Novel@Dekdee.com/"Pugio" :คนถางป่า "Pugio":by Martin Trinity,M.A
"คนถางป่า"ภาค4ตอนที่98
"พบว่า"
ทันทีที่เข็มนาฬิกาบ่งชี้มีเข็มสั้นบอกว่าตีสี่มาถึง ผมตื่นขี้นมาดูแมลงกินฝีฝักยาวผม พบตัวสีส้มมันเกาะอยู่ที่ก้านใบผมจับมันมส่จวดไว้ดูพฤติกรรมไม่รู้แมงอะไรจะถาม
หนอนทากชอบกินคึ้นช่าย(ผักชีใบใหญ่)มากกินหมดถ้าเผลอ
ดอกกระดังงาป่าหอมกรุ่นและอุ่นละไมจริงๆผมชอบมากมันหอมเย็น
แม่ผมปลูกไว้ก่อนตาย
และบอกผมว่าถ้างูแมวเซากัดได้กลิ่นดอกไม้หอมขนิดนี้ รีบหากาแฟกิน มิฉะนั้นตายทันที
ตั้งแต่นั้นมา ผมเข้าสวนครัวแม่
ผมพกกาแฟผงติดตัวไว้
ที่นี่ไกลหมอไกลพยาบาล
เป็นอะไรขึ้นมาทำนายไว้เลยว่า
ตายสถานเดียวหรือถ้าหายก็คางเหลืองเช่นยายผมตายด้วยงูเห่าดอกจัน
งูชุมมากที่นี่งูแมวเซางูกะปะ
งูเห่าไฟในเวลาออกนอกบ้าน
ผมจึวถือมีดงอเคียวติดตัวไปด้วย
ตลอดเวลา ถ้าเจองูสู้เราจะได้แะลองยุทธกัน
มัาเหมือนพูดเล่น แต่มีจริง มันเป็นพิษเงียบ
คนทั่วไปจึงถามว่าแล้สคนที่วังเวง
มันอยู่กันได้งัย
คำตอบคือรอยยิ้มคือระวังตัวตลอดเวลาและไม่พูดมาก
ทุกคนคิดว่าตายถ้าตายก็เผาที่ๆวัดมีเตาเมรุอย่างสะอาดและระเบียบรออยู่ใกล้ในชุมชนเลย "คนหนึ่งบอกยืนยันกับผม
ที่จริงผมก็รู้วัดอยู่หน้าบ้านผมเอง
แต่ผมไม่เลยไม่เข้าวัดอีกเลยหลังแม่
ตาย เพราะผมกลัวอันตรายเช่นจากงูและถ้าผมเป็นอะไรไปตัสฝวคนเดียวตอนนี้ มันก็น่าเกลียดไปรบกวนใครหามผี และบ้านมีพิพาทผมจึงเสมือนคนถูกตัดหางปล่อยวัด ทายาทผมคือมูลนิธิ
ลองวาภาพดู "มันยังงัย"
แม่ผมก็อยู่ได้ด้วยใจเป็นสุข
คนเราสุขใจแล้วดีหมด
ผมถืออย่างนี้แล้วก็จบกันเท่านั้น
ใครจะว่างัยก็ช่างเพราะคนรุ่นใหม่
ที่นี่ที่บ้านผมมีบุญคุณกันมาก
แม้ต้นใบมะกรูดยังไม่มีเลยบา
งบ้าน "แม่ผมปลูกเก่ง"
แม่ผมเลยมีบารมีมากเรื่องปากท้อวคนที่นี่ ผมไม่มีบารมีอะไรเลยเกิดมาที่นี่ มืหน่ำซ้ำไม่เคยอยู่บ้าน ไปแต่เมืองนอก พอปมกลับมามรดกเลือดของแม่ผมๆก็อาศัยบามีแม่ผมทุกวันนี้ ถ้าหมดบารมีแม่ผมก็คง
ตายพลันแน่นอน
ผมเริ่มเตรียมน้ำมัน(linseed
brush
pine oil
Winsor colors set)
และภู่กันและผ้าใบวาด(artist canvas) ภาพสีน้ำมัน ผมเห็นเมื่อ40ปีที่แล้ว
ประจำ คนจะเป็นขอทานก็ไม่ใช่
คนพเนจรก็ไม่เชิง โจรดูคล้ายๆกันแต่มือไม่ไวเหมือนโจรและสุภาพ
ผมเห็นทุกวันเมื่มองไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพบว่าะวกเข่เดินเข้าไปวังท่าพระ เขาเข้าไปทำไมในวัง
"ผมนึกสงสัย"
แต่แล้วต่อมา
พบว่านั่นมันเป็นมหาลัย
สร้างคนเป็นนักวาด
ผมอยากเป็นนักวาดบ้างทำงัย
ผมถามตนเอง
คำตอบไม่มีตามมาหลังผมถาม
วันหนึ่งในทุกปีปีต่อมา
ผมพบว่า
มีคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งไม่มากนัก
แต่งตัวสุภาพ
เรียบร้อยอย่างกะผ้าพับไว้
เสิ้อสีขาว กางเกงหลายชนิด
ผมไม่อยากจำแนกมัน
แต่เขาไม่ใส่รองเท้าแตะ
พบว่าพวกนั้นเขามาสอบ
สอบอะไร
ผมถาม
มาสอบเรียนวาดภาพที่มหาลัย
ได้บ้างตกบ้างส่วนใหญ่จะสอบตก
อีกๆไม่นานในเช้าวันหนึ่ง
ผมพบว่ามีเสียงอึกทึก
แต่วตัวดีชุดคนเรียนแต่หน้าตาแแต้มเต็มไปหมดด้วย
สี แต่ฟันทุกคนสะะอาดขาว
ผมงงว่ามันคืออะไร
ต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังรับน้องใหม่พิธีกัน สำหรัยคนสอบติดเท่านนั้น
ผมโง่และบอดเขลา คิดอยากเป็นอยากทำอยากสนุกอย่างเขาแต่ผมเป็นไม่ได้
ตอนนั้นผมยังเด็กจึงนึกๆและหายใจเข้าๆออกแล้วก็กลับไปที่แพเรือริมฝั่งน้ำเอนหัวนอนม่อยหลับบไป
10ปีต่อมาผมได้ตามเก็บภาพวาดที่เขาฝึกและเสียแล้วทิ้ง ผมเห็นแล้ว
พึมพำว่า"มันสวยดีไม่น่าทิ้ง"
ผมเก็บมาทำฝาผนังเรือนแพของผมและเมื่อว่างผมจะนอนนอนดูมัน
อีก5ปีต่อมาผมได้เป็นนักวาด
จำไม่ได้ชัดว่าเพราะอะไรจึงเป็น
แต่ที่รู้คือได้ทำอะไรตามใจชอบ
แต่มีขอบเขตใรคานวาสที่วาด
ผมทำอยู่10ปีได้ภาพ3ภาพ
และมีฝรั่งที่มาเที่ยววัดพระแก้วเห็นเข้าแล้วซื้อไป
ต่อมาผมมาปารีสบินมามิได้เดินมา
ผมเห็นเขาสาดภาพกันอีกแล้วสนุกมากที่มองมารต์(Montmartre Paris 7)
เป็นเกาะกุ้งใจกลางกรุงปารีส
ผมกินไวน์มึน
ผมจึงคิดว่า
อยากวาดภาพกับเขาบ้าง
ผมทำงัย
ผมจึงวาดๆและวาดไป
ขายได้ฝรั่งซื้อไปอีก
จนมีฝรั่งมาบอกผมวาดภาพเหมือน
ให้เขาผมทำตาม ทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าไงดีรู้ดพียงว่าให้าเปื้อนบนคานวาส
และอย่าให้เลอะออกมานอกกรอบภาพ
ผมทำอยู่หลายนาที จนเพลินไปกับภาพน้ำมันลินซีด(linseed liquid) กลิ่นหอมชวนดมแทนกาวได้
ผมทำไปไม่เสร็จดี
ฝรั่งคนนั้นเขาบอกว่าดากอ(d'accord)แปลว่าโอเค(OK =all correct or Oklahoma residenceคือผมฟังมาว่ามีที่มาเป็นอื่นอีกเดิดในอเมริกา) เขาควักเงินให้ผม
ผมตอบว่าแทงกิ้ว(Thank you) แปลว่า"โบ
กู"(beaucoup) ภาษาฝรั่งเศษเป็นไทยว่า"ขอบคุณ"
แต่รอยยิ้มขอบคุณของผมกับยกมือสิบนิ้วไหว้เขามันสนิทกว่า
คำพูดหนึ่งแทรกมามันยังไม่สมบูรณ์(not finish not finish) (
pas finis pas finis)
อีกเสียงบอกว่า
พอๆ(assez ..- assez..=enough) ผมชอบยังงี้
อีกคนอุทานว่า ใช่ได้(OK OK excellence excellence) มันเป็นภาพนามธรรมๆ(abstract! abstract art) คนหนึ่งอุทานขึ้น
คำนี้ทำให้ผมตอนกลับไทยผมมาเปิดร้านที่จตุจักรโครงการ7และได้พบกับท่านเฉลิมชัยสำนักร่องขุ่นต่อมา
หลายรายผ่านไป
ผมถูกจับ
ตำรวจพาผมไปโรงพัก
ผมก็ไปกับเขา
ได้เวลานอน เพราะผมถูกจับในเวลากลางคืน
ผมนอนหัวเราะ
เพราะอยู่ดีๆเจาก็พามานอนห้องนอนอุ่นๆอย่างนี้สบายไปเลย ที่ห้องพัก
ผมนอนหนาวจะตายหิมะสาดตกมากับลมผ่านหน้าต่างชำรุดแถมกระเด็นตกใส่
สักครู่ต่อมา
มีเสียงตะคอกว่า
จับคนนี้มาทำไม
อีกคนตอบว่า
เขาไม่มีบัตรทำงานวาดภาพ
เขาสั่งปล่อยตัวผมไป
และกำชับว่า"คุณพรุ่งนี้คุณไปขอบัตรวาดภาพเสียเพียงไม่มีก้าว
"คุณแวะไปจากโรงพักนี้ลงเขาน้อยนี้ไปเลี่ยวขวาข้ามถนนตึกข้างหน้าคือสำนักงานจดทะเบียน(
(La Maison des Artistes )- Sécurité sociale
) แล้วขอขึ้นทะเบียนเสียภาษีเป็นนักวาดเขา"
การสอบถามเกิดขึ้น
ต่อมาใบอนุญาตของผมออกมาเป็นแผ่นหนังสือและต้องไปเสียภาษีประจำปีแต่นั่นเป็นต้นมาผมเป็นศิลปินอาชีพไปเลยแม้หลับๆนอนๆ
ก็ได้เงินใช้ (Artist) ผมได้รับจดหมายขอบคุณจา
กบรรณาธิการนิตยสารVogue สากลชมว่าภาพคุณสวยดีแต่ผมย้ายบ้านตลอ
ดเวลาจดหมายนี้หายไปและจึงขาดการติดต่อเพื่อจัดแจงเสนอทำภาพประกอบ แต่นั่นมาหลังรับจดหมาย
ผมเริ่มมีสุงสิงกับสาวๆและไวน์มากขึ้นจนสนุกมากจะเล่าทีหลังและ
อีก5ปีต่อมาผมบินกลับไทย
เพราะได้อารมณ์ลึกลับดี
แต่คอยระวังไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์นักวาดมันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเผาบ้านวังเวงให้หมดได้ในพริบตา
ฉะนั้นผมจะวาดภาพสักที มันเรื่อง
มาก ผมขาดสแตน (Artist Easel Stand )แต่ถ้าผมอารมณ์ดีๆผมทำมันเองได้
ผมได้กลิ่นกระดังงา
ผมพบว่าชีวิตเป็นทั้งอุปนัยและนิรนัยๆ(deductive&inductive)
ถามว่า 2คำนนี้มันคืออะไร"นั่นมันคืออะไรกัน" ช่วยบอกกน่อยได้ไหมว่า"มันคืออะไรกัน"ที่แท้จริง
คำตอบมีว่าในมุมมองของผมคือ
มันก็เป็นเพียงมุมมองชนิดหนึ่งของคนจาก"การมองอะไรแบบกว้างๆสู่จุดโฟกัดอันยิ่งใหญ่"
(จากน้อยไปมากและจากมากไปน้อย)
และในทางกลับกันอีกอันหนึ่งตรงกันข้ามกัน"จากการมองอะไรในจุดโฟกัส(focus) เล็กสู่การมองออกไปแบบกว้างๆ"
เพื่อนนักศึกษาหลายคนเคยถามผมคำ2คำนี้(อุปนัยนิรนัย)แท้จริงมันคืออะไรแบยไม่อายและไว้เสียซึ่งเชิงชาย
เพื่อขอความละออ
เพราะผมเป็นที่
พึ่งพาของรุ่นเพราะผมเคยผ่านตะวันตกมา
มีโลกทีศน์ที่กว้างไกลเทียบเท่าข้าราขการซีสูงๆผ่านการดูฝานในต่างประเทศ(ตะวันตก)มาแล้วเพราะผมเคยห็นโลกมามากเทียบเท่าซี7-8หรือสูงกว่าที่เคยไปดูงานนอกมาแล้วจึงเลื่อน
ขั้นได้
แม้ไม่เสมอไปเพราะตอนนี้มีเนตและนั่นคือสิ่งที่ผมจะบอก
ขณะที้ผมเขียนนี้ฝนกำลังตกพรำชนิดไม่นับเม็ดได้ แต่ไม่แรงโชคดีที่หลังคาบ้านผมมันเป็นกระเบื้องช่วงฝนตกมี่บ้านผมจึงฟังเพลินและโรแมนติก" เปาะๆแปะๆ"
ฝนตกเพลินตอนนี้ผมได้อารมณ์ดีๆกว่าปลีกเวลาไปโรงหมอนวดที่ผมไปใช้บริการจับเส้นในยามฝนตกแม้นี้
จากเพื่อนปี1เฟรชเมนต์(freshman) จนถึงเพื่อนชั้
นปี4ชั้นเนียร์(senior) (freshman
Sophomore
Junior senior)
ที่เราเคยเป็นเพื่อนกันในตู้เรียนและสัมผัสวิชาคือความจริงที่ที่คนใฝ่รู้(Philosophize )
ผม
สร้างสังคมและผมต้องการเก็บคะแนนเสียงเมื่อการเลิอกตั้งภายในเกิดขึ้นเพื่อชดใช้ทุนทำให้เพื่อนๆสนุกและมีเพื่อนคุยในฐานะผมเคยอยู่นอกมาก่อนผิดถูกอะไรจารย์ตรวจดูอีกครั้งมันเหงานะเมืาอเข้ามาเรียนใหม่ที่ผมจำได้ชีวิตในมหาลัยทุกๆแห่ง
ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจมากมายลืมเรื่องฉากชีวิตหนีพ่อมาหาแม่ไปโดยสิ้นเชิงเลนตอนนี้มุ่งแต่เรียนและผมตอนนี้ได้ทุนเรียนแบบสัญจรบ้างจึงไม่เดือดร้อน
ทางบ้านแม่ผมให้ตังค์มากินขนมบ้าง เพื่อนๆแม่ที่กรุงเทพฯสนับสนุนผมเต็มที่
ในสิ่งที่ผมบอกเพื่อนผู้รับว่าตนเองมืดบอดและโง่เขลาเบาปัญญาแต่ไฝ่รู้ และอดทน และไม่ดลัวอุปสรรค ทุกคนจึงไม่อายที่ถามไถ่ชวนคุยกันเพื่อศึกษาชีวิตในอังกฤษของอดีตในตัวผม แม้ผมเองก็เช่นกัน
และผมก็ไม่คิดเรียกร้องสิ่ง
ตอบแทนอะไรทั้งสิ้น แม้คะแนนเลือกตั้ง
ที่จะมาถึงก็สุดแท้แต่
สรุปว่าผมทำงานได้ผล ตือไท่โดนไล่ออกแต่ติดรีไทร์2ครั้งวิช
าวิทยาศาสตร์เพราะผมซ่าร์เกิดตอบนอกแบบ แต่ผมก็กลับมาเข้าใหม่ทำจนจบหลักสูตร
เพื่อนๆเข้าใจ
ข้อมูลการเรียนประมาณนี่
ป.ตรี4ปีห้ามเกิน8ปีถ้าเกินต้องสอบใหม่หมด
ป.โท2-4ปี ถ้าตกเรียนใหม่หมด
ป.เอก2-4ปีถ้าตกเรียนใหม่หมด
วิชาภาษาอังกฤษต้องได้ ( TOFEL: Test Of English as a Foreign Language) เป็นการทดสอบวัด
ต้องดีถึงดีมากเท่านั้น
ภาษาตัวนี้ตินแรกผมคิดว่าเว่อร์
แต่พบความจริงว่าตัวนี้งัยมันเชื่ออมโยงทุกอย่างทุกสิ่งรวมทั่งตาราการค้นพบทั่งหมดก็จะมาจากนอกททั้งหมดที่น่าสนใจ แม้วิขานี้เป็นกำแพงกั้นมิให้คนผ่านเข้าเรียนชั้นสูงมากเพียงเด่น
วิชาอื่นแต่ด้อยอังกฤษ
ผมจึงพบว่าการเรียนนั้นถ้าให้ดี
สำหรับมหาลัยต้อฝเก่งคณิตวิทย์และอังกฤษจะมีโอกสสสนุกกับการเรียนชั้นสูงๆขึ้นไปเป็นที่สุด
เมื่อเพื่อนๆพาสิ่งใดเช่นภาษาและความเข้าใจใรวิชาที่เรีสนร่วมกันไปตีความกันคือพาไปตีความ เพราะเทกต์(texts) ในการเรียนมันเป็นภาษาต่างประเทศล้วนโดยมาก
ก
พาไปวิเคราะห์ให้ครูฟังได้ผลดีบ้าง
ไม่ได้ผลตามที่ครูกำกนดมาบ้าง
การตีความศัพท์ภาษาชั้นสูงทางวิชาการที่ผมชอบบอกเพื่อน
เมื่อถูกถาม
จากที่ผมคุ้นเคยมาจึงบอกว่ามันที่
เป็นมันส่วนใหญ่เป็นความคิดนอกกรอบความเห็นในสิ่งจำเพาะมิใช่
สิ่งสากล
ว่าสำหรับผมควรใช้อย่างไรเท่าที่เคยเห็นๆมา
นิยายเรื่องนี้มิใช่อนุทินของคนๆหนึ่ง
แต่มันเป็นวรรณคดีชนิดชีวิตคนผกผัน ผันผวนชีวิต หนือชีวิยคนที่ไม่ขึ้นสวยเหมือนเส้นกราฟปกติ
และมันไม่ใช่ชีวิตจริงของ
ใครคนหนึ่งคืมันเป็นแค่มโนภาพเทียบเคียงเท่านี้น
แต่มันเป็นปรัชญาชีวิต(life philosophy)
มันเกิดตอนที่ผมกำลังเเรียนและเตรียมสอบเลื่อนไปในชั้นเรียนระดับปริญญาเอก
แต่ผมสอบโปรโพสัล(proposal) ปริญญาเอกไม่ผ่านเพราะผมใช้
วิทยายุทธ์ก้าวล้ำเกินไป
จากสถานะปัจจุบันที่ท่านต้องการที่มันควรจะเป็น
ท่านไม่ยอมให้ผมผ่านในขั้น(Proposal)อันเป็นด่านแรก ไปทำปริญญาเอกหลังทีหนังสือยื่นอนุญาตให้ไปทำปริญญาขชั้นนี้ได่ปกติระเบียบใช้สองท่านรับรอง
ที่มีกิตติกรรมวิชาการแพร่แล้วสาธารณะรับรองเพื่อผมจะได้ไป
ทำขั้น(proposal)เพื่อเป็นดอกเตอร์
เมื่อผมตกก็ต้องแก้ตัวให้ได้ ผมไม่เสียใจเลยเมื่อไม่ผ่านก็คือไม่ผ่านแล้วตัดสินใจตั้งใจทำเสนอมันใหม่
แต่พอดีแม่ตายลงทุกอย่างจึงหยุดชงักมารับมรดกแม่ดูแลทรัพย์สิน
ต่อมาการเรียนชั้นดอกเตอน์มนไทยจึงชลอไว้ก่อนแม้มีผู้เสนอให้ทุน
และ คนถางป่าจึงถือกำ
เนิดขี้นมาด้วยเหตุผลดังกล่าว
เพราะความผิดพลาดนั้นละที่เป็นครู
เพราะความพยายามนั่นละคือ
ความสำเร็จ
เพราะการลองดูนั่นละจึงติดใจ
ผมเคยบอกจารย์ผมว่า"แม่ผมตายลงและท่านตาย
อย่างสงบเงียบไม่พูดอะไรสักคำแม้ร้องว่า "โอ้ย"เพราะท่านเจ็บมากผมรู้
ผมพูดต่อ
จารย์!ตอนนี้ผมมีเวลาว่างมาก
เมื่อแม่ผมตายลงผมไม่ต้องเป็นห่วงแม่
จารย์เงียบ
ผมพบว่า
แม่ตายลง
การเรัยนของผมแทนที่จะดีขึ้นกลับแย่ลงเป็นผลให้กานสอบดอกเตอร์ (Doctor of philosophy) ของผมสะดุดไปด้วย
ผมคงไม่ผ่านในขั้นการนำเสนอหัวข้อที่เรียกว่าโปรโปสัล(proposal)
จนผมเขียนนิยายเรื่อง คนถางป่านี้ขึ้นแทน
และรับปริญญาเอก
ที่กองมรดกของแม่ผมต่อไปเห็นถ้าจะเป็นจริง
ผมหยุดคิดสักครู่
(หมายเหตุ)
บก.นืยายนี้ขอขอบคุณทางกูเกิลและทาสทางวิขาการวิชาและอื่นในการยืนยันข้อมูลในนิยายนี้ด้วย อาเมน.copyrights proclaimed regards act.