม จึงเกิดมิติใหม่สำหรับคน นั่นคือการบันทึกทุอย่างไว้เมื่อมีชีวิตอยู่ เมื่อโอกาสเอื้อให้กระทำได้ อย่างที่คนอังกฤษหรือชาวตะวันตกนิยมทำ เพราะถือว่าตัวหนังสือนั้นเองเป็นตัวกำหนดถึงความก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ แม้ไม่มีประโยชน์อะไรต่อใครเลย แต่มันได้บอกว่า เราได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ที่ไม่เสียทีชาติเกิด มันอาจจะเป็นประโยชน์ในการอ้างอิงเรื่องของคนได้ในอนาคต ที่ไม่มีใครทำนายได้ว่าอารยธรรมและวัฒนธรรมมนุษย์จะเป็นเช่นไรอีกหมายถึงในส่วนที่ทำนายไม่ได้และสิ่งที่เกิดโดยไม่คาดคิด เชื่อว่าถ้าทุกคนทำเช่นนี้ได้ สิ่งที่จะหลงเหลือสำหรับคนนั้นมีพอเลี้ยงสมองของคนด้วยกันที่จะสามารถไม่ทำให้การเดกิดมาเป็นคนนั้นน่าเบื่อหน่ายเกินไป จึงส่งเสริมให้คนมีการบันทึกทุกอย่างเอาไว้
31 ตค 2550
ข้าพเจ้ากำลังเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล บังเอิญวันหนึ่ง มีโทรศัพท์เข้ามาไม่ทราบว่าเป็นของใคร ปกติโยมแม่ใช้โทรศัพท์ไม่เป็น แต่เมื่สงสัยจึงลองโทรกลับปรากฎว่าเป็นแม่ “หกล้มป่วยหนัก” แม่พูดมาทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้ารีบไปกับรถเพื่อดูอาการไข้ “แม่เดินได้ แต่ไม่แข็งแรง” ต่อมาจึงพร้อมด้วยอาจารย์ประจักษ์(สาย ง.) เอารถไปรับแม่มารักษาตัวที่ ร.พ. ศิริราช ทาง รพ บอกว่าไม่เป็นไร แต่ให้พักผ่อน การตรวจครั้งนี้พบว่า กระดูกที่บ่าซ้ายแม่หลุด การปล่อยกลับบ้านได้ต่อมาจนแม่เป็นคนไข้ทุพพลภาพถาวร หมอดูบอกว่าแม่อยู่ถึง 100 ปี มีพ่อดูใกล้ชิด ขออวยพรให้แม่หายไข้เป็นปกติเถิด
พระมหามาติณ ถีนิติ
บุตรชายคนเดียว กรุงเทพฯ
บันทึกหน้าแรกในสมุดเยี่ยม
และมีบันทึกต่อไปว่า
ทายาทยินดีรับคำอวยพร ในฐานะที่แม่เป็นมารดาของ นศ. ป.โท มหิดล และไม่ขอรับบริจาคหรือสิ่งของอื่นใดทั้งสิ้น จาการที่เป็นทุกข์นี้เพราะทรัพย์สินมีพอตัวเพื่อรักษาตนเอง 3 ชีวิตนี้ได้คือพ่อแม่ ลูก 3 คนและพ่อยืนยันให้อาตมาไปเรียนแม่พ่อดูแลกัน 2 คนผัวมียได้ เพราะทั้งสองไม่ชอบคนพลุกพล่าน
อนึ่งวาระสุดท้ายแม่ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อสมทบสร้างอุโบสถวัดดอนตะเคียน ที่ประจวบฯแล้ว จึงขออนุโมทนาคำอวยพรนี้ เพื่อให้กำลังใจคนไข้กลับสู่อาการปกติ แม่ท่านเคยอุปัฎฐากดูแลผู้ทำคุณประโยชน์แห่งชาติแด่ประเทศชาติ(บ.ช) เป็นภริยาของ พ.ท. พระประชาฤทธิฤาชัย และคุณนายเล็ก รัตรัตนะ เป็นต้น (ผู้บูรณะวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯจนสำเร็จดังที่ปรากฏในปัจจุบัน หลังวัดนี้ประสบภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำได้สำเร็จและแม่ได้ช่วยปู่ช่วง วัดเขาถ้ำม้าร้อง สร้างวัดอีกหลายแห่ง เมื่ออวยพรแล้ว กรุณาลงชื่อสถาบันโทรถ้ามี เพื่อส่งของชำร่วยให้หลังมรณกรรม ถ้ามีโอกาสต่อไป ขอขอบพระคุณขอบใจในโอกาสนี้ด้วย
พระมหามาติณ ถีนิติ (ศิษย์เก่ามหาธาตุวิทยาลัย)รุ่น 2509
ทายาท
ข้าพเจ้ากำลังทำปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
บันทึกเยี่ยมไข้คุณแม่หงษ์
1 พย 2550
ประจักษ์ สมบูรณ์บูรณะ คณะวิทยสศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขออำนวยพร แด่คุณแม่หงษ์ ให้พ้นทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็ว เพื่อจะได้เจริญรอยธรรมปฏิบัติบัติจิตภาวนาได้ ยังบุญกุศลให้กับตนเอง และสรรพชีวิตรอบข้างให้มีความสุขความเจริญในภายหน้าได้ ท่านคุณแม่หงษ์ ท่านมีแต่ทางบุญ เพราะฉะนั้นภพนี้ท่านมีทุกข์ ภพหน้าท่านคงมีสุขตลอดกาลนิรันดรเทอญ
การที่คนมีทุกข์ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนด ภพหน้าท่านคงมีสุข เพราะกรรมดีที่ท่านทำคงส่งผลบุญ ใหท่านเจริญ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดไป จนสิ้นกาลนานเทอญ
วิทยา ประชาเฉลิม
คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหิดล
ผมขออวยพรและขออำนาจคุณพะศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้คุณแม่หงษ์ หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำหลังเผชิญอยู่ให้บุญที่เคยทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ชักนำให้คุณแม่ พ้นเวรกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ทั้งปวง และให้บุญนี้ส่งผลให้คุณแม่มีความสุขทั้งกายและใจครับ
พระไก่
วัดดอตตะเคียน
อาตมาขออวยพรให้อำนาจพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้โยมชีหงษ์ จงอายุมั่นขวัญยืน

อาทิตย์ที่ 31 สค 51
น้อย+มล หมอนวดเส้นมานวดให้ยาย หลายครั้งแล้ว---ยายน่ารักมากชอบคุย และชอบมากตอนยายหัวเราะ นวดกันไปคุยกันไป ต้องมีพักยก---เพราะยายเหนื่อยจนหอบต้องพักยก ให้ยายหายเร็ว ๆ วันนี้ซื้อนมมาฝากยายด้วย อยากให้ยายมีเนื้อมีหนังให้นวดมากกว่านี้ ---ขายายเล็กมากเลยเล็กกว่าแขนยายอีก พึ่งเจอไม่นาน---ยายแล้วและ จากหมอจับเส้น
(ตัวมีขีดยัติภังค์ แสดงว่าลายมืออ่านไม่ออก)
155 ม .9 บ้านหนองคล้า ต. บางสะพาน อ. บางสะพานน้อย จ. ประจวบคีรีขันธ์ โทร 08-47330812

19 กันยายน 50
20 นักเรียนชั้น ป. 5 และ ป. 4
วันนี้นักเรียนได้เอานมมาให้ยาย พวกเราขอให้ยายหายจากการป่วย เมื่อหายแล้วก็ขอให้อายุยืนนาน จะได้มาขายของที่โรงเรียนเราอีก
จาก นักเรียนโรงเรียนวัดดอนตะเคียน
นางศิริพร น้อยวิสัย (เอ๋) โทร 0846450582
ได้มาดูแลนางหงษ์ ในเรื่องการป้อนอาหารและการป้อนยา ขอให้นางหงษ์ หายป่วยจากโรคนี้และเดินได้เป็นปกติให้กำลังใจญาติในการดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา
นางศิริพร น้อยวิสัย(อสม)

วันที่ 21 กันยายน พศ 2551
แวะมาเยี่ยมยาย ขอให้ย่ยหายป่วยเร็ว ๆ
กาญจนา วงษ์ประดิษฐ์ (ต้อม)

วันที่ 21 กัยนยายน พศ 2551
แวะมาเยี่ยมยาย ขอให้ยายหายเร้ว ๆ
วรรณี ชูโสสคกุล(เอียด)
วันที่ 3 ตุลาคม พศ 2551
ได้มาส่งยายกลับบ้าน ขอให้ยายหายป่วยเร็ว ๆ
นายเนิน สินทรัพย์

ผม นพ. สงพงษ์ (นาสมสกุลอ่านไม่ออก )และคณะเยี่ยมบ้าน ผป. มาเยี่ยมป้าหงษ์ ป้าสามารถนั่งและยกแขนขา2ข้างได้ นั่งเองได้ BP120/80 mm/hg ก็ดีใจด้วย แต่ยังมีปัญหาส่วนอาหารทางสาย ป้าไม่- และ-อ่อนแออยู่ แต่ถ้ากินอาหารทางปากได้เองด้วย อาจจะเอาสายออกภายหลังได้ คงต้องอาศัยกายภาพบำบัดด้วย โดยเฉพาะต้องให้ผู้ป่วยใช้ whorl chair ได้คล่อง ก็จะเป็นการดี เพราะเรื่องเดินเองได้นั่นคงจะยาก เพราะ ผป. มีปัญหาStroke ซ้ำทำให้อ่อนแรงทั้ง 2 ข้าง
สมพงษ์ (นามสกุลอ่านไม่ออก)
ผอ รพ บางสะพานน้อย 8 ตค 51

25 ตค 51
มาเยี่ยมผู้ป่วย สายให้อาหารหลุด มีไข้ต่ำ 37 .6 c BP=110/70 mm/hg ร่างกายอ่อนเพลียชาวยเหลือตัวเองได้น้อย รับประทานอาหารทางปากได้เล็กน้อย ให้คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วย
เฉลิม มาโต
พยาบาลวิชาชีพ 7
สอต. บางสะพาน

ขอให้แม่สุขภาพแข็งแร็ง
จ๊าย –เอี้ยง
20-10-15

29 ตค 51 12.00 น
เยี่ยมบ้าน BP 110/80mm/hg
DTX=137mg %
ป้อนข้าวต้ม(ได้แต่น้ำ) 2คำ รังนก 3 ชช.
ท้องอืดเล็กน้อย ป้อนน้ำได้ ~5ml
ญาติ(สามี) อยากให้ใส่สาย แต่ pt.ยังกลืนได้ให้ป้อนและดูอากการไปก่อน ยิ้มได้บ้างอยากให้ยาย-ได้ มีความสุข
(จันททนา พยาบาลอาชีพ 6)
4-11-51
ขอให้คุณแม่หายไข้ปกติ
พระมหามาติณ ถีนิติ shcr/m มหิดล
เวลา 14.00น

24 ธค 51
มาเยี่ยมยายหงส์ ขอให้ยายหายเร็ว ๆ
ผึ้ง สมัครไทย
23 ธค 51
ขอให้คุณโยมจงหายเร็ว ๆ ขอมีสุจภาพแข็งแรง อาตมาได้มีโอกาสมาเยี่ยม มีโอกาสมาพบพูดคุยกับพระสงฆ์ และได้เห็นสภาพความเป็นจริงของพระสงฆ์ในการดูแลโยมของท่าน ดีเท่าที่จะดูแลอย่างเต็มที่ได้ ถือว่าการดูแลครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ เพราะเป็นการตอบแทนพระคุณท่านเป็นการเมตตากตัญญูต่อพ่อแม่เป็นอย่างสูง
ขอให้จงเจริญในทางพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์ถิรราม(ปรีชา) สนส. วัดต้นตาล โทร 0813834219
23 ตค 5551
ให้คุณโยมจงหายและมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาเยี่ยม และปฏิบัติหน้าที่ ตามทที่มีคนรายงานไปว่า พระมาพักอยู้ที่บ้าน ให้มาตรวจสอบแล้วมาถึงก็พบว่าพระได้ปฏิบัติโยมแม่เพื่อแสดงความกตัญญูต่อมารดา ถือว่าถูกต้องในหน้าที่ของความเป็นลูก
ขออวยพรพระลูกชายของโยมแม่ผู้อาพาธนั้นจงเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาตลอดไป
พระครูประจักษ์ศิริคุณ
ผู้มาเยี่ยม เวลา 07.00 น โทร 08118575015

มาเยี่ยมน้า
โทร 08-484029441 (ตัวชื่ออ่านไม่ออก)
20ธค 51
ข้าพเจ้านางประภาศรี วชิรศิริ พร้อมด้วย พยาบาลวิชาชีพ เฉลิมชัย และคุณ ศิริพร ได้มาเยี่ยมป้าหงษ์ พูดคุยกับญาติดูแล เรื่องการดูแลป้าหงษ์ เรื่องความสะอาดของ-ให้ปรับปรุงเปลี่ยนใหม่ ให้(เอ๋) อสม. ดูแลต่อ และขอให้ดูแลให้ดี
นางประภาศรี
หัวหน้าสถานีอนามัย ต. บางสะพาน
4 มค 52 งานอาลัย

ข้าพเจ้าในนามสกุล โพธิกสิกร ขอให้ป้าหงษ์และแป๊ะ ชาติต่อไปไปเกิดสู่สุคติพบหน้าโดยสุคติเทอญ
ตัวแทน โพธิกสิกร

18 มค 52
ข้าพเจ้าในนาม อบต. บางสะพานน้อย ได้มาเข้ามาเยี่ยม นายมาติณ ถีนิติ สุขภาพแข็งวแรง ทุกประการขอให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
ตัวแทน อบต
รายชื่อและรายการทำบุญในงานฌาปนกิจของบิดาและมารดารายรับรายจ่าย
รายการงานศพค่าของงานศพพ่อ (แป๊ะ(27 ธค 2551)
ค่าถ่าน 240 บาท ค่าผ้า 200 ค่าไฟ 3,000 เงินคงเหลือ 6,380 บาท
เงินค่าศพได้ทั้งหมด 9,820 นางศิริพร น้อยวิสัย(เอ๋) แมว ช่วยชื่น ชำนาญ ศรีทอง
พยาน รวมค่ามัดจำโลงไม้จำปา 27, 000 พระลูกชายรับเงินที่เหลือ
ให้เอ๋ 500 ให้ในครัว 1,880 บันทึกเมื่อ 27 ธค 50 ชำระเพิ่มโดยพระลูกชาย
1. 1500 ค่าไฟโลง 2.200ค่าล้างโลง (เล็ก) 3.900 ค่าโลงเย็นที่พระสม
4.3,000 บาท สุนทรี-งาน คืนให้ฝากที่สาครรับแล้วรายการงานรายการงานศพป้าหงษ์
ค่าไฟ 1,100 ค่ารถ 4,000 ค่าของ 3,029+200 บันทึก 4.2.52 บันทึก 2.1.52
พระลูกชายให้ไว้ 2,000 บาท วันที่ 2 มกราคม 2552 พระลูกชายให้เพิ่ม 2,000 บาท
บันทึก 4-2-52 รับซองคืน 22-10-52 จากลูกสาวเอ๋ ให้ 1,000บาทให้งานศพกับเอ๋ เพื่อช่วยงานศพอื่นถ้ามีช่วงที่พระไม่ได้อยู่บ้าน แจ้งให้ทราบเมื่อหมดแล้ว ไม่มีบันทึก เอ๋ทำให้โทร 0822493805
ร้านขายหีบศพหน้า รพ บางสะพานน้อย ได้รับเงินจากพระมหามาติณ มาติณ ถีนิติ 28,000 บาทถ้วนโลงหัวหมู 28-12-51 โรงเจ 032 2872 481 032 282 312
สมชายเหล็กดัด 085 2780301ทำประตูรั้วทางเข้าไว้อาลัยพ่อ 6,000 บาท อานนท์(งานรักษาการณ์หมู่บ้าน) 0871698248 ปลูกกล้วย 15 ต้น 450 บาท ปลูก 29 -1-52 ปลูกกล้วยให้แม่ โดยตาไข กำบัง
ต้นไม้ปลูกไว้อาลัยแม่
มะไฟหวาน พริกไทย หน่ำเลี้ยง ทับทิม มะม่วงน้ำดอกไม้ มีรสหวาน กฤษณา กานพลูสะค้าน ปรง สังกรณี อโศกระย้า สะตอ ชะเอม กระเพราแดง สัก ราตรี จำปี มะลิซ้อน มะลิลา
สาระแหน่ แมงลัก สาวน้อยประแป้ง พริกอีกหลายอย่างที่ลืมบันทึกหรือบันทึกหาย
อหาหารนกเขา หงส์หยก สาหร่ายหลายชนิด ปลากัด บัวหลวง บัวสาย ต้นหัวงอ
นกกรงหัวจุก นกเขา ค่าซื้อรถไปสวรรค์ 25,000 ค่ากรงนก 10กรง
ค่าอุปกรณ์สัตว์น้ำเสดาะเคราะห์
รายการคนมาทำบุญในวันศพ พ่อและแม่ ที่ลงไว้บันทึกรายละเอียดโดยลูกสาว(นักเรียน) อสม เอ๋ มีรายการเพิ่มเติมตกหล่น และไม่ทราบเจ้าภาพขออภัยขอให้ได้ส่วนบุญทุกถ้วนหน้าด้วย พระมหามาติณ ถีนิติ
สมุดบันทึกงานศพนายซิวเม้า แซ่แต้ 25-26 ไม่ได้บันทึก บันทึก 27 ธค 51 และบางส่วนส่วนบันทึกยังหาไม่พบ
เล็ก-ศรียา ทองจันทร์ ดอนตะเคียน 100
วรรณกร ตั้งจิตตระกูล(ครูติ๋ม) ตลาดบางสะพานน้อย ร้านตั้งอี่ง้วน 300
ร้านลุง -อี๊ด โตศรีพลับ ดอนตะเคียน 200
ผู้ใหญสมควร และภริยา ดอนตะเคียน 100
นายฐานะ ศรีทอง บ้านหนองคล้า 100
ดิเรก-แดง ผิวเผือก 141 ม 5 ปากแพรก 200
กิมเซ็ง ลิ้มอรุณรักษ์ สามแยกบางสะพานน้อย 200
ครูหนั่น-ครูรัตน์ รักษาชัฎ ดอนตะเคียน 100
นายอุบล ปลอดภัย บ้านหนองคล้า 200
แม่ชีสาคร เกิดพันธุ์ 100
นายประเสริฐ-นางสนอง ประจักษ์วิมล ปากแพรก 100
นายสมภพลูกชายนเพื่อนพ่อ 3000
นายวัน -นางอุดม บุตรรักษ์ ดอนสูง 100
เฉลียว ร่มศรี ดอนตะเคียน 100
บัญญัติ ทรายจีน หนองคล้า 100
พระถิราม ปรีชา ลีลเตโช ลีลเตโชเจ้าสำนักสงฆ์ต้นตาล 200
ประสิทธิ์ –ละเอียด ตลาดบางสะพานน้อย 100
นายเสนาะ -พยงรัตน์ ทุ่งไทร 100
อบต คเธนทร์ แดงรักษา (หนองเสม็ด ม 10) 200
นายคะแน หลักแหลม (ตลาดดอนตะคียน) 100
ประณี เพชรมณี รองนายกด อบต บางสะพาน 200
นายไข นางเกลื่อน สุขสวัสดิ์ บ้านกรูด 100
มิตร รอดภัย(ดอนตะเคียน) 100
เกษม ลักษณาวิวัฒน์ (ตลาด) 100
สุนทร รสดี (บ้านหนองเสม็ด) 100
แสงไทยโลหะ 200
นาจรัล มาเมือง 100
ศักดิ์ น้ำค้าง (หินกอง) 100
ร้านเสาวลักษณ์ 300
สมคิด พรหมลาศ 100
นายอมร โกตี๋ 200
ชำเลือง ทองเล็ก 200
วิมุติ-เพ็ญศรี สมัครไทย 100
ประดิษฐ์ กิจจา (บ้านแขก) 200
นายบุญมาก สอนแข็ง ดอนตะเคียน 100
อำนวย ฐิตะฐาน หนองคล้า 100
หีด เขียว ดอนตะเคียน 100
ผู้ช่วย สุธนค์ แก้วเกิด 200
วิสันต์ เลี้ยว -ศิริมาศ(เฮียว) ตลาดบางสะพานน้อย 200
น้อย แดง บุตรรักษ์ บ้านกรูด 100
นางขาว -นายไข่ ยอดม่วง หนองคล้า 100
นาย ละเมียด หนองบอน 100
นายกอบ ลาวน้อย หนองคล้า 100
นางประนอม ลิมประภานุกูลกิจ ตลาดบางสะพานน้อย 200
ผัด -ประยูร อารยะอดุลยเดชรังษี 100
นายติ่ง-นางมุ๊ยเซียง แซ่ฉั่ว ตลาดบางสะพานน้อย ดอนตะเคียน 200
มนัส อยู่ร่ม 100
นายปรีชา-มุ้ยเฮ้ง จันทร์มริด ดอนบ่อน้ำ 200
ตาน้อย นายบุญส่ง บุตรรักษ์ บ้านสามมุม 200
จำเริญ น้องอ้อย คงแก้ว บ้านหนองคล้า 100
นายสง่า -นางแว๋ว ทัพใหญ่ 100
นางกิมเลี่ยน จันทร์เพ็ญ (ทุ่งไทร) 100
จิตร แมว วงศ์เพขร ทุ่งไทร 100
สมนึก ขาวปลอด ดอนตะเคียน 100
นางประทวน จันทิมา ทุ่งไทร 100
นางโสม -นางพิมศรี ผิวเผือก 100
นายสมภาส-จินดา คงประจำ 100
ไม่บอกชื่อ 50
นายสถิตย์ วิลาศ มาเมือง 150
ชัยศักดิ์ (โก่เม่ง) 200
กำเนิด ยอดม่วง หนองคล้า 100
ลุงนึก-ป้าพร บัวคำ ดอนตะเคียน 100
มานิจ ยอดม่วง ดอนตะเคียน 100
เอียด-ณี หนองเสม็ด 100
นายกหมอ ปลอดภัย ทุ่งไทร 400
นางเหรี้ยง สายสุข ดอนตะเคียน 60
นุ้ย น้อย กันภัย 60
ชัขชวาล ยอดม่วง หมึก 120
นายเขียด โอเอี่ยม 120
ตาชด ยายสาวปราง แดงนวล 160
ณรงค์ -พเยาว์ แย้มวงศ์ 140
แตน ทองภูเบศร์ 100
บันทึกส่งคืน 1 มค 52 จากคณะ อสม ดค พน ปข 100
นายวิสุทธิ์ สรรพกิจเจริญ 100
นายทยาน -เขียว บัวคำ 100
สมคิด –สมจิตร 100

เอียด-ณี หนองเสม็ด 100
เชื่อว่ารายการทั้งของพ่อและแม่มีอีกชื่อนามสกุลหากสะกดผิดบกพร่องขออภัย รายการรายรับ หากมีเพิ่มเติมจริงท้วงติงด้วยถ้ามีโอกาสแต่อาจมีข้อบันทึกขาดตกบกพร่องอันเป็นธรรมดาของงานราษฎร์อย่างนี้ขออภัยมาณ โอกาสนี้ด้วย ๆ ความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งตามปกติไม่ควรผิดพลาด เพราะโตกันปานนี้แล้ว
พระมหามาติณ ถีนิติ ทสปช. ลสชบ. กอ. รมน. พน. ปข.(รุ่นธวัช ธนจินดา)
อดีตยามอาสารักษาการณ์อำเภอบางสะพานน้อย เดินยามอาสา ม9 งาน ทสปชชุด ผญ. น้อย ม 9 (รักษาการ)หัวหน้าเขข 1 ม 9 ชุดผญ. ภิญโญ
ประวัติมะไฟเต่า
มะไฟมีหลายชนิดมะไฟบ้าน มะไฟป่า มไฟน้ำ มะไฟเขา ที่นี่จะกล่าวถึงมะไฟเต่าที่มิจัดเข้าเป็นมะไฟจำพวกใด มะไฟเต่านี้พบในพื้นที่ภาคกลางตอนล่างข้างเขาข้างบ้านแห่งหนึ่งมีห้วย ละหานไหลผ่านตลอดปี มะไฟเต่าต้นใหญ่ มีผลหวาน ออกผลทุกปี เฉพาะฤดูกาล มีเนื้อในเหมือนมะไฟบ้านทุกอย่าง แต่เนื้ออกไปทางสีม่วง เป็นพืชที่หายาก เพราะเคยพบต้นเดียวเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว ๆ ไม่พบอีกเลย แม้มาค้นคว้าเรื่องพืชสมุนไพรอยู่ต่อมา ก็ยังไม่พบอีกเช่นกัน กลับไปที่ต้นเดิมปรากฏว่าพื้นที่ถูกนำไปพัฒนาหมดแล้วจึงไม่เหลือเลยแม้แต่ซาก แสดงว่าต้นมะไฟเต่านี้หายากมาก เดิมทีไม่สนใจ พบเมื่อตอนไปเที่ยวป่าและพักผ่อนที่นั้นเป็นเวลานาน ออกผลสวย มีดอกสีม่วง มีแมงมาตอมมากเช่นผึ้ง เพราะดอกสวยเป็นพวงเหมือนมะไฟบ้านทุกประการจึงสนใจ จึงถามคนป่าว่านี้ต้นอะไร เขาบกว่า "มะไฟเต่า" ถามว่ากินได้ หรือไม่ เขาตอบว่ากินได้ มีรสหวาน จึงได้รู้จักมะไฟเต่าแต่นั้นมา และ๕๐ปีแล้วไม่พบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย เมื่อไปหาต้นไม้ชนิดนี้อีกในโอกาสต่อมาปรากฏว่ามันได้ตายไปเสียแล้ว และเมื่อมาพบในวิกีพีเดีย จึงอยากถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ว่า มะไฟเต่า มีจริง ผลที่ออกมาเหมือนผลกระดอม เนื้อในกินได้หวานอร่อย ใช้อมเล่น เพราะมะไฟเป็นพืชที่ยืนต้นที่มีเมล็ด ติดเนื้อคล้ายลังสาด และหายากแม้มะไฟบ้านทั่วไปนั้นหายากมะไฟทุกชนิดปลูกยากมันเลือกดินเลือกปุ่ย เพราะความที่เป็นลาภปากจึงเห็นว่าน่าที่จะมีประโยชน์ทางสมุนไพรบางอย่างด้วย และหายากที่สุดหายากกว่าสมอไทย และเป็นพืชที่ไม่มีการปลูกไว้ มันจะขึ้นเองตามธรรมชาติและถ้าปลูกคงจะยากมากเหมือนกับการปลูกต้นสะค้าน ซึ่งสะค้านยาแก้ลมปลูกยากที่สุด ดูแลยากที่สุด ตายง่ายที่สุด มะไฟเต่าก็เช่นกัน เพราะมิฉะนั้นในพื้นที่ที่พบจะต้องมีพันธุ์เหลืออยู่อีก ถ้ามะไฟเต่าปลูกง่าย คือคนที่ไปกินเป็นพาหะที่สำคัญ และพฤติกรรของคนพื้นที่ที่ไปพบก็มีพฤติกรรมเป็นพาหะพืชกินได้ น่าจะพาหะพิชชนิดนี้มีขึ้นบริเวณอื่นเหลืออยู่บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีเหลือพันธุ์เลย จึงให้ถือว่ามะไฟเต่าเป็นพืชหายากและควรอนุรักษ์เอาไว้ถ้าใครพบเห็นอีก จำไว้ว่า มะไฟเต่ามีรสหวาน ผลสีน้ำตาล คล้าสีผลโกโก้ ลูกป้อมยาวประมาณเท่าผลกระดอมใหญ่สุด รสหวานหอม จำไวเลยว่ามิใช่มะไฟหวานหรือพืชผลไม้ที่นักพืชวิทยากลายพันธุ์ให้มีรสหวาน แต่ทว่ามะไฟเต่าเป็นใมรสหวานไม่มีพิษ ต้นใหญมีโพรงใน ต้นไม่ขึ้นแบบมะไฟบ้านทุกปะการ ทนร้อนทนฝนแต่ไม่ทนคแทนควายเท่านั้น จากหนังสือเรื่อง วัดปู่ช่วง ของมาติณ ถีนิติ ค่ายอาจินต์ ปัญจพรรค์








มนต์พิธี
คู่มือดูหนังสือสวดมนต์มนต์พิธี พระครูสมุห์เอี่ยม
ที่มีคำนำพระธรรมโกศาจารย์(ชอบ ปธ.6)
หน้าที่พระเช้าเย็น
1. ทำวัตรเช้า 1
2. ยา เทวตา 8
3. ปฎิ สังขาโย 6
4. ทำวัตรเย็น 9
5. อัชมยา 16
6. วันทาใหญ่ 35
7. บูรพาอิมัสมิงพระพุทธคุณัง 49
8. อาการสามสิบสอง อัตถิอิมัสมิงกาเย 47
9. ท้ายมหาสมัยสวดทำบาตรตก 46

สวดมนต์บ้าน
10. โยจักขุมา 53
11. ขัดสัคเค 51
12. นโมแปดบท 55
13. เมตตัญจ 64
14. อเสวนา 57
15. วิรูปักเข 65
16. อุเทน 66
17. วิปัสสิส 71
18. ยโตหัง 76
19. โพชฌังโค 77
20. ยันทุน 78
21. ทุกขัปปัตตา 79
22. ชยันโต 80
23. ธัมจัก 86
24. อนัต 93
25. อาทิต 98
สวดผี
26. สวดกุสลา สวดผีทุกคืน 122
27. กรวดน้ำอิมินา 27
28. ยถาปิเสลา 39
29. วิรูปักเข 65
30. อิติปิโส 69
31. สักกัตวา 75
32. โส อัตถลัตโถ 80
33. สวดมาติกา สวดกระดูก-สวดเผา 125
34. พาหุง 129
35. บังสกุลตาย อนิจจา 125
36. บังสกุลเป็น อจีรัง 125
37. กฐิน 174
38. อาราธาศีล มะยัง 276
39. สัมพุทโธ 15
40. ยานี 137
41. ยังกิญจิ 28
42. เมตตาย ภิกขเว 31
43. มหาการุณิโก 32
44. อัตถิ อุณหิส 39
45. ยถาปิ เสลา 39
46. ธัมนิยาม 41
47. ยทา หเว 43
48. ภัทเทกรัต 44

ให้พร
49. สวดยถาขึ้น ยถาสะพพี 132
50. สัพพ พุทธา 133
51. ระตะนัต 133
52. ภะวะ ตุสัพ 85
53. สิริธิติ 84
54. อายุโท 136
55. สัพพโร 136
56. ยัสมิง 136
57. ภุตตา 138
58. อทาสิ เม 134
59. กาเล 134
60. อัคโต เว 134
61. อทาสิ เ ม 134
62. สัพพพุทธา 133
63. กาเล 134
64. อทาสิเม 135
65. อัคคโตเว 137
กิจวัตรพิธีกรรมของพระ
66. ปลงอาบัติ 175
67. ปาฏิโมกข์ 297
68. ปลงอาบัติ 229
69. เทศน์ 180
70. เข้าพรรษา- ออกพรรษา 175
71. ปวารณา ขอสมา (สังฆัมภันเต) 180
72. ชรา ธัมโม 274
73. ถวายทาน 277
74. อุปโลกน์ทาน (เวลาวันพระใหญ่มมีพระขึ้นไปพูดแจกทานท่านกลางสงฆ์และทายกทายิกา) 279
75. กรวดน้ำ - อิมินา 285
76. แผ่เมตตา 273
77. ถวายของ 280
78. บวช 184-21
79. ปาริวาส-อยู่กรรม 227





























เรื่อง
พระรัตนตรัย
โดย
พระมหามาติณ ถีนิติ

















บทนำ
เรื่องรัตนตรัยนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับทุกคน เพราะว่าคนเราต้อมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิตประจำวัน การมีพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นสิ่งจำเป็น การมีชีวิตที่ดีได้ ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิต เช่น มีบิดามารดาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของบุตรและธิดามีครูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของศิษย์ มีสามีและภริยาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวต่อกันมีประเทศชาติเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของประชาชนและการปกครองมีพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของพสกนิกรทั้งประเทศ แต่ที่สำคัญคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนียว ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ เพราะว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ที่มั่นคงยั่งยืน ภายนอกและภายใน และที่มีผลดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าที่จะมีต่อไป แก่มนุษย์ทุกคน ส่วนเครื่องยึดเหนี่ยวอื่น ๆ นั้น มีผลแต่ภายนอกและมีผลแต่ในปัจจุบัน แต่สำหรับเครื่องยึดเหนี่ยวภายในคือพระรัตนตรัยนั้น มีเครื่องยึดเหนี่ยวคือ
แก้วทั้งสามที่รวมเรียวว่าพระรัตนตรัยเท่านั้นที่ไม่เสียเวลา และไม่สิ้นเปลืองเงินทอง ไม่ต้องมีการลงทุน และไม่ต้องทำอะไร จะมีที่จำเป็นก็แต่เพียงแต่น้อมรำลึก เพียงจิตคิด และเพียงรำลึก ด้วยการกระทำการกราบไหว้บูชา ในเวลาที่จำเป็น หรือเวลาที่คิดได้ และจะให้ได้ผลตอบแทนอย่างดี ไม่บิดพลิ้ว ไม่ทรยศ ต่อตนเองและต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์และสังคม ให้ผลตลอดไปทั้งชาตินี้ และชาติหน้าต่อไป เพราะเราชาวพุทธมีความเชื่อในเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม เป็นหลักเกณฑ์ในการดำรงชีวิต และเรามีความเชื่อว่ามีชีวิตหลังความตาย และเชื่ออย่างแน่นแฟ้น ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด และท้ายสุดเชื่อว่า เมื่อเราทำบุญไว้มาก เราย่อมได้บุญมาก ทำบุญไว้น้อยย่อมมีบุญน้อย และเมื่อจิตคิดยากหลุดพ้นคือเบื่อหน่ายในชีวิต เช่นมองเห็นว่าชีวิตนี้มีทุกข์ เราก็สามารถเดินทางเข้าสู่การพ้นทุกข์ได้ หรือเมื่อเรียนแล้วกลัวสอบตก เราก็มีความทุกข์จะล่วงพ้นทุกข์ข้อนี้ได้ ก็ด้วยการดูหนังสือก่อนสอบ เราก็จะพ้นทุกข์โดยการสอบได้ นี้คืออานิสงส์ซึ่งมีพระรัตนตรัยเป็นเครื่องค้ำจุนเรา ที่เรานับถือเป็นพื้นฐานอยู่นั้น ๆ ที่จะทำให้เราพบความสุข ที่พอเพียง และยั่งยืน และถาวรได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไร เพียงแต่มีความตั้งใจแน่วแน่ย่างเดียว
สรุปว่าความยึดเหนี่ยวที่สำคัญสำหรับเพื่อมนุษย์ คือพระรัตนตรัย และเครื่องยึดเหนี่ยวที่ ว่าดีหรือว่าไม่ดี คือมีผลต่างกันนั้นเพราะสาเหตุ ๒ ประการ คือ: ๑. สาเหตุภายใน ๒. สาเหตุภายนอก เครื่องยึดเหนี่ยวที่มีผลต่อภายในและภายนอก คือ พระรัตนตรัย ส่วนสาเหตุที่เป็นเฉพาะภายนอกและชั่วคราว คือเครื่องยึดเหนี่ยวทั่วไป การที่มนุษย์มีหลักคือเครื่องยึดเหนี่ยวในสิ่งที่ดีงามนี้ จะทำให้คนมีความสุขตลอดไป เพราะฉะนั้นจึงเห็นสมควรอธิบายและแสดงเรื่องของพระรัตนตรัยอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวมต่อไปได้ เพราะพระรัตนตรัยได้ชี้นำให้เราเดินทางถูก ไม่หลงผิด ไม่งมงาย เป็นคนมีเหตุผลและไม่เชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผลอะไรได้โดยง่าย


















สารบัญ

เรื่อง ๑
ปก ๑
บทนำ ๒
สารบัญ ๔
บทที่ ๑ ๕
แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
บทที่ ๒ ๗
สรณะแปลว่าที่พึ่ง ความรัก ที่พึ่ง คน ๓ ชนิด ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว
ที่พึ่งถาวร
บทที่ ๓ ๑๒
คำไหว้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คำสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ (โดยย่อภาษาไทย)ศีลห้าประกอบด้วย ศีลแปดประกอบด้วย ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วิธีปฏิบัติใน
การเข้าถึงพระรัตนตรัย การประณมมือ การไหว้ การกราบ สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคำร้อง
สวดสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดสรรเสริญพระสังฆคุณ ปัญญา
บทที่ ๔ ๑๕
สรุป ๑๕
บรรณานุกรม ๑๖

















บทที่ ๑
แก้วสามดวง
แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว ทุกคนทราบดีว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร แต่แม้กระนั่นก็จะขอย้ำว่า เครื่องยึดเหนี่ยวในที่นี้ หมายถึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อป้องกันการตกไปสู้ที่ต่ำในชีวิต หรือการสูญเสียชีวิต เช่นเมื่อเราจะจมน้ำ เราจะมองหาที่ยึดเกาะ มีเสาหรือไม้เป็นต้น เมื่อเรือจะจม เราจะมองหาฝั่ง หรือที่ที่เราจะรอดชีวิตโดยไม่จมน้ำตายแล้วได้ลอยสู่ฝั่งได้ อันเสาสำหรับเกาะ และฝั่งที่จะขึ้นบกปลอดภัยได้นั้น ในที่นี่คือเครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อภัยเช่นว่านั้นมาถึง แก้วสามดวงคือพระรัตนตรัย ที่เป็นที่ยึดเกาะและเป็นฝั่งได้ ในที่นี่เรานำพระรัตนตรัยมาเป็นเครื่องเปรียบไห้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวสำหรับชีวิต พระรัตนตรัยแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ :๑.พระพุทธ ๒.พระธรรม ๓.พระสงฆ์
ทั้งสามอย่างนี้รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ๆ แปลว่า แก้ว ๓ ดวง ตามธรรมเนียบและคติการนับถือของชาวพุทธในประเทศไทย ทำไมจึงเรียกพระรัตนตรัยว่า ?แก้ว? สามดวง เพราะว่า เปรียบพระพุทธ คือแก้วดวงที่ ๑ พระธรรม คือแก้วดวงที่ ๒ พระสงฆ์คือแก้วดวงที่ ๓ การเปรียบพระรัตนตรัยว่า แก้ว ๆ ในที่นี้มิใช่แก้วโดยธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันว่าเป็นภาชนะใส่น้ำ ดื่มได้ก็หาไม่ และเมื่อแก้วตกลงพื้นก็แตกหักง่าย แต่พระรัตนตรัยในที่นี้ มิใช่สิ่งที่แตกหักได้เหมือนแก้ว ทว่าใสเหมือนแก้ว ท่านเปรียบพระรัตนตรัยเหมือนความใสของแก้ว แล้วทำไมจึงเปรียบเหมือนแก้ว ๓ ดวง เรื่องนี้เป็นธรรมาธิษฐาน(คือการนำมาเปรียบเทียบให้เห็นสมจริง) ว่าภาชนะที่ใส่น้ำและเมื่อหล่นก็แตกหักเปราะง่าย นั้นเป็นเช่นไร พระรัตนตรัยถ้าไม่รักษาดี ๆ ก็เป็นเช่นนั้น ท่านเทียบว่าสิ่งนี้ว่าองค์ ๓ นี้นั้นให้เป็นพระรัตนตรัย เพราะเป็นสิ่งที่สะอาดและหมดจด เป็นสิ่งปราศจากเครื่องเศร้าหมองทั้งลาย และเป็นสิ่งที่มองเห็นแบบทะลุผ่านได้ กล่าวคือพิสูจน์ได้ และผ่านให้เห็นและจะพิสูจน์ได้ตลอดทุกเวลา ในทุกกรณี พระรัตนตรัย สิ่ง ๓ สิ่งเหล่านี้จึงเทียบได้ดุจแก้ว มีดังนี้คือ : พระพุทธ พระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดาที่ตรัสรู้พระธรรม เพื่อสั่งสอนให้พวกเรา ได้รู้ ได้เห็น สิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ควรเห็น ในสิ่งที่เข้าใจได้ ในสิ่งที่ชอบที่ควร อันจะไม่นำความผิดหวัง และความหายนะมาสู่ชีวิต และสามารถนำปัญญาของพุทธองค์ที่ตรัสรู้แล้วนั้น ที่จะนำไปพัฒนาชีวิต ให้ตนเองมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตนได้ จะทำให้ตนเองไม่โง่งมงาย มองเห็นทางผิดเป็นทางถูก มองเห็นหนทางถูกเป็นทางผิดไปได้เช่น การเป็นคนรู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก ทำให้เราเป็นคนดีของสังคม การรู้จักพึ่งตนเอง การนำปัญญาที่ได้เรียนรู้มา เพื่อพัฒนาตนเองในเมื่อพึ่งตนเองได้แล้ว เมื่อถึงคราวตก ยาก ก็ไม่เป็นไร หรือเมื่ออยู่ในสถานะที่ดีแล้ว ก็รักษาสถานะนั้น ๆ ให้ดีขึ้น หรือคงเอาไว้
การรู้จักถ่อมตน มีวัฒนธรรม รู้จักที่สูงที่ต่ำ มีความกตัญญู เหล่านี้ เป็นบทขัดเกลาที่มีอยู่ในคำสอนทางพุทธศาสนา สืบเนื่องมาโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียว นี้ถือว่าเป็นรัตนตรัยดวงที่หนึ่ง คือสุดยอดและเป็นเอก สุกสว่างสดใสกว่าดวงใดทั้งหมดพระธรรม สำหรับพระธรรมที่ที่ท่านจัดให้เป็น รัตนตรัยดวงที่ ๒ ท่านอุปมาไว้ว่าอย่างไร ท่านอุปมาพระธรรมเป็นแก้วดวงที่สอง ในจำนวนสามดวง พระธรรมเปรียบเหมือนเทียน เพราะเทียนคือปัญญาเป็นแสงสว่าง แสงเทียนคือแสงแห่งปัญญา พระธรรมมาจากไหน พระธรรมมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และพระธรรมมีหลักคำสอน ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้อย่างเป็นแบบเป็นแผน ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน (อ่านว่า ดับ-ขันธะ-ปะ-ริ-นิบพาน แปลว่า ตาย) คำถามมีว่าทำไมพระธรรมมีความจำเป็น พระธรรมจำเป็นด้วยหรือที่ต้องนำมาเรียงเอาเอาไว้ และจำเป็นด้วยหรือที่จะเปรียบให้เป็นพระรัตนตรัยดวงที่สอง หรือเทียบด้วยแก้วเป็นแก้วใบที่สอง ขณะที่สิ่งอื่นมีมากมายในการเปรียบเทียบในสากลโลก เช่น การหาข้าวกินอิ่มให้อิ่มได้ด้วยแรงงานจะสำคัญกว่า หาเสื้อผ้ามาห่มกายน่าจะสำคัญกว่า เพราะเห็นผลทันตา ยอมรับว่าสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้นถูก แต่ยังมีคำตอบอื่นที่ดีกว่า คำตอบมีว่า มนุษย์ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า สภาพของแก้วนั้นไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ หรือแก้วอะไรก็ได้ ล้วนแต่มีความสดใสเป็นคุณสมบัติ มีความแวววาว ระยิบระยับ เช่นเมื่อโดนน้ำชะล้างก็สะอาด เมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ก็เป็นเงางาม และสามารถนำมาใส่น้ำดื่มได้อีกด้วย เพราะคนดื่มน้ำได้ด้วยแก้ว มิใช่ด้วยมือ หรือกะลาขณะที่คนเรามีวัฒนธรรมที่เจริญแล้ว หรือดื่มด้วยวิธีอื่น ซึ่งไม่เหมาะไม่สวยงาม ไม่ถนัด และแรงงานเป็นที่พึ่งถาวร เงินเป็นของนอกกายมีชั่วคราว แต่พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเราตลอดไป เพราะคนเราไม่รู้ว่าจะป่วย จะตายวันไหน และเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เรากำหนดวันตายที่แน่นอนไม่ได้ โดยธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้นมนุษย์มีความจำเป็นต้องมี่ที่พึ่งคือพระรัตนตรัยที่ดวงที่สองด้วย เทียบด้วย การใช้แก้วใส่น้ำ เพื่อการดื่มที่เหมาะสมเราได้จากแก้ว ความพอใจ จากการกระทำของเรานี้ และน้ำในแก้วได้ดับความกระหายของเรานั้นเพราะอิงอาศัยแก้วด้วย และเมื่อยอมรับใช้มันแล้ว ความหายหิวกระหายน้ำก็หมดไปในที่สุด และแก้วก็มีประโยชน์ต่อไปอีก เพราะไม่ได้แตกบาดเจ็บ ที่มือหรือเท้าของเรา ถ้าเราใช้มันอย่างไม่ประมาท เหมือนที่เปรียบเทียบอย่างคนที่ไม่รู้จักใช้แก้ว ขาดความระมัดระวัง แล้วทำแก้วแตก และโดนคมแห่งแก้วบาดเอา เพราะฉะนั้นแก้วจึงมีความสำคัญที่จะเปรียบเหมือนพระรัตนตรัย นักปราชญ์ท่านจึงจัดให้แก้วเป็นพระรัตนตรัยดวงที่สองพระสงฆ์ ส่วนดวงที่ ๓ คือพระสงฆ์ ๆ คือแก้วชนิดหนึ่งที่นักปราชญ์ท่านเปรียบเอาไว้เช่นกัน ทำไมจึงต้องเปรียบพระสงฆ์ว่าแก้วดวงที่สาม ที่เราต้องมีไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ก็เพราะว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่สืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าพระธรรม ที่เราได้เปรียบเป็นแก้วดวงที่ ๒ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น พระสงฆ์เป็นพระสุปฎิปันโน (อ่านว่า สุปะติปันโน) คือพระที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเป็นคนดีไม่ละเมิดศีลอันเป็นข้อห้ามและปฏิบัติเฉพาะที่พระพุทธองค์ทรงมีการอนุญาตเอาไว้ การทำได้เช่นนี้ถือว่าพระเป็นปูชนียบุคคล คือควรแก่การกราบไว้และบูชา และน้อมนมัสการ เราไหว้พระสงฆ์พระสงฆ์ สำหรับพระสงฆ์ที่เราได้มีโอกาสเห็น และได้ทำบุญตักบาตรกับพระสงฆ์ ได้บริจาคทรัพย์แด่พระสงฆ์ ทำไมเราจึงต้องทำเช่นนั้น เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญของโลก ท่านสามารถทำให้เราได้มีที่ทำบุญ เพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านจากพวกเราไปนานแล้ว ทิ้งเหลือไว้ให้เราแต่พระธรรม และพระสงฆ์ท่านมีหน้าที่นำพระธรรมของพระพุทธองค์มาสอน ที่เรียกว่าการสอนธรรม พวกเราจึงได้รู้และเอาอย่างมาปฏิบัติ เพื่อความสงบสันติสุขโดยทุกถ้วนหน้ากัน คือพระสงฆ์ท่านแนะนำให้เรานำแก้วดวงที่สอง คือพระธรรมมาให้เราได้ใช้เป็นใช้ถูก พระสงฆ์จึงเป็นทายาทของพุทธเจ้า ที่เราสามารถเห็นได้ว่า ความดีของพระธรรมดีมีอย่างไร ที่มีชีวิตทุกคนควรจะได้รับ นั้นก็คือหน้าของพระสงฆ์จะช่วยชี้แนะ ท่านได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ แล้วจึงสอนพวกเรา เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงเป็นแก้วดวงที่สาม ที่เรามีความจำเป็นต้องใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวด้วย ตั้งให้ท่าน คือให้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเราด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของ พวกเราทุกคน




บทที่ ๒
สรณะแปลว่าที่พึ่ง
การทำอะไรสมัยนี้ สิ่งที่มีปัญหาตามมาคือการทำอะไรไม่ทันเพื่อน คือการไม่พัฒนาตนเองให้ทันเพื่อนนั่นเอง การทำอะไรไม่ทันเพื่อน ทำให้คนนั้นจะถูกประณามว่าโง่ การเป็นคนโง่ ผลที่ตามมาคือ ไม่มีคนคบ ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อน แต่พระรัตนตรัยยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคน คือทั้งคนที่ทันเพื่อน และไม่ทันเพื่อน พระรัตนตรัยไม่เลือกชนชั้น ผิวพรรณ สัณฐาน เชื้อชาติ และ วรรณะความรัก คือความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าความรักจะมาในหัวข้ออะไรหลักอะไรก็ตาม การมีความรักผูกพันเป็นสิ่งที่ดีงาม ความรักที่เราเห็นง่ายมากเช่น แม่นกรักลูกนก แม่แมวรักลูกแมว แม่สุนัขรักลูกสุนัก นี่ก็เป็นเรื่องความรักหลักหนึ่งเช่นกัน ที่มองเห็นได้ในชีวิตทุกวัน แต่ว่าการรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ตลอดไป ต้องอาศัยการรู้จักมีพระรัตนตรัยเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แล้วจะทำให้ความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทรนั้น มั่นคงถาวรนานต่อไปได้ คำถามมีว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อระหว่างพระรัตนตรัย และความรักความเอื้ออาทร ความผูกพัน ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิดเดียว จะขออธิบายว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกเหมือนกัน ในการที่จะกล่าวว่า กระดูกและฟัน หรือลิ้นกับฟันมันต่างกันอย่างไร ก็อย่างใดอย่างนั้น
เราจะมีเครื่องยึดเหนี่ยวได้ เราต้องหาที่พึ่งก่อน เพราะถ้าไม่ได้ครู เราก็ไม่เรียนรู้วิชา ฉะนั้น เราจึงจัดว่ามีครูเป็นที่พึ่ง ในที่นี่เรื่องพระรัตนตรัย เราได้หนังสือเรื่องพระรัตนตรัยเล่มนี้เล่มหนึ่งเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งในพุทธศาสนาของเรา ในที่นี่เราเรียกที่พึ่งนี้ว่า ?สรณะ? คำว่า สรณะ เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าใช้พูดขณะพระพุทธองค์ยังมีพระชนมาชีพอยู่ (ยังมีชีวิตอยู่) เราจัดที่พึ่งนี้ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริบสูงสุด ที่พึ่งที่เราจัดไว้มี ๓ อย่างคือ : ๑. พระพุทธเป็นที่พึ่งของเรา ๒. พระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ๓. พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ที่พึ่ง สำหรับที่พึ่งนี้ต่างจากเครื่องยึดเหนี่ยว ในบทคำนำเราทราบว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร มาบัดนี้เราจะได้ทำความเข้าใจว่า ที่พึ่งคืออะไร และที่พึ่งและเครื่องยึดเหนี่ยวนี้แตก ต่างกันอย่างไร เราจัดที่พึ่งได้ดังนี้ คือ : ๑. ที่พึ่งภายใน ๒. ที่พึ่งภายนอก
เครื่องยึดเหนี่ยวนั้น มาก่อนที่พึ่ง เพราะว่าอะไร เราลองสังเกตดู คนที ห้อยพระพุทธรูป หรือห้อยพระเครื่องที่คอ เขามีพระเครื่องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และครั้นเมื่อภัยมาถึง เขาก็ได้พระเครื่องหรือพระพุทธรูปที่เขาแขวนคออยู่นั้นมาเป็นที่พึ่ง การที่คนเราจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่ง เขาต้องคิดว่าที่พึ่งนั้นพึ่งได้หรือไม่ได้ก่อน จึงเรียกว่าที่พึ่ง แต่เครื่องยึดเหนี่ยวนั้นต้องมีการแนะนำกันก่อนว่า อะไรควรที่จะยึดเหนี่ยวหรือไม่ หรือว่าอะไรที่ไม่ควรยึดเหนี่ยว เพราะฉะนั้นเครื่องยึดเหนี่ยวมาก่อนที่พึ่ง เพราะเราคิดที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้เพื่อนำเอาเครื่องที่ยึดเหนี่ยวนั้นไว้เป็นที่พึ่งเมื่อภัยมาถึง
เด็กหลายคนชอบพึ่งพ่อแม่ แต่เมื่อเวลาที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นมา ไม่มีใครวิ่งไปพึ่งสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัขและแมว แต่ตอนที่ปกติ อยู่ที่บ้านไม่มีอะไรเกิดขึ้น แหม ! ช่างรักลูกแมวลูกสุนัขกันเสียจริง จะกินจะนอนขอให้สุนัขและแมวนอนด้วยกินด้วยได้ มีขนมก็ก็แบ่งให้สุนัขหรือแมวที่บ้านกินก่อน แทนที่จะเป็นพ่อแม่ เป็นต้น มีของอร่อยก็นำมาฝากสุนัขและแมวตัวโปรดของตนก่อน แต่ว่ากับพ่อแม่นั้นกลับเฉยเมย เพราะอะไร ตอบว่าไม่ทราบ กล่าวคือมันเป็นอย่างนั้นเอง แลลองกลับมาดูที่เมื่อเด็กมีภัย ก็จะวิ่งไปหาพ่อแม่ก่อน เมื่อมีภัยมาถึงตัว แม้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง พ่อและแม่นั่นหละเป็นที่พึ่งที่ควรยึดเหนี่ยวด่านแรกของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เราจะรักสุนัขและแมวในบ้านมาก และสุนัขและแมวเหล่านั้น มิได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว หรือที่พึ่งอะไร ในโลกแห่งความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีภัยมาถึง เขาสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นมิใช่ที่พึ่ง พ่อแม่ต่างหากที่เป็นที่พึ่ง นี้ก็เหมือนกัน เราได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าเรารู้แล้วว่า ที่พึ่งนี้เป็นที่พึ่งอันสูงสด เป็นที่พึ่งได้ทุกเวลา แม้ในยามสอบตก (เราได้สมาธิจากการเรียนเมื่อรำลึกถึงพระรัตนตรัย) ในยามเจ็บป่วยเป็นไข้ ในยามใกล้จะตาย ในยามมีความทุกข์ทรมาน ที่ไม่มีใครอีกแล้ว แม้พ่อแม่หรือแพทย์หรือแม้ตนเองก็เกือบพึ่งไม่ได้แล้ว ในยามนั้นพระรัตนตรัยสิ่งเดียวเท่านั้นที่พึ่งได้ จึงถือว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและในที่สุด และในทุกสถานที่ และในกาลทุกเมื่อ เราจึงควรยึดเหนี่ยวพระรัตนตรัยเอาไว้เป็นที่พึ่ง การที่เราได้รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายไปได้ เราได้ทราบมาแล้วว่า ที่พึ่งนั้นมี ๓ (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) และเครื่องยึดเหนี่ยวนั้นก็มี ๒ (เครื่องยึดเหนี่ยวภายใน และเครื่องยึดเหนี่ยวภายนอก) ซึ่งในที่นี่ เราจะมาพูดในบทบาทของเรื่องคนที่มีที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งนี้จัดเป็น ๒ ดังกล่าวนี้ว่า (ก.) ที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งทางใจ ส่วน ( ข.) ที่พึ่งภายนอกนอกนั้นเป็นที่พึ่งทางกาย เราเคยมีความอบอุ่นกับพ่อแม่ โดยทั้งพ่อและแม่เป็นที่พึ่งทั้งทางกายตลอดชีวิตหาไม่แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
เราต้องมีที่พึ่งสำหรับชีวิตนี้ และชีวิตข้างหน้าด้วย หรือในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย คือพระรัตนตรัย ซึงท่านเป็นที่พึ่งทั้งภายใน(เช่นพระสงฆ์สอนธรรมให้เรา)และภายนอก แต่สำหรับพระรัตนตรัย คือแก้วสามประการนี้ เราใช้เป็นที่พึ่งทางใจและรวมไปถึงที่พึ่งทางกายได้ เราต้องยึดเหนี่ยวเอาไว้ว่า เราได้ทำบุญอะไรไปกับพระสงฆ์และทำไปเมื่อไหร่ เราได้กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้ารำลึกว่าได้ กราบไหว้ไปตอนไหน เราได้เรียนรู้พระธรรมไปเมื่อไหร่และอย่างไร เพียงรำลึกเท่านี้เราได้ที่พึ่งแล้ว และเราก็ยึดเหนี่ยวเอาที่พึ่งอันนี้ว่า เป็นที่พึ่งอันประเสริฐอันสูงสุด มีอันจะนำมงคลมาสู่เราได้ และจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ในชีวิต สังคมทุกวันนี้ยอมรับว่า การมีที่พึ่งเป็นสิ่งดีงาม คนเราถ้าขาดที่พึ่งแล้ว จะเป็นเช่นไร เช่นต้นไม่มีรากเป็นที่พึ่งของ ต้นไม้นั้น ต้นไม้นั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะพอลมแรงมา ต้นไม่ที่ไม่มีรากย่อมที่จะปลิวไป เสาเรือนถ้าไม่มีแผ่นดินรองรับพื้นเอาไว้ เสาเรือนนั้นนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ คือเรือนที่ไม่เสาดินรองรับย่อมจะพังทลายลง ถ้าเราไม่มีบิดามารดาเป็นที่พึ่งตอนวัยทารกและวัยเด็ก เราก็ไม่สามารถอยู่รอดชีวิตเติบใหญ่มาได้ จากการที่เราไม่ตายเสียก่อนในวัยทารกและคลอดรอดอยู่ เป็นชีวิตมาได้และกลับมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้จนเติบใหญ่ เพราะเรามีที่พึ่งคือบิดามารดาเป็นบันไดแรก เพราะฉะนั้นเรื่องของที่พึ่ง คือมีบิดามารดาเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกันในเบื้องแรก จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ว่าพระรัตนตรัยคือที่พึ่งสูงสุดได้ ในโอกาสต่อมา สำหรับเราที่รู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นอกจากบิดารมารดาครูบาอาจารย์แล้ว เพราะเรายอมรับแล้ว ก็จะมีความมั่นคงในชีวิต และเราจะประสบแต่ความสำเร็จ เพราะว่าเราได้ที่พึ่งทีมีคุณธรรมสูงสุด ไม่มีสิ่งใดอื่นเสมอเหมือน ทำไมที่ไม่มีสิ่งอื่นเสมอเหมือน ตอบว่าเพราะเป็นที่พึ่งที่ไม่ตายไปจากเรา และที่พึ่งนั้นคือพระรัตนตรัย
เนื่องจากว่าพระรัตนตรัยจะอยู่ กับเราชั่วฟ้าดินสลาย ทั้งโดยชาตินี้และชาติหน้า สวนที่พึ่งคือบิดามารดา ครูบาอาจารย์ นั้น ท่านเป็นที่พึ่งได้ก็จริง แต่ท่านให้เราพึ่งได้เพียงชั่วขณะ หรือเพียงชาตินี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น คนเราทุกคนควรต้องมีที่พึ่ง คือพระรัตนตรัยด้วย คือว่าพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งสูงสุด เพราะว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทั้งทางใจและทางกาย และทั้งชาตินี้และชาติหน้าลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจนกว่าโลกจะหาไม่อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ในโลกนี้กับพระ รัตนตรัย และพระรัตนตรัยเป็นอมตะไม่ตายไปจากเรา แม้เราจะตายไป พระรัตนตรัยก็ยังคงอยู่ คน ๓ ชนิด คนในโลกนี้มี ๓ ชนิด คือ : ๑.คือคนที่รู้ไปหมด ๒.คนที่รู้เพราะคิดคำนวณเอา ๓.คนที่รู้เพราะเคยเหยเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ มาก่อน คนทั้งสามชนิดนี้เป็นบุคคลที่หาได้ยากพอสมควร แต่จะมีมากน้อยเพียงไรในแต่ละคน ถ้ามีมากในระดับใดระดับหนึ่ง ก็รอดพ้นไปได้ แต่ในที่มีน้อยมากในระดับใดระดับหนึ่ง แสดงว่าคนนั้นเป็นคนเบาปัญญา คือมีความรู้น้อย จะเป็นผลให้ต้องมีที่พึ่ง เพราะส่วนมากคนประเภทนี้ จะพึ่งตนองไม่ได้ แต่ต้องพึ่งคนอื่นอยู่ร่ำไป และที่อันตรายมากก็คือ การไม่รู้จักแม้กระทั่งพระรัตนตรัยก็ควรจะพึ่ง และมีความคิดว่าพระรัตนตรัยนั้นควรมีประจำจิตใจตน คนชนิดนี้ก็มีแต่จะมีชีวิตที่เศร้าหมองและตกอับ ส่วนคนที่มีความรู้ในความระดับหนึ่งคือในระดับสูง แม้ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ยังรู้จักดูแลตัวเองบ้าง ไม่ค่อยจะสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น แต่ถ้าว่าถ้าเขาขาดพระรัตนตรัยไว้เป็นที่พึ่งด้วย ก็มีผลให้เขามีความสุขเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ส่วนชาติต่อไปนั้นยังมืดมน พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า คนบางคนมีพระอาราม มีต้นไม้ มีภูเขา เป็นต้น ว่าเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นสรณะ แต่ทว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ที่พึ่งดังกล่าวมิใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ นั้นหมายความว่าที่พึ่งนี้พึ่งได้เหมือนกันแต่ไม่ประเสริฐ ส่วนที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราจะพบว่าคนเราทุกวันนี้ไหว้ ต้นไหม้ ไหว้ภูเขา และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ กล่าวคือมีเป็นที่พึ่งได้เช่นกันคือใช้ได้ชั่วคราวคือไม่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าจะให้ดีแล้วควรมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเพราะประเสริฐที่สุด ประเทศชาติกำลังพัฒนาและไปได้ผล เป็นเศรษฐกิจพอเพียงและยั่งยืน อยู่ในระดับที่ทุก ๆ คนพอใจ ในปัจจุบัน กล่าวคือดีกว่าแต่ก่อน ที่ว่าดีกว่าแต่ก่อนอาศัยเหตุดังนี้ คือ สมัยก่อนจะไปไหนมาไหน ต้องอาศัยเท้า และแรงงานจากสัตว์ แต่ปัจจุบันเราสามารถใช้แรงงานทางวิทยาศาสตร์ คือใช้เครื่องยนต์ เครื่องทุกชนิดแทนแรงงานคน แทนแรงงานสัตว์ได้ อาทิเช่น ถ้าเราจะโทรศัพท์ไปเชียงใหม่ จากรุงเทพ ฯ สมัยก่อนต้องใช้โทรเลข แม้กระนั้นก็ใช้เวลานานอาจเป็นวันกว่าปลายทางจะได้รับสาร และเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ปัจจุบันเพียงนึกคิดเอาเพียงใช้มือกดแตะปุ่มเท่านั้น คือกดโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ผู้รับสายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็สามารถรับสารของเราได้ทันที เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น และเสียค่าใช้จ่ายก็ถูกมากเพียง ๓ บาทก็เพียงพอ
การกระทำอย่างนี้ในสมัยนี้ ทดสอบเมื่อ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ นี้เอง จึงรับรองว่าการสื่อสารทางโทรศัพท์ สำหรับการจะโทรทางไกลจากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ แม้ในถิ่นทุระกันดาร จะได้ผล คือ ได้เรื่องทันที โดยไม่ต้องลำบากเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือสมัยนี้จะพูดจะโทรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มิใช่จำเป็นต้องเป็นที่ไปรษณีย์กลางกรุงเทพ ฯ เท่านั้น กระทำได้ทั่วพะราชอาณาจักรนี้ ด้วยโทรศัพท์มือถือ นี่แสดงว่าประเทศไทยเจริญขึ้น อย่างอารยประเทศตะวันตกในด้านนี้แล้ว เราสามารถเทียบได้เลยในเรื่องแบบนี้ ต่อไปเป็นเรื่องที่จะนำมากล่าวอย่างละเอียดนั้น ก็คือเรื่องคน ๓ ประเภทที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นของหัวข้อนี้ นั้นคือ คนที่รู้เสียทุกอย่าง คือรู้ไปหมด ไม่ว่าอะไร ตรงไหน อย่างไร เขาย่อมไม่ถูกหลอกลวง และเขาจะไม่มีทางยากจน ยกเว้นแต่คนรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ซึ่งนั่นคือคนที่รู้ไม่จริง แม้กระนั้นถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เขาก็อาจจะตกอับได้ ในวันใดก็วันหนึ่ง ประการแรก เขาไม่สามารถล่วงรู้ทางแห่งการไปดี หรือร้าย หรือความตายดีตายร้ายได้ หรือไปเกิดในชาติหน้าที่ดีกว่าเดิมได้ หรือเท่าเดิมที่ดีอยู่แล้ว ส่วน คนที่รู้เมื่อคิดคำนวณ คนชนิดนี้ทำงานไม่เคยผิดพลาด เช่นทอนเงิน เมื่อซื้อของหรือขายของ ไม่เคยทอนเงินผิดพลาด บางคนขายก๊วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ บาท ลูกค้าเขาให้ใบละ ๒๐ บาทมา ทอนเขาเสีย ๔๐ บาท เป็นต้น
เพราะนึกว่าเขาให้ใบละห้าสิบมา พอดีลูกค้ากำลังเข้าร้านมากลืมไป ถ้าคำนวณผิดอย่างนี้ เราลองทำนายดูเหตุการณ์ ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร คือ ขาดทุน หรือ ?ล้ม? แน่นอน สำหรับร้านขายก๊วยเตี๋ยวร้านนั้น ท้ายสุดที่ตามมามีกำไรดี ขายของได้ก็ดี และไม่ขาดทุนเพราะการคิดคำนวณรายรับ รายจ่ายให้ผิดพลาด และการคาดการณ์ไกล ล่วงรู้อนาคตของตนเอง เช่นล่วงรู้ว่า เดือนหน้าจะมีน้ำท่วมตรงนี้ เพาะฉะนั้น เรารีบกักตุนอาหารและสัมภาระเอาไว้ เพื่อเลี้ยงตนเองป้องกัน ไว้เมื่อยามที่ภัยมาถึง เป็นกากรคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เมื่อประสบอุทกภัย ซึ่งจะมีมาถึงในไม่ช้า ปัญหาก็คือเราไม่มีปัญหาอะไร ถ้าน้ำท่วมมาจริงตามที่คาด หรือคำนวณว่าไฟจะต้องไหม้บ้านแน่นอน ถ้าสภาพครอบครัวมีปัญหาอยู่อย่างนี้ คือมีคนในบ้านใช้ไฟไม่เป็น ในบ้านที่อยู่อาศัยมีสภาพสายไฟไม่มดีที่ควรปรับปรุง แต่กลับไม่ปรับปรุง หรือ มีสาเหตุอื่น ๆ อีก คนชนิดนี้เขาต้องคิดรีบตัดไฟต้นลมทันที เมื่อเห็นมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น กับครอบครัวเขา เช่น เขาก็ต้องรีบมีเครื่องดับเพลิง เพื่อป้องกันอัคคีภัย และสามารถนำอุปกรณ์ดับเพลิงมาใช้ทันทีในกรณีไฟไหม้ได้ ดังนี้เป็นต้น แทนที่จะรอรถดับเพลิงของทางหน่วยราชการอย่างเดียว เมื่อพระเพลิงกำลังไหม้บ้าน ส่วน คนที่รู้เพราะเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ มาก่อน คนชนิดนี้รู้เพราะเคยโดนมากับตนเอง เช่น โดนมีดบาดและมีแผลสด ให้รีบใช้ยาสามัญประจำบ้านป้ายแผลทันที และปิดแผลไว้ไม่ให้อากาศนำเชื้อโรคหมุนเวียนเข้าออกได้สะดวก และระวังอย่าให้เชื้อโรคเข้าไปสู่บาดแผลได้ ด้วยการปิดด้วยผ้ายางพลาสเตอร์ปิดแผล ที่ถูกหลักการทางแพทย์ เขาก็สามารถทำให้แผลหายได้เร็ว ไม่ลุกลามไปใหญ่โต แต่อย่างไรก็ตาม คนทั้งสามชนิดนี้ ถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วแน่นอน ชีวิตเขาก็ต้องอับแสงลง และเสียทีชาติเกิดแน่นอน ส่วนคนที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง ก็ปล่อยปละละเลยแผลนั้น คิดว่าอีกสักพักก็จะหาย แต่ปรากฏว่าแผลมันไม่หายแต่แผลกลับเรื้อรัง เป็นผลให้เป็นอันตราย จนเชื้อโรคต้องลามไปสู่อวัยวะอื่นทำให้อวัยวะส่วนอื่นพิการต่อไป ดังนี้เป็นต้น ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งมี ๒ชนิด คือ: ๑. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว ๒. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ถาวร ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว การเรียกคำว่าที่พึ่ง คำ ๆ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะคำนี้มีความหมายว่า การไม่มีความเป็นอิสระในตนเอง คือเป็นทาสของคนอื่น ถ้าเป็นประเทศก็เป็นประเทศที่ไม่มีเอกราชในตนเอง
ถ้าเป็นประชาชนก็เป็นประชานที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง รอจะพึ่งแต่รัฐบาล ถ้าเป็นคนก็ต้องพึ่งคนอื่น กินน้ำใต้ศอกคนอื่น ไม่ดีแน่นอน เมื่อเรามองในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะพบว่า เมื่อเราเป็นเด็กก็ต้องพึ่งพ่อแม่ไปก่อน เมื่อเราเป็นเด็กนักเรียนก็ต้องพึ่งครูไปก่อน เมื่อเราเป็นประชาชนก็ต้องพึ่งรัฐบาลเพื่อขอความคุ้มครองจากตำรวจเมื่อมีภัยไปก่อน หรือเมื่อมีเหตุร้ายก็พึ่งศาลเมื่อขาดความยุติธรรมไปก่อน การพึ่งอย่างนี้ ไม่เป็นสิ่งปลก แต่ทว่าเป็นการพึ่งชั่วคราว เพื่อให้สำเร็จภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นเป็นของธรรมดา แต่ไม่ใช่พึ่งผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ที่พึ่งถาวร ที่พึ่งที่ถาวรคือพระรัตนตรัย คือว่าการพึ่งที่ถาวรคือพระรัตนตรัยนั้น เป็นการพึ่งตลอดเวลา ตลอดไปจึงจะดี คือมีภัยหรือไม่มีภัยจะอ่อนแอและจะเป็นทาส หรือเป็นนาย ก็ยึดพึ่งพระรัตนตรัยได้ มิใช่คิดพึ่งพระรัตนตรัยตอนรับทุกข์เท่านั้น แต่พอมีความสุขแล้วทิ้งพระ รัตนตรัยอบย่างนี้ไม่ถูก การทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการเนรคุณพระรัตนตรัยด้วย เพราะฉะนั้นการพึ่งพระรัตนตรัยนั้นต้องพึ่งในทุกเวลา ในทุกสถานที่ ในทุกสถานะ คือไม่จำกัดกาลและเวลา มีพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ คำว่าสรณะ แปลว่าที่พึ่ง คำว่าสรณะมาจากภาษาบาลี การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงถือว่าเป็นการพึ่งที่ดี เป็นการพึ่งที่ถูกทาง



บทที่ ๓
คำไหว้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
เมื่อเราได้รู้ว่าพระรัตนตรัยคืออะไรแล้ว มีอะไรบ้างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว นอกจากพระสถูป เจดีย์ จีวรที่พระห่มมีผ้าสีเหลือง
และสิ่งอื่นที่เราเคารพสักการบูชากันทุกวันนั้นแล้ว คำตอบคือ มีคำรำลึกถึงการรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คำถามมีต่อไปว่า คำรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้นคืออะไร คำรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้น คือคำสวดอ้นวอน หรือเพียงคิดภาวนาในใจ หรือพูดเปล่งออกมาพร้อมกัน หรือนอนนึกเอาก็ได้ สำหรับคำรำลึกนั้น ตามประเพณีของชาวพุทธ มีรายการดังต่อไปนี้: ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ และด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมด้วยความเคารพ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้า คำรำลึกดังกล่าว มีทั้งที่เป็นภาษาไทยและที่เป็นเป็นภาษาลี สำหรับที่เป็นภาษาไทยที่นำมาลงในหนังสือนี้ ใช้เป็นประจำทุก ๆ โรงเรียน ทุกสถาบัน ทั้งในวัดและในสถาบันพุทธศาสนา บางครั้งอาจะว่ากล่าวเป็นคำอย่างอื่นก็ได้ แต่สรุปแล้วคือการรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเอง คำถามว่า ทำไมต้องไหว้รำลึกพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในเมื่อมีการห้ามการไหว้ต้นไม้ ห้ามไหว้ อาราม และเจดีย์สิ่งอื่นใดอีกเหล่านี้ กล่าวคือเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะสิ่งที่ไหว้นั้นไม่ประเสริฐ เท่ากับการไหว้รำลึกถึง พระพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คำตอบมีว่า คนเราต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยว มิใช่เพียงคิดด้วยลำพังจิตใจ แต่ต้องปฏิบัติดีด้วย มีการทำดีทั้งทางกาย วาจา ใจ ไปด้วย คุณภาพของการสรรเสริญพระรัตนตรัยก็จะมีค่ายิ่งขึ้น เมื่อ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ก็เพื่อความสุขสวัสดีของร่างกายและจิตใจด้วย และการที่จะได้พ้นทุกข์ไปในที่สุด คนเรานั้นมีปัญญาไม่เหมือนกัน กล่าวคือมีปัญญาไม่ทันกัน บางคนกำลังใจสูง บางคนกำลังใจต่ำ คนลังใจสูงจะมีกำลังทางจิตใจมากกว่าคนมีกำลังใจต่ำ คนมีกำลังใจสูงมีใจอย่างเดียว ก็สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ แต่ว่าคนที่มีกำลังใจต่ำ ย่อมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จึงต้องใช้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแทนรำลึก แทน อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญในพุทธศาสนา เนื่องจากกาว่า คนเราเกิดมามีกรรมเก่าที่ต่างกัน การเกิดมาก็มีกรรมและบุญที่แตกต่างกัน และคนจึงเกิดมาใหม่ก็ไม่เหมือนกัน โดยสภาพ เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้คนที่มีสูงก็ดีกำลังใจต่ำต่ำก็ดีนั้น มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องรำลึกเตือนใจ ในสมัยต่อมาคำสวดมนต์อ้อนวอน ได้เป็นที่นิยมสวดแบบทำนองก็มี แบบคำสาบานตนก็มี เเบบเพลงสวดก็มี แบบโคลกลอนก็มี แบบธรรมดาก็มี และมีอีกหลายแบบที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดัดแปลงเป็นภาษาอื่น ๆ มีภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอื่น ๆ อีก ทั่วโลก รวมทั้งการสวดเป็นแบบภาษาบาลีที่ใช้เป็นภาษากลาง ทางพุทธวจนะของพุทธศาสนา สำหรับในประเทศไทยคือสวด มีที่ใช้ในโรงเรียน โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ หรือที่บางโรงเรียนใช้สวดก่อนเข้าเรียน หรือหลังการเคารพธงชาติ หรือบางโรงเรียนใช้สวดก่อนกลับบ้านตอนโรงเรียนเลิก คนสมัยใหม่มีหลักศรัทธาและความเชื่อในศาสนาอย่างมีเหตุผลมากขึ้น มักจะถามว่า การให้สวดอย่างนี้มีประโยชน์อะไร เพื่ออะไร คำตอบมีว่า ใช้สวดเพื่อ ทำให้เกิดสมาธิในเบื้องต้น ทำให้ใจสงบเยือเย็นหรือเป็นการะลึกถึงความดีสากล ที่ศาสนาพุทธมีต่อเรา ส่วนการสวดภาวนาตอนก่อนนอนนั้นได้อะไร คำตอบคือ ก็เมื่อคนเรามีปัญหาชีวิตตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาบ้านก่อนเข้ามุ้งนอน ก็ชำระจิตใจให้หมดจด แล้วก็ได้มีสมาธิ และหลับนอนได้อย่างมีสมาธิ มนุษย์เราลองคิดดูว่าก่อนเข้าห้องเรียน ถ้าจิตฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ
เพราะความสับสนวุ่นวายของสังคมในชีวิตประจำวัน ของทุกวินาทีที่ชีวิตและจิตสัมผัสกับโลกภายนอกและท่องเที่ยวไป ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ การรำลึกถึงพระรัตนตรัยจึงทำให้เราได้สมาธิ เพื่อการเรียนทันเพื่อนทันครู เมื่อเราตั้งได้ตั้งใจสวดมนต์ กล่าวคือการเข้าถึงสรณะและความนอบน้อม ต่อพระพุทธเจ้าก่อน มันดีอย่างนี้ ส่วนสำหรับก่อนเข้านอนตอนเย็น เมื่อสวดรำลึกแล้วจะได้สมาธิ จะลืมสิ่งทั้งหมดที่สะสมจากสิ่งที่พบเห็น ที่เกิดขึ้นมาทั้งวันให้หมดไป และจะได้ตั้งใจหลับให้สนิท เมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเข้าหลับนอน ผลที่จะตามมาก็คือการได้เรียนหนังสือที่มีสมาธิ แสดงว่าเรารู้หน้าที่แห่งการแบ่งแยก
ความคิดหรือการใช้สมาธิได้ ใช้สมาธิเป็น จะทำให้เราไม่เปลืองเวลาเปลืองเงิน เปลืองทรัพยากร ในการเรียนหนังสือ ถ้าไม่มีสมาธิตัวนี้หลังการเรียนแล้ว เราจะไม่ได้อะไรกลับ บ้าน ส่วนก่อนนอนเมื่อสวดแล้วก็เกิดสมาธิ ก็เพราะถ้าเรานำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งวันมาคิด แทนที่จะเป็นเวลาพักผ่อน อันไม่ควรคิดในเวลาที่ไม่ควรคิด คือคิดผิดที่จะคิด ผลที่ตามาคือการนอนนั้นจะไม่มาสามารถหลับ ลงได้ และเป็นไข้ในโอกาสต่อมา นี้เรียกว่าการไม่รู้จักหน้าที่ของเวลาว่า เวลานี้เป็นเวลาที่จะนอน หรือเวลานี้เป็นเวลาที่จะคิด สุดท้ายการสวดมนต์ดังกล่าว จึง ได้ผลในเบื้องต้น กล่าวคือทำจิตใจสงบ มีสมาธิ มีความสุขได้ในเบื้องต้น ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้ คือผลที่เราสามารถพิสูจน์ได้ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สรุปการมีจิตหลงใหลโดย มีที่พึ่งคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่เคารพสักการะแล้ว ย่อมทำให้เราประสบสันติสุขในชีวิตได้ คำสวดมนต์ที่ใช้ในโรงเรียน และที่วัด และทั้งที่เป็นประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องที่รำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ที่ใช้อยู่ มีดังนี้
คำสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้าขอเข้าถึง ซึ่งพระพุทธว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นที่สาม คำเหล่านี้เป็นคำสวดภาคภาษาบาลีก่อนเข้าโบสถ์ทำวัตรเช้าเย็นของพระภิกษุ ทั่วพระ ราชอาณาจักรไทย ที่มีทั้งคำไทยและคำบาลีนั้น จะใช้ในแบบสวดของแม่ชีตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ว่าสรุปแล้วเป็นการรำลึกถึง คุณพระศรีรัตนตรัย ก่อนที่จะสวดหรือจะดำเนินการในเรื่องอื่นต่อไป
นอกจากนั้น การรำลึกถึงสรณะนี้ มีอยู่เช่นตอนนำไหว้พระสวดมนต์ในทุกโอกาส ที่มีพิธีกรรมทางพระ คืองานที่มีพระมาร่วมและเป็นประธานพิธี หรือพิธีกรรมใด ๆ ที่จะทำให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น โดยส่วนที่ไม่ใช่ของพระสงฆ์ทำ และการมีการนำมากล่าวรำลึก ทั้งภาคในภาคภาษาบาลี และภาคภาษาไทย หรือเพียงภาษาไทยอย่างเดียว หรือเพียงภาษาบาลีอย่างเดียว หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ความเหมาะสม การรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยนั้น มิใช่เพียงแต่เรื่องการรำลึกเท่านั้น แต่ว่าต้อง รำลึกถึง เรื่องบุญคุณอันเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับชีวิตมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มีความจำเป็นที่ จะต้องเป็นคนไม่เนรคุณคนนี้เป็นปฐม นอกจากที่มี ศีลห้า และศีลแปดประจำตัวแล้ว ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ศีลห้าประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่มีชู้กับลูกเมียเขา ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา ศีลแปดประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด ไม่เสพกาม ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินอาหารหลังเที่ยงวัน ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ ไม่ใช้ดอกไม้และของหอม ทั้งหมดนี้คือศีล ห้า และศีลแปดตามลำดับ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ลองมาอ่านระเบียบกระทรวงศึกษาพิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓ ของ ม.ล. ปิ่น มาลากุล กันดูว่ามีอะไรบ้าง ด้วยกระทรวงศึกษาธิการ เห็นสมควรปรับปรุงระเบียบ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน เพื่อส่งเสริมศีลธรรมจรรยามารยาท และฝึกอบรมให้นักเรียนมีจิตใจ และนิสัยดีงาม ประพฤติในทางที่ดีที่ชอบ จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ ๑ . ระเบียบนี้เรียกว่า ?ระเบียบกระทรวงศึกษาการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ. ศ. ๒๕๐๓? ๒. ตั้งแต่วันใช้ระเบียบนี้ ให้ยกเลิกระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่ง ที่ขัดหรือแย้งกับ ระเบียบนี้ หรือที่ระเบียบนี้ กำหนดแล้ว ๓. ให้ใช้ระเบียบนี้ ในโรงเรียนและสถานศึกษา ในสังกัด และในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ ๔. ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อำนวยการ จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ เวลาเข้าแถวหลังเชิญธงชาติ ก่อนเข้าเรียนทุกวัน และตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ทุกสัปดาห์ เฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนอยู่ ประจำก็ดี ให้จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ ตอนก่อนที่จะเข้านอนเป็นประจำทุกคืนด้วย ๕. การสวดให้ใช้แบบสวดมนต์ไหว้พระท้ายระเบียบนี้ ๖. การสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง ให้ไหว้ครู อาจารย์ ทุกคนเข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระโดยพร้อมเพรียงกัน ๗. ตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ภายหลังการสวดมนต์ไหว้พระ ให้ไหว้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้โอวาทแก่นักเรียนเสร็จแล้ว ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ๘. ในกรณีที่นักเรียนที่มิได้นับถือศาสนาพุทธเรียนร่วมด้วย เวลาสวดมนต์ นักเรียนนั้นไม่ต้องเข้าร่วม แต่ถ้านักเรียนที่นับถือศาสนาอื่น มีจำนวนมาก เมื่อทางโรงเรียนเห็นสมควร จะให้มีการสวดมนต์แบบศาสนานั้น ๆ ด้วยก็ได้ โดยแยกนักเรียนไว้ในลัทธิศาสนา ๙. ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการเป็นไปตามระเบียบนี้ ๑๐. ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๐๓ วิธีปฏิบัติในการเข้าถึงพระรัตนตรัย ๑. แสงความเคารพ ๒. ประนมมือ ๓. ไหว้ ๔. กราบ การประณมมือ คือการกระพุ่มมือทั้งสอง ประณมมือมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ไว้ระหว่างอกเวลาสวดมนต์หรือฟังพระสวดและเทศน์ การไหว้ คือการยกมือที่ประณมแล้วดังกล่าวขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้มือประณมจรดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ในระหว่างคิ้ว แสดงความเคารพในขณะนั่งเก้าอี้หรือยืนอยู่ การกราบ คือการกราบลงกับพื้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้แก่การกราบด้วย องค์ ๕ คือ: เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง หน้าผาก หนึ่ง ให้ใช้กราบเมื่อนั่งอยู่ในสถานที่ที่จะกราบได้ เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคำร้อง องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลกิเลศมาร บ มิหม่นมิหมอองมัว หนึ่งนัยพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย พร้อมเบญจพิธจัก- ษุรัสวิมลใส เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ ข้า ฯ ขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร (กราบ) สวดสรรเสริญพระธรรมคุณ ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง ข้า ฯ ขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำนง ด้วยจิตและกายวาจา ฯ (กราบ) สวดสรรเสริญพระสังฆคุณ สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏิบัติมา แต่องค์สมเด็จภควันต์ เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร- ลุทางที่อัน ระงับและดับทุกข์ภัย โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร ปัญญาผ่องใส สะอาดและปราศมัวหมอง เหินห่างทางข้าศึกปอง บ มิลำพอง ด้วยกายและวาจาใจ เป็นเนื้อนาบุญอันไพ- ศาลแต่โลกัย และเกิดพิบูลย์พูนผล สมญาเอารสทศพล มีคุณอนนต์ เอนกจะนับเหลือตรา ข้า ฯ ขอนบหมู่พระศรา- พกทรงคุณา นุคุณประดุจรำพัน ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์ พระไตรรัตน์อัน อุดมดิเรกนิรัติศัย จงช่วยขจัดโพยภัย อันตรายใดใด จงดับและกลับเสื่อมสูญ ฯ (กราบ) ปัญญา มนุษย์ทุกคนเชื่อในเรื่องปัญญาเป็นสิ่งดีเลิศ สิ่งนี้ไม่เถียงปัญญาเป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่มีปัญญา คนเราก็ไม่สามารถเป็นคนทีดีได้ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ ในสมัยก่อนที่มนุษย์จะมีไฟใช้นั้น อาจจะมีคนคิดว่า ถ้าเราอยากมีแสงไฟใช้ในที่มืด เราจะทำอย่างไร เราก็จับตัวหิ่งห้อยมาผสมกันหลาย ๆ ตัวในกะลาหมากพร้า หรือในขวดแก้ว เราก็สามารถสร้างไฟได้ หนึ่งดวง หรือว่าถ้าหากว่าเราต้องการความอบอุ่น เราก็จับนกเป็น ๆ มาหลายตัว และขังมันรวมกัน แล้วอาศัยความอุ่นของมันโดยให้ไอความอุ่นของนกนั้นมาเป็นผ้าห่ม เพราะว่าอะไร เพราะเมื่อหิ่งห้อยที่ต้นลำพู ตามตลิ่งน้ำ นั้นนั้นมีแสงออกมาจากลำตัวของมัน มันมีมาเองแต่กำเนิด สำหรับมนุษย์ไม่มีสิ่งนี้ และความอบอุ่นของนกที่น่าอกของมัน มันอุ่นอย่างนั้นมาแต่เกิด มนุษย์ทุกคนอาจจะโง่ และคิดทำแสงไฟ และความอบอุ่นโดยวิธีที่กล่าวมาแล้วนั้นก็ ได้ ใครจะไปรู้ เพราะเขาไม่มีปัญญา แต่ทว่าปัจจุบันคนรู้จักใช้ไฟ และเครื่องให้ความอบอุ่นแล้ว เช่น ?เอดิสัน? เป็นผู้คิดแสงไฟ ได้ เพราะฉะนั้น ?เอดิสัน? จึงมีปัญญาในการช่วยเพื่อนมนุษย์ ให้มีแสงสว่างขึ้นมาใช้เป็นคนแรก นี้เราถือว่าเป็นภูมิปัญญาของมนุษย์ เพราะเมื่อโลกเกิดขึ้นมา มีพระอาทิตย์พระจันทร์ท่านั้น ที่ให้แสงสว่าง ในการที่เราจะใช้แสงแทนความมืดในเวลากาลางคืน และความอบอบอุ่นที่เราจะใช้ใน กลางคืนนั้น เราต้องทำเอาเองและเป็นเวลานานปีแล้ว มนุษย์อยู่มาได้และก็เป็นเวลา นานกว่าปีล่วงแล้วมานี้ ก็มีแสงสว่างขึ้นมาว่า มนุษย์มีปัญญา พระพุทธเจ้าก็ชมว่า ?ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก? แต่ทว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญา เพื่อการพ้นทุกข์ ไปจากการมีความทุกข์ในโลกนี้ด้วย จึงจัดว่ามีปัญญา ส่วนที่พึ่งมันเกี่ยวอะไรกับปัญญา คำตอบอย่างง่ายมีว่า ก็คนที่มีปัญญานั้นอย่างไร ที่รู้จักหาที่พึ่ง เพราะที่พึ่งคือพระรัตนตรัยนั้นทำให้เกิดเป็นปัญญา และพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย คนหลายคนอาจจะบอกว่า ?ตนแลเป็นที่พึ่งของตน? แต่ทำไมต้องมาพึ่งพาพระรัตนตรัยด้วย อันนี้เป็นการเข้าใจผิดความหมายของคำว่าที่พึ่ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ กล่าวคือ ธรรมะของพุทธเจ้ามิใช่กฎหมาย แต่เป็นคำสอนจึงไม่ขัดแย้งกัน เราต้องเน้นที่การรู้จักที่พึ่ง เพราะคนพบว่าที่พึ่งเป็นความหมายกว้าง เพราะฉะนั้นการพึ่งตนเองมีอะไร และการพึ่งตนเองนั้นสำคัญอย่างไร
การพึ่งตนเองมีความสำคัญมาก เพราะคนเราจะพึ่งตนเองได้ ก็เพราะว่าคนนั้นรู้จักใช้ปัญญาของตนเองพึ่งพระรัตนตรัยนั้นอย่างไง แล้วพระรัตนตรัยจะดลบันดาลให้เราสำนึกในสิ่งที่ดีงาม อาทิ เช่น กาล เวลาเราเลือกสิ่งที่น่าพึ่ง เช่น มีทางสองทางให้เราเลือก คือทางหนึ่งเป็นทางคนขี้เมา สนุกสนาน ทางหนึ่งเป็นทางคนคงแก่เรียน คืนหนึ่งเราเหงา เราจะไปหาใคร ถ้าเราแวะไปหาคนแก่เรียน คนแก่เรียนก็จะชวนเราขยันดูหนังสือ คุยในเรื่องที่เรียน ถ้าเราแวะไปหา ความสนุกกับคนขี้เมา เพื่อบรรเทาความเหงาของเรา เราก็จะพบการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น เหล้าคือน้ำวิวาท ในระดับนี้เราใช้ปัญญาในการเลือกฝัน เมื่อเลือกถูกแล้วเราก็ชื่อว่า มีปัญญาที่เลือกถูกหรือเปล่า ถ้ามีปัญญาเลือกถูก เราเลือกคบคนคงแก่เรียน เราก็จะมีอนาคตที่มีอะไรที่ดีกว่า เพราะอะไร เพราะว่าคนคงแก่เรียน เมื่อเรียนมากย่อมได้ความรู้มาก และมีเหตุผลมาก และจะมีจะเป็นกัลยาณมิตร(เพื่อน) ที่ดีซื่อตรงต่อกัน แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่คงแก่เรียนจะชวนเราดื่มเหล้า เราก็จะตกนรกต่อไป การเรียนของเราก็เสีย ติดเหล้าอีกต่างหาก นี้ก็เช่นกัน คนที่รู้จักพึ่งพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรก เขาย่อมที่จะได้เดินไปสู่ดินแดนที่เปี่ยมสุขยิ่งไปกว่าความสุขที่สูงยิ่งขึ้นไปอีกเป็นดังนี้


บทที่๔
สรุป
สรุปความว่า คนที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือคนที่มีปัญญางาม และถือว่าเป็นคนที่รู้จักพึ่งตนเอง เพราะการรู้จักเลือกมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็คือการรู้จักใช้ปัญญาพึ่งตนเอง คนสมัยปัจจุบันนี้ ย่อมยกย่องคนที่รู้จักตนเอง ในที่นี่คือคนที่รู้จักพึ่งตนเอง และทำตนเองให้มีประโยชน์ นั่นคือรู้ว่าอะไรพึ่งได้ อะไรที่พึ่งไม่ได้ รู้จักกำหนดใจตนเอง รู้จักทำให้ชีวิตตนเองรู้จักในการทำตนเอง ให้มีหน้าที่ในการเป็นคนดีและรู้จักทำตนเองให้รู้จักการมีความรับผิดชอบที่ดี
การรู้ว่าพระรัตนตรัยนั้นเป็นสิ่งที่ควรโน้มนำมาพึ่งได้ เรียกว่าการเป็นคนที่รู้จักรักษาตัวรอด เอาตัวรอดได้ คนแบบนี้ถือว่าว่ารู้จักพึ่งตนเอง ตามหลักแล้ว ?ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน ? เพราะว่า คนเราเมื่อรู้จัก มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็รู้จักกำหนดใจตนเองด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยใครมาช่วยกำหนดใจของตนเอง เพื่อให้การกระทำในสิ่งที่ดีจะมีแก่ตนเองเท่านั้น การกระทำนั้นจะทำได้นั้น ถือว่าตนเองได้ใช้ปัญญา ให้เป็นเครื่องรักษาตัวรอดได้ เพราะว่า ตนเองได้ใช้ปัญญาเลือกว่า พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ และถือพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นแสงสว่างในโลก มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะปัญญาของตนเองและรู้จักพึ่งตนเอง ใช้ปัญญาคิดให้กับชีวิตแล้ว ชีวิตตนเองก็จะไม่มัวหมอง ปลอดภัย สุขสวัสดี ไม่เจ็บไม่ไข้ได้ และไม่มีอุบัติเหตุ ตลอดชีวิตและตลอดเวลา มีความสุข แสดงว่า คน ๆ นั้นรู้จักใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ คือรู้จักนึกนำเอาปัญญามาใช้พระรัตนตรัยให้เป็นประโยชน์ ในชีวิตประจำวัน ก็เท่ากับว่ายอมรับว่า ปัญญาที่ตนเองใช้นั้น ว่าเป็นสิ่งเลอเลิศ เพราะรู้จักการตัดสินใจปฏิบัติโดยชอบ ด้วยปัญญาที่ตนไตร่ตรองแล้วนั้น ก็เท่ากับ ยอมรับว่า ?ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก? เพราะฉะนั้น บุคคลดังกล่าว ถือว่ารู้จักมีปัญญารู้รักษาตัวรอดอันถือว่าเป็นยอดดี ยอดคน โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและให้เป็นสรณะกับตนเอง เพื่อกำหนดให้ ชีวิตและจิตใจตนเอง ได้ มีความสงบ มีใจที่เป็นระเบียบเรียบร้อย อันทำให้ตัวปัญญาในระดับสูงเจริญต่อไป และรู้จักพึ่งตนเองพึ่งพระรัตนตรัยในระดับที่สูงขึ้นไปกว่า
เนื่องจากว่า คนเรานั้นต้องพึงพ่อแม่ ครูอาจารย์ เมื่อวัยเยาว์เท่านั้น แต่เมื่อเติบใหญ่แล้ว คนทุกคนต้องพึ่งตนเองเท่านั้น และพระรัตนตรัยนี้เองคือเพื่อนที่เราเคารพ ตั้งแต่วัยเยาว์จนตราบเท่าวัยชราได้ โดยไม่สิ้นเปลืองอะไร และแม้แต่ในชาติหน้าต่อไป การพึ่ง พระรัตนตรัยนี้ยังมีผลที่คุ้มค่าทั้งชาตินี้และต่อไปในชาติหน้าอีกด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม การเป็นคนที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง และการเป็นคนที่ไม่ยอมรับว่าปัญญาเป็นแสงสว่างในโลกแล้ว โดยเฉพาะการไม่ยอมรับว่าพระรัตนตรัย คือแก้วสามประการ ที่เราควรยึดเหนี่ยว ไว้เป็นที่พึ่งไว้เป็นสรณะแล้วไซร้ บุคคลนั้นย่อมหม่นหมอง ย่อมถึงซึ่งความประมาท ย่อมถึงซึ่งความเป็นคนมีความฉิบหายติดตัว ย่อมถึงซึ่งความพินาศฉิบหาย และขาดเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่สามารถเป็นคนที่ดีของสังคมของโลกได้ เพราะไม่รู้จักว่าพระรัตนตรัยคืออะไร และมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งดังนี้แล

บรรณานุกรม
พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี ปธ.๖ )ราชบัณฑิต เมื่อเราบวช โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง กรุงเทพฯ ๒๕๒๑
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ศาสนาสากล โรงพิมพ์ ส. ธรรมภักดี กรุงเทพ ฯ ๒๕๒๓
พระไตรปิฏก พิมพ์ที่โรงพิมพ์ กรมการศาสนา กรุงเทพ ฯ๒๕๒๕
บทสวดมนต์ไหว้พระ เอส พี สเตชั่นเนอรี่ กรุงเทพฯ ๒๕๐๖