วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2566

ลิเทลตอน2

ลิเทลตอน2




ลิเทลตอน2
วันนั้นเป็นฤดูหนาว คิมานเดินด้วยเท้าบูทหนังสัตว์แต่งตัวดี รูปสมาร์ทใครเห็นจะอดมองไม่ได้ ไปบนเส้นทางไปสวรรค์ บนเส้นทางสายนี้มีรถมากมาย ในจำนนนั้นมีรถของลอร์ลิเทลด้วยกำลังวิ่งไปงานรังสรรค์ราตรีวิทวัสที่ปราสาทเบตา
      สำหรับคิมานกำลังเดินทางไกลบังเอิญบนเส้นทางเดียวกัน โดยมิได้นัดหมาย จุดประสงค์ของคิมานกำลังเดินทางเพื่อไปหาคลำหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าที่ทุ่งโอเฟ ๆ ติดกับเส้นทางสวรรค์สายนี้พอดี
        คิมานชอบกินน้ำค้างจากหยอดหญ้าเพราะเทพวิเกสอนมาตอนที่คิมานไปพักผ่อนกับ
ท่านเพื่อเรียนศาสตร์วิเศษหายตัวได้และอยู่ยงคงกระพันในสมัยวัยเยาว์
      "ท่านวิเก"เป็นสามัญชนและเป็นลูกทาสในครอบครัวที่ดูแลคอกควายเผือกแห่งฟาร์มใหญ่ที่ชื่อว่า"มอนเน"
มีท่านเทพ"มอนเน"เป็นเจ้าของ
        หลายคนรู้จักพฤติกรรมประหลาดๆของคิมานและลอร์ดลิเทลดี
และก็ตำกนิว่าขุนนางเดิดมาดีแค่ทำไมชอบทำชีวิตติดดินที่จริงควรอยู่บนท้องฟ้าและอยู่แต่ในประสาท
บนโลกแห่งแผ่นดินใต้สวรรค์ที่ท่านจุติเดิดมาเป็นเจ้าในร่างมนุษย์
           
          หลายคนไม่รู้ความเป็นมาแต่มีปราชญ์แสนรู้เรียนสูงบางคนเท่านั้นบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนวิชาเทววิทยา
   
          คำอธิบายมีอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง"ศาสนามิลานา"อันศักดิ์สิทธิ์และสุดขมังเวทย์ในอวกาศและโลกมนุษย์น้อยคนนักมีความสามารถที่จะนับถือศาสนานี้
  
            กล่าวคือทั้งลอร์ดลิเทลและลอร์ดคิมานนั่นถูกอาญาสิทธิ์ให้แปลงร่าง
มาในรูปมนุษย์เพื่อตรวจตรา ความลำบากของทาสและขุนนาง
ในการดำรงชีวิตและการสูญเสียแรงงานเพื่อทำกินและมีชีวิตรอด
    
            และลอร์ดลิเทลเองนั้นในพระคัมภีร์ของศาสนามิลานาบอกว่าในชาติก่อนเคยเกิดเป็นกบทองคำอยู่รวมกันในบึงมิเชอันเงียบเหงา
และต่อมาหลังจาก กบทองคำเพืาอนกันทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อจับไปทอดกินแกล้มในฤูกาลฤดูที่ฝนตกหนัก เพราะเสียงร้องอันเพราะพริ้งสะเทือนฟ้ายามฝนมาตอนนั้นกำลังผสมพันธุ์โดยลอร์ดคิมานเป็นกบตัวผู้ส่วนลอร์ดลิเทลเป็นกบทองคำสาวตัวเมีย
            เมื่อกบทองคำทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อพาไปย่างและทอดกินแกล้มเหล้าฤทธิ์แรงเสร็จ ขณะตายกบทั่งสองได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ขณะเกิดได้รับโองการจากเทพอสูรผู้คุมขะตากรรทสัตว์โลกบนพื้นปฐพีให้เป็นไปได้
           เพื่อลิขิตให้กบทองคำทั้งสอง ไปเกิดเป็นมนุษย์ และไปสืบห่ความสุขทุกช์ของมนุษย์ทุกคน ว่าใครมีความลำบากอะไรและจะให้เทพอสูรช่วยแก้ไขอย่างไร เพื่อให้มนุษยชาติทุกๆคนได้มีความสุขสุนทรีย์ทุกถ้วนหน้ากัน
        เหตุที่อสูรมองไม่เห็นด้วยตาตนเองเพราะแกก้ววิเศษของเทพอสูรถูกยิปซีคนหนึ่งบนสวรรค์และจอมซนขโมยไป ด้วยเหตุนี้ เทพอสูรจึงมองอะไรด้วยตาญาณหยั่งรู้เห็นอะไรได้
ตามใจนึก
         จึงใช้อำนาจที่ตนมีดลบันดาล
ให้ตนเองสามารถลิขิตชีวิตชะตากรรมของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดทั้งมวลได้ตามใจชอบ  
         เทพอสูรจึงลิขิตให้ลิเทลและคิมานมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นขุนนางและเลิกใช้ความเป็นขุนนางที่ตนเป็นแต่ให้ไปคลุกคลีสังคมกับพวกทาสและประชาชนธรรมดาเพื่อแสวงหาสัจจะและความจริงแท้ในสรรพสิ่ง
       ลอร์ดลิเทลจึงกลายเป็นคนอย่างทาสแต่มีใจเป็นมโนธรรมสูงสุด
ลอร์ดคิมานก็เช่นกัน
สนุปง่าบๆคือ ลิเทลและคิมานเกิดเป็นขุนนางแต่ประสบภับปัญหาชีวิตวิบัติจนตกไปอยู่ในกำมือของ
จารชนและพวกทาสที่ขาดมโนธรรม
ในขั้นตอนต่อๆมา
         จากปรัชญามนุษน์มีมโนธรรมแห่งความดีเป็นสมบัติฉะนั่นคำว่ารวยจนยากไร้เข็ญใจและพรมแดนที่อยู่ไม่มี
  
        อะไรมาขวางกั้นมโนธรรมแห่งควสมดีนี้ได้   แต่บางคนที่เป็นมนุษย์เลวไม่เชื่อว่า"มโนธรรมแห่งความดีไม่มีอยู่จริง "เป็นผลให้เกิดความริษยาหึงหวงเกิดสงครามจลาจลเกิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่วเป็นฐาน
          สรุปอีกครั้งในชาติก่อน ลิเทลและคิมานเป็นคู่รักกันในชาติที่เกิดเป็นกบทอคำ และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งสองได้มาเกิดเป็นขุนนางตกยาก
แต่มิได้เป็นพี่น้องกัน แต่ลิเทลมาพบ
     คิมานตอนเดินทางไปงานวิทวัสราตรี
บนเส้นทางสวรรค์และได้พบกับคิมานโดยลังเอิญ
ขณะที่คิมานไปหาเก็บยอดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟรนั่นเองได่พบกับลอร์ดลิเทล
ที่กำลังขับรถมา ทันทีที่ลิเทลเห็น
คิมานก็นึกชอบคิมานอยากเป็นกัลยาณมิตรด้วยคืออยากเป็นเพื่อนด้วย ลิเทลจึงออกปากชวนคิมานไปงานราตรีวิทวัสด้วยกัน
โดยลิเทลเสนอให้คิมานนั่งรถยนต์ไปด้วนกัน รถยนต์ของลิเทลนั่น
เป็นรถฟอร์ดอัสตินคันสีเขียว
ไม่กินน้ำมัน
        คิมานหลังจากเหนื่อยมาจากเดินวนหา เที่ยวเร่ร่อนไปเพื่อหากินดอกน้ำค้างบริสุทธิ์น้ำใสบนยอดหญ้า ที่ผุดปรากฏคล้ายใยแมงมุมตามทุ่งโอเฟ ในตอนเช้า
จากทุ่งโอเฟและเหนื่อยจึงตอบตกลงกับลิเทลทันที
"ไปก็ไป"" คิมานตอบรับ

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

คิมาน1.ลอร์ดลิเทล

       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น

          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา

      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น

       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"

      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว

          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล

       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด

        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร

       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน

        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล

      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน
ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงครามได้เกิดขึ้นแต่นั้น
มา















       

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"(4820)

     ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"
(4820)




"เมคะนอสารถาพเรื่องสตรีเพศ"
         เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
         ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศวายๆเอกซ์ๆน่ะหลังประสบการณ์ตัวนี้
        เพราะจุดนี้เองที่มันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุก
       ผมเมคะนอเคยอกหัก2ครั้ง
ในชีวิต
      "  เนฟฟังจบแล้วเฉยพร้อมแสดงอาการตกกระใจนิดๆให้เขาเห็น"
เมคะนอกล่าวต่อ
"ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาเมื่อตะกี้ และด้วยรนี้ละ่กระมังผมจึงอยากออมาจากเมืองโหราอินเพื่อพเนจรมาขอลี้ภัยที่นี้ด้วยอันเป็นสาเหตุบวกของผม
"ทันทีที่เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม

     เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่คุยอะไร?
เนฟรู้จักแต่ยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอเป็น"ผู้ชายคนนี้มแปลก"

      แต่ไม่สำหรับพระจ้าพระองค์ท่านมิใช่คนเมืองจิ "เมคะนอเชื่อ"
     เมคะนอเชื่อว่าพระเจ้าคง
ไม่อาย้ดตัดตอนสื่อสารอะไรเราที่เป็นมนุษย์เพราะเหตุผลอันดีงามของพระองค์ และกระนั้นการกระทำของพระองค์ที่ไม่มีใครเห็นได้เลยคือ"ลับมีแต่ลมจะเห็นได้ก็แต่แรงโน้มถ่วงของความลับ""
และการกระทำของพระองค์จะมีอุบัติการณ์ปรากฏออกมา
    นอกจากท่านเทพอสูรตนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ทำลายมนุษย์
     ที่หลายคนเชื่อว่าท่านชั่วร้ายและอาจจะทำด้วยมิติแห่งความพลั้งเผลอ
จากลูกน้องทีาเป็ยเสมือนหนึ่งเป็น"ยมพบาล"ตามวรรณคดีที่ครีเอท(create) ขึ้นมาน่าเชื่อถือและเป็นที่เป็นทุจริตชน
    
   ก็ ถ้าภาษาเราไม่ดีพอมันอาจจะทำให้เข้าใจผิดกันได้
เคยพูดมาแล้วเนฟจะใช้เข็มมีด้ายเย็บปากเอาไว้
ด้วยภาษาที่ตนเองพูดไม่เป็น
พูดไปสองไพเบี้ยและเสียเวลาที่หายไปเพื่อข้อมูลวิจัย ไม่พูดเสียเป็นตำลึงทอง และไมรทำให่ซูกิเหนื่อยอีกด้วย ที่สำคัญซูจิก็เป็นล่ามพูดเป็นภาษาเจอร์ซี่  (jer c y= ภาษาปรวนๆ)ค็อกนี่(c o c k n e y=ภาษาต่ำๆมิใช่ทางการ) อีกด้วยเพราะ
เมคะนอเป็นต่างด้าว

        แต่เนฟฟังสื่อและอาการรู้ ด้วยสัญชาตญาณชน  อฃะภาษาใบ้และอากัปกิริยาอาการและการกินกระท่อมการดูดกัญชานั่นเขาที่เมืองจินี้เขาทำงัยกัน !
      แต่บางส่วนบางส่วนเนฟได้อัดเทปมาให้ซูจิอ่านฟังสำนวนแปลให้อีกครั้งแล้วเนฟจึงมาเรียบเรียงรายงานปรับเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ


          


         ที่นี่เป็นหมูบ้านกัญชาและกระท่อม เนฟขอให้มันแต่ชื่อหมู่บ้านนี้คือ"คะธาและมายตาย" 2หมู่บ้านชื่อติดกันเพราะมันอยู่ติดกันเพียงคลองเป็นเส้นแบ่งเท่านั้นมีบ้านนับได้
บ้านส่วนหนึ่งเป็นกระจุกส่วนหนึ่งแยกห่างกัน เดิมมีคนรักกันมีหนึ่งคู่
รักกันมากคือวันสมรสพอเสร็จพิธีก็ลงไปลอยคอดื่มน้ำปึ้งพระจันที่คลอง"เกชาน"หน้าบ้านนั่นเอง
แก้ผ้าเปลือยทั้งคู่เป็นประเพณี
ในหมู่บ้านนี้ถ้าลงอาบน้ำในคลองนี้ต้องแก้ผ้าหมด  เพราะถือว่าเป็นการชำระมลทินเป็นความเชื่อน้อยๆว่าคลองเกชานนี้เป็นคลองศักดิ์สิทธิ์ดุจดั่งแม่น้ำคงคาของอินเดียทีเดียว
       แต่วันนั้นทั้งคู่ได้เสียชีวิตและเธอคือ"คะธา"และ"มายตาย"นั่นเอง
เพราะถูกงูเห่าน้ำกัดปกติที่คลองนี้
ไม่มีงูเห่าน้ำ จะมีเพียงปลาปู่และปลาตะเพียนสีทองที่คนหม๊บ้านนี้ไม่กินเพร่ะถถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเทพเจ้าคอยรักษาคลองนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปีนับได้7ชั่วคนได้ "ซูจิเป็นคนเล่าและยืนยัน"
 บังเอิญวันที่คะธาและมายตายนนั้นตายลงเพราะพิษงูเห่าน้ำกัดตาย
เป็นงูที่ มีคนไม่รู้จักนำมาปล่อยไว้
ในช่วงน้ำหบากเพราะคิดว่าเป็นลูกปลาบู่
        ที่รู้ว่าทั่งคู่รักถูกงูเห่ากัดตาย
เพราะทั้งคะธาและมายตายและงูกอดรัดกันแน่นอยู่ ตาคลินีมาหาเม็ดทรายไปปักธูปเพื่ทำพลีกรรมบางอย่างได้เดิมาที่ท่าน้ำ"เกชาน" นั่นตอนบเช้าหลังงานแต่งงานเสร็จเมื่อวานของคะธาและมายตาบพอดี
พบศพที่ริมคลองททั้งงูและคะําและมายตายตายศพททั้งสองนอนทับงูอยู่

ต่อมาทางหมู่บ้านจึงคั่งชื่อหมู่บ้านนี้
ว่าหมู่บ้านคะธาและมายตาย
นั่นเองทางสภาเมืองจิรับรองเรื่องนี้
จากอดีตหมู่บ้านนี้ไม่มีชื่อมีแต่ต้นกระท่อมตามริมคลอง และกัญชาตามป่สละเมาะแดดรำไรเรียกได้ว่าเป็นทุ่วเลยทีเดียวส่วนตามไกลเขา
"นับนาน" ใกล้คลองเกชานมีทุ่งฝิ่น
ที่นี่จึงเป็นสวนสมุนไพรตัวสำคัญของเมืองจิในอดีต แต่ต่อมาเมื่อบางเมืองประกาศวมุนไพรชนิดนี้เป็นยาเสพติดให้โทษประเ
ภทหนึ่ง ทุงกัญชาป่ากระท่อม ทุ่งฝิ่น
จึงค่อยๆหมดไปแต่กบับกระจายมาอยู่ตามถนนและตามบ้านใรเมืองจิทั่วไปและคนเมืองคะธาและมายตายถือว่ากัญขากระท่อมฝิ่นนี้เป็นยาของเทพเจ้าพระองค์ที่ประทานให้มนุษย์
เพราะทรงเห็นว่ามนุษย์ที่คะธาและมายตายนั้นลำบากและเป็นคนมีมโนธรรมกว่าสัตว์เดรัจฉาน
       ประวัติโดยย่อของหมู่บ้านทั้งสองนี้มีดังนี้แล


แต่เมคะนอ มาทำชีวิตลี้ภัยแบบ
ลูนาติกไซเลม(lunatic asylem)ที่บ้านคะธานี้มิใช่เพราะเหตุาถรรพณ์ใดๆหรือมีสมุนไะรต้องห้ามในเใทองโหราอินขึ้นอยู่ก็หาไ
ม่
เเต่เขามาอยู่ที่นี้ได้โดยบังเอิญด้วยเงินซื้อสัญชาติของเขาและตอนที่
เมคะนอมาอยู่ที่นี้ทุ่งยาเสพติดทุกอย่างมันไม่มีสภาพเป็นทุ่งไปแล้ว
แต่เป็นสภาพวัขพืชขึ้นทั่วไปหมด
ตามถนนหนทางและหมู่บ้านและในเมือง แทนวัขพืชชนิดอื่นเช่ยหญ้าแพรกหญ้าเกรยและหญ้าปากควาย
เพราะมันจะโดนเหยียบแล้วเหยียบอีกเพื่อคนเข้ามาเด็ดใบกระท่อมมากินและมาเด็ดดอกกัญชาแห้งไปสูบอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
      คนที่นี่ถือว่ากัญชากระท่อมและฝิ่นเป็นอาหารชนิดหนึ่ง และกฎหมายเมืองจิกำหนดให้เสรี ยกเว้นยาบ้ายาม้าที่สกัดจากสารเคมีผสมสูตรถ้าตำรวจพบที่ใครมีโทษหนักมาก
      คือจะเนรเทศไปอยู่เกาะร้างที่มีงู
มีพิษชุมและตายที่นนั่นทุกคน โทษนี้เทียบเท่าโทษประหารชีวิตนั่นเอง
ทางเมืองจิจะประกาศเป็นเสรีทุกอย่าง แต่เคยคือไม่ผ่านสภาเลยสักครั้ง มีการต่อสู้กันมานมนานแล้ว ขณะที่เนฟเดินทางมาถึงเมืองจินี้กฎหมายทุกอย่างยังเหมือนเดิมเว้นกัญชากระท่อมฝิ่นและกาแฟชาที่เสรีสุดขีด
เคยพบว่าคนเสนอสถาให้ยาบ่ายาม้าเป็นสิ่งเสพติดเสรีด้วยแต่ถูกจับเรฝนรเทผสปล่ิยเดาะเพราะพบมีสิางผิดๆเหล่สนี้ไว้ใรครอยครองขณะไแหาเสียงเสนอกฎหมายนี้
ที่สภาและตายที่เกาะร้างดังกล่าว

        อนึ่งเกาะร้างนี้เป็นเกาะเล็กๆ
ที่ทางเมืองจิกำกนดให้นักโทษเด็ดขาดและหนักขั้นประหารชีวิตเท่า
นั้นอยู่ได้คนละหนึ่งเกาะเท่านั้น และตามแต่ละเกาะมีทะเลรอบเกา
ะมีปลาฉลามเสือชุกชุมและไม่มีเรือเดินน้อยใหญ่แล่นผ่านเพราะมีหินโสโครกจำนวนมาก มีประภาคารปรากฏอยู่










ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3


Attention :เหตุผลมิใช่"สีเทา"ที่นำมาผนวกลงที่นี่เพราะการนำเรื่องขึ้นแท่นมีปัญหาเทคนิคแต่ที่บล็อกไม่
มีปัญหาเพื่อประโยชน์ผู้ติดตาม
งานนี้มีประมาณ1320ท่านได้พบทางเลือก "ขอขอบคุณและขอประทานอภัยในความไม่สะดวกด้วยในทุกรณีที่เป็นจริง"

ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
    
         แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อาหรับเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"
เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพูดพร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก หตุผลเพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก พ่อของเธอไม่ชอบ "จบ"
ที่ชอบกันตอนไปตีผึ้งที่คุ้งนางแมว
เอามุ้งไปให้เธอนั่งในแล้วมองดู
ส่วนตนเองใบหรี่มวนเดียว
ได้น้ำผึ้ง5ขวดขายได้ซื้อกะโปรงให้เธอ1ตัวหลังจากนั้นเราก็รักกัน
และแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันที่คุ้งนางแมวนั้นแต่ไม่มีหรือทำอะไรหรือแตะต้องตัวกัน
"เธออมยิ้ม"
แต่แฟนชื่อว่า"สิรา"ฟญิงคนนี้และเธอคนนี้ที่เใตะนอจ้องจดจำ หล่อนเป็นชาวเมืองหลวงของเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเมคะนอเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"กองวาหรือหน้าผาคองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ
   "   เมคะนอ"มิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทยที่จะชอบผู้ชายที่ใจยังว่าง
          และเนฟไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือขะเรียกวาาลูกค้าเป็นโปรสเปกตัส=prospectus ของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น
    เมคะนอ  เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้นรถไฟที่ชานชาลาเปลี่ยวๆชิ่อว่า"เมคาตอฟ"ชื่อทางการ เหตุเกิดที่ ณ.สถานีรถไฟ เมคาตอฟในเช้าตรู่วันหนึ่ง
        เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบกระท่อมที่ห้อมส่ถุงพลาสติกไว้กันแห้งและพกพา
       และเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดๆแทนมื้อข้าวเช้าที่สถานีรถไฟ ส่วน ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครองใบละ100โหรอิน
(สกุลเงินเมืองโหราอิน)
       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพาใส่ขวดนำพาไปไหนได้
แบบคนแก่พกขวดยาลม
      แต่แบบผงมิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินเนฟพบว่าสิ่งที่เม
คะนอเล่าแปลกมาก เขาไมพูดเรื่องว่าแก้เบาหวาน แต่แก้หิวแก้เหนื่อยมากกว่า
      ที่โหราอินพอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎหมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินก็ไม่ต่อต้าน

       ถ้าหากว่าประชาชนในเมืองนี้ผิดหวังในการปกครอง เพราะเอาเวลาไปทำมาหากินกันส่วนใหญ่
แต่ว่าใรความเงียบเขาสาปแช่งแทน
เพราะเดขาถือว่าคำสาปเป็รแรงเช่นเดียวกับ"หลุมดำและแรงความโน้มถ่วง
       
       บางกรณีมีการลอบสังหา
รนักกกาเมืองตัวการทีาคบชู้กับเทียหัวคะแนน การลอบดักสังหารตัวนัก
การเมืองนี้มีอยู่ แต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจที่นั่น"ไวเท่ามือถือเป็น"  ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข้มงวด ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อมทิ้งให้หมดทุกบ้านที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่วประเทศ
ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
       คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้งคนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งทุก10ปี
อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีกระทรวงใบยาสูบ
      
    เนฟพบว่า   หลังเขาหืดเข้าปอด
เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย เหมือนเดินอยู่บนสวรรค์
พอเขาหืดเข้าปอดเสร็จเขาก็ไอและจามมันนิดๆ นั่นแสดงว่ากฃไกชีวิต
สุขภาพของเขาบางครั้งมันไม่ตอบรับควันกัญชามันนั่นเอง
     
     ทีนี้เมคะนอ จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาชนิดดูดลมในกระปุกน้
ำที่มุไฟจุดเลนแล้วใช้หืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบงิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี
คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
"เนฟกล่าวต่อ"
        ผมชอบควันเพราะควันมันเหมือนตอนเข้าโบสถ์
ที่มรโบสถ์มีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีเทพเจ้าครับที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
      เมคะนอพูดต่อว่า"เขาไม่ชอบผู้
หญิง"" มิใช่หมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ดูดกัญชามีประปราย

สสสสสสวส


        ชนิดฝนพรำโจรจะออกหากินยังกะอึ่งปากขวดตื่นขึ้นมาในเวลาฝนตกห่าใหญ่ บนทุ่งนาที่ร้อนจัดมาแรมเดือนและขาดฝนมาหลายเดือน" ร้องระงม" จากความคิดนี้ควสมโง่ของอึ่งเท่ากับความฉลาดของโจร
ความบริสุทธิ์ของอึ่งอาชีพดินไม่เดือดร้อนใครแต่ถูกทารุณกรรมโดนจับกินเพราะความโง่ของตน ที่ดัน
ร้องให้คนมีรสนิยมกินอึ่งและครับฉมวกแทงกบหรืออึ่งไวขงจะรู้ดี เหมือนโจรใจบาปที่มองตัวเองไม่เป็นท้ายสุดคุกและตารางคือแดนสุดท้ายคือสิ่งเชิงลบนี้มาเป็นอมตธรรมของตนเองนั้นเเล
      เช่นการขโมยของเพื่อนมนุษย์มันบั่นทอนจิตใจเพื่อนให้อีกฝ่ายที่โง่และอ่อนแอและอ่อนแอ และคน ที้ปกครองง่าย และยอมทำตามอิทธิพลมืดตลอดก็ยังโดยโจรฉกดดั่งงูพิษกัดคนไม่เว้นจะเป็นคนดีคนชั่วนั่น โจรทำงี้มันไม่ดีเลย"เมคะนอคิด"" แต่เนฟนั่งฟังความในใจของเขา
      และอย่างที่สำคัญ สุดยอดมากเอาตัวรอดด้วยการทำโตรกรรมที่นจับไม่ได้ชนิดมีดแทงบาด
     แต่พบไมมีบาดแผลว่าใครเป็นคนทำ
   

          ประเด็นนี้ต่อมาพวกที่สมญาตนเองว่าเป็นพวกชนอนาคีย์ปลอมๆนี้เเม้"เมคะนอ"พบว่า"สิ่งนี้"เป็นเหตุร้ายที่ทำให้เกิดสงครามทางมหาชนจลาจลขึ้นอันเป็นชนวนก่อเหตุปั่นป่วนต่อรัฐ ถ้ารัฐใดอ่อนแอก็จะล้ม ถ้ามีจลาจลเกิดขึ้น
           เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด
ว่ามีการใช้อำนาจสีเทาต่อกันจนกลา
ย เป็นดลายเป็นการเดินขบวนและเกิดกบฎรัฐประหารอันรุนแรงของบางรัฐ
      จากชนวนเหตุที่เกิดเชิงสีเทาแบบนี้ในจุดปฐมฐานมาก่อน
      ที่เมืองจินี่จึงมีกฎหมายขี้นมาว่า
การลักขโมยมิใช่การเอาของคนอื่นซึ่งหน้าและจับได้เท่านั้น
        แต่การลักขโมยอาจจะเกิดจากองค์ประกอบอื่นๆที่เป็นการขโมยแบบ"สีเทา" หรือฟอกเงิน" คือมีเจตนาทำ
        แต่ผลคนที่ถูกลักขโมยก็ถูกขโมยของไปหมดอย่างน่าเกลียด
ที่มีฟิเวอร์(fever)คนดีถูกทำที่มีองค์ประกอบในปริบทแบบชิลๆ
คือปริทรรศน์ของวิธีที่การที่คนถูกขโมยสิ่งของ ทั้งที่จับได้แต่คลายไม่ออกและก็ถูกโจษจันว่าเป็นขโมย
       
         และทั้งจริงไม่จริงใกล้เความจริงเช่นกัน จนบางครั้งตำรวจนำไปทำจับเท็จกับเครื่องๆยังเหนียมอายจะจับเท็จก็ยังไม่อยากจะพูดด้วยเลย กัลคนขี้ขโมยททั้งหลายที่แสดงบทเป็นผู้ชำนาญการขโมยในโลกเชิงลบ
แล้วยังมีขโมยชนิด"อนาคิชต์"=(อนาธิปัต์ เป็นปรัชญา อย่าตีความตามตัวอักษรเกินไปแล้วจะเข้าใจดีว่าพวกเขาคืออะไร)เนฟเคยเรียนปรัชญาปรูดอนท่านผู้นี้ ตอนเรียนหน่วยกิตทางรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบลนดิสกี
ก็มีพวกมั่วนิ่มโมเมใช้ ปรัชญาอนาธิปัตย์เพืนอประโยชน์ส่วนตนที่เขายืมแม่บทปรัชญาอนาคิชต์มาใช้บังหน้าลักสิ่งของไป"เนฟเข้าใจอย่างนั้น"
       ซึ่งเป็นขโมยแบบการเมือง คือคนมีปรัชญาขโมยแบบนี้"เขาถือว่าทรัพบ์สิน เป็นของทุกคน"และลัทธิ อนาธิปไตยตามแนวคิดลัทธิแนวคิดนี้ของ"pr u d o n g" -Pierre-Joseph Proudhon- (1840)  =Ana r c h i s t  นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส
"จนนิสัยขี้ลักมั่วนิ่ม"ไม่รู้ว่าขโมยจริงหรือขโมยการเมือง ชีวิตสับสน
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
     แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อดีตกษัตริย์โบราณ"อาหรับ"

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่5"เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"

 ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(6000)

      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา

อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ

มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก

    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม

    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ

เนฟไม่สนใจถามจุดนี้

อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง

ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?

           เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
"ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี"

       วันอาทิตย์ ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้

และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ

และค่าปรับที่ตรวจคน
     ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(8978)




      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสงสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา
อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ
มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก
    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม
    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ
เนฟไม่สนใจถามจุดนี้
อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง
ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?
 เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ปานมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี วันอาทิตย์
ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้
และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ
และค่าปรับที่ตรวจคนเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"

เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพู
ดที่ทางดูเหมือนคนจะ"เมากัญช
า"พร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง 
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า 
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก
เพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก
แต่แฟนคนนี้เป็นชาวเมืองหลวงเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย 
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"คองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ

      เมคะนอมิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทย
และไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือลูกค้าของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น

      เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่
สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้น
รถไฟ ในเช้าตรู่วันหนึ่ง
เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบดระท่อมและเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดที่สถานีรถไฟ ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครอง

       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพา
      แต่มิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินแปลกมาก
พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎกมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินไม่ต่อต้าน
หากผิดหวังในการปกครอง แต่เขาสาปแช่งแทน บางกนณีมีการลอบสังหารตัวการแต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจไวเท่ามือถือเป็น

ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข็มงวด
    ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อม
มทิ้งหมดที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่ว
ประเทศ




ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
      คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้ง คนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งกันทุก10ปีที่เมืองโหรนาอิน
"เนฟขัดจังหวะนิดนึง"
     แล้วเมือง"เหราอิค"ล่ะ"เนฟถาม"
อ๋อ!
มันเป็นพี่เมืองน้องกัน มีแระวัติศาสตร์อันยาวนานก่อนสมัยถังของจีนเสียอีก "ถ้าจะขุด""
     "ไช่" แต่ว่ามันไม่ถูีกกันมี
สงครามตลอดเวลา มันเหมือนหมากับแมวฟัดกัน "ผมไม่อยากจะพูดถึงเมืองนี้
       เพราะน้องชายผมคนหนึ่งตายที่นั่นตอนคนที่นั่นเขาเดินขบวน การ"เดินขบวนเป็นประเพณีที่นั่น"
         น้องผมโดนลูกหลงคือโดนกระสุนฝ่ายปฏิวัติปราบปรามตาย. เพราะน้องมีนิสัย"ไทมุง"นั่นเอง"เมคะนอพูดที่สุด"
         อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงที่ประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีในกระทรวงใบยาสูบ และลูกพี่ลูกน้องของท่านผู้นี้เคยค้ากัญชาเถื่อนจนรวยเลยสละเงินทำบบุญแบบเล่นการเมือง 
ต่อมาชนะเลือกตั้งแต่ทว่าถูกหัวบฎลอบสังหารตายคาที่ด้วยปืนลูกดรด"เหตุผลสาเหตุการตายขิงท่านไม่ชัด" ว่าทำไมเป็นอย่างงั้น

    ถ้าเขารอดเขาจะได้เป็นถึงรองนายกแห่งเมือง"เหราอิค"=(Heraik)ทีเดียว












      เนฟพบว่า   หลังเขาหืดควันกัญชาเข้าปอด เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย แทนการมวนดูด คือเอาแต่ควันและรสกลิ่นกัญชามันส์ๆนั่นเอง เขาพูดออกมาด้วยเสียงกึ่งหัวเราะว่า"มันเป็นยาครับท่าน"



     ทีนี้"เมคะนอ" จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาบ้าง เพืาอให้การสนทนามีราชาติ ชนิดดูดเอาแต่ลมและควันกัญชาในกระปุก "กัญชาหลอดฟันแก้ว""
     ทำทีเล่นควันไฟจุดเล่นแล้ว สูบควันใช้ปอดหืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบวิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี โดยเฉพาะหลังเก็บองุ่นในไร่องุ่นของเมืองจิ

คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!   "if you like to try s ir""เมคะนอเสนอ""
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา ตาสีฟ้าผมสีทองปากแดดแจ้ดเหมือนตูดกัง
"อ๋อ!ไม่ๆครับ"
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
แต่"เนฟกล่าวต่อ"
ผมชอบควันมันเพราะควันมันเหมือนตอนหอมกลิ่นธูปกัญชาตอนเข้าโบสถ์
       ที่มีในโบสถ์จะที่จะมีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีกรรมเทพเจ้าครับ!ที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
  
      เมคะนอพูดต่อว่า"ตัวเขาเองไม่ชอบผู้หญิง"" มิใช่สันดานแต่มีปมครับและเมคะนอเพ้อต่อไปว่า
อันนี้รวมถึงหมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ผู้หญิงชอบดูดกัญชานะจะมีประปราย

    คือมีเรื่องหนึ่ง  เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
      ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศทั้งแบบเอกซ์และแบบวายๆน่ะ!
        เพราะกลิ้ยผู้หญิงมันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุกเมื่อติดและหลงรักผู้หญิง

       ผม"เมคะนอ" ผู้พบาดพลั้งผมเคยอกหัก2ครั้งครับในชีวิต
       ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาบ้างเมื่อตะกี้
     "ทันทีที่ฉากสนทนาฉากนี้เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม เพราะเนฟเคยมี
ปมความรักที่ซ้อนเร้นอยู่ในใจเช่นกัน
 

    " เมคะนอ"เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่รู้จะคุยอะไร นอกจากปริบทที่สันติบาลสัญญาเมือวจิทำสัญญามาว่าห้ามเวอร์คุย" (ที่เมืองจิเขามีอะไรที่ไนอย่างไร กะใครคอนเทนจ์อะไรดรามาอะไร แม้เข้ากินกาแฟที่ร้านโรงเตี้ยมกาแฟเขาต้อง
เซ็นชื่อสัญญาก่อนจึงจะกินกสแฟที่ร้านได้ สรุปไม่ว่าอะไร 
เขาจะทำเป็นหนังสือสัญญาหมด)

       เนฟรู้จักดีแต่อมยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอคนนี้ว่า"ผู้ชายคนนี้แปลก"เท่าที่เข้ามาที่จิเพื่อการวิจัย

     จากจุดสนทนาจุดนี้
ทำให้เนฟคิดว่าอยากจะเปลี่ยนหัว
ข้อวิจัยจากเรื่องกัญ
ชาเป็น"เรื่องแนวสังคมวิกฤต"
เพราะเนฟสนใจอ่าน"เเอมิล-เดอไคม์(Emile Derkeim)นักปรัชญาสังคมชาวฝรั่งเศ สตอนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาชั้นสูงที่มหาวิทยาลัยเบล็นดิสกี

และเนฟพบว่าตนเอง
คิดว่าปรัชญาที่เป็นแม่แบบของศาสตร์ทั้งปวงตามแผนคลาสสิคกรีซเก่า
      แต่มาพบว่าสีงคมต่างหากเป็นแบบแผนใหม่แทนที่ระบบคลาสสิค
ที่ตนเองเห็นจะเป็น
      ก็!สังคมมนุษย์เกิดจากคนสองคนคุยกันสรรพสิ่งจึงเกิดม นี่คือการเริ่มต้นของปัญญา
"การตบมือแบบมือข้างเดียวตบไม่ดังถ้าตบสองข้างตบดังฉันใด"
ฉันนั้นแนวคิดของเนฟจึงได้กระนั้น
      แต่ต้องยื่นเรื่องขอเปลี่ยนหัวข้อที่ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะผ่านการอนุมัติหรือไม่อนุมัตินี้ได้ในภาวะเศรษฐกิจสังคมและการเมืองเฉกเช่นปัจจุบันนี้เมื่อจะทำอะไรสักอย่าง