OK(30274)1-5sectora 3 error
ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
lord l i te l
OK
ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น
แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา
รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น
ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"
บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว
ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทตาพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล
และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด
ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร
เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน
ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล
และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน(แต่มิใช่เป็นสายลับในมุมมอ
งทางจารกรรมหรือการเมืองใดเลยเพียงแต่เป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง
ที่เป็นปริทรรศน์ของวิถีชีวิตปกติ และเป็นนิยายในตัวมันเองเท่านั้น"ส่วนจะคิดมากอะไรไปอีกก็สุดแท้แต่จะคิดกันเอาเอง")
จนต่อมากลายเป็นว่า
"ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงคราม หลังการตีความได้ถูกแตกแยกออกไป ด้วยปัญญาอันสุขุมของ"คนขึ้สงสัย คนอ่อนเลข และเป็นคนชอบคิดมาก ชอบไร้สมาธิแห่งความเป็นคน ที่ชอบมีมิติที่วกวน คิดมากไร้สาระ เกิดขึ้นมาเสมอในชีวิตประจำวัน
ใช่" แต่นั้นมา ก็ได้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจนเป็นการเริ่มต้น ที่เป็นที่ตั้ง และไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ เหมือนหิวข้าวแล้วต้องกินทุกวัน และทุกวันก็ไม่เคยหายหิวไปเลยแบบกินเพียงมื้อเดียวแล้วจะอิ่มไปตลอดกาล "นั่นคงเป็นไปไม่ได้" เพื่อนเอ๋ย
และต่อไปสิ่งสำคัญที่จะไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ลงตัวเลย นอกจากบริบทของความตายเท่านั้นที่เป็นอมตะที่ก็แก้ตกไปชั่วชาติเดียวเท่านั้น
มันก็เป็น "เซตาดีย"=ces- t a-idea(สำนวน=ฝรั่งเศสว่า"อีกความคิดหนึ่งอักอันหนึ่ง)อันหนึ่ง
ที่จะคิดเปรียบเหมือนราวกับและกับว่าทุกคน"มองและเข้าใจมันถึงเรื่องาของ"แรงโน้มถ่วง =(พลังงานจำนวนมากที่คนไม่สามารถมองเห็ได้ด้วยตาเปล่า ให้ละเอียดได้ คือตาเห็นข้าวทีทจะกินบนโต๊ะอาหารตนเอง และใครจะเห็นได้ดีนอกจากคนเรียนดีเรียนเก่ง ที่มีมติว่าการเรียนการรู้ได้และการสอบได้คือสันติภาพถาวร หรือจะเรียกว่า"ความรู้คิอสันติภาพ"ของโลกและของตนเอง
หรือเหมือนการมองท้องทะเลที่สุดสายตาออกไป ที่ไกลสุดลูกหูลูกตาไกลไปแล้ว ๆมา เข้าใจผิดว่า"มันมีแต่หมอกและเส้นสุดขอบฟ้าเท่านนั้น แต่ที่จริงถ้าเดินกลางทะเลด้วเรือหาปลาหรทอเรือรบออกไปดู และจะพบว่าถ้าไปเรื่อยๆ มันกลับพบว่า"ไม่ใช่หมอกที่เป็นมายา แต่มันมีเมือง มีเกาะมีโขดหินมีอะไรอีกมากมาย มีนกมีหญ้ามีสัตว์ร้ายฯลฯ
นอกจากหมอกฉันใดก็ฉันนั้น)
) ลอร์ดมิคานคิดว่าคนที่ไปดวงจันทร์เขาก็หวังจะได้พบสิ่งใหม่เขาจึงทำกัน เพราะ"อินฟินิตี้"=การสิ้นสุดของการแสวงหามันนั่น"มันไม่มี"
และ
"ที่คนตาถั่วจะมองไม่ออกว่า "มันคืออะไรและอะไรกำลังเกิดขึ้น" ในอนาคต
ที่นักพยากรณ์ศาสตร์ทุกชนิดไม่สามารถข้ามพ้นมายาตัวนี้ได้ เพราะแรงโน้มถ่วงมันอนันต์มันเกินกว่าต่าของไพน์
เพื่อหาค่าขิงวงศ์กลมที่จะคิดให้เป็นแบบอุปนัยหรือนิรนัยใดๆ(แนวคิดจากมากไปน้อยจากน้อยไปมาก)
ต่อมา ทุกคนจะปลงตกและยอมรับว่าชีวิตและชะตากรรมนั้น"มีอยู่จริง"มิใช่มายา
คือสรุปเป็นแบบไม่ตรรกะ(เหตุ
ผล)อุบาทว์หรือวิบัติได้ว่า
ถ้าสรรพสิ่งในโลกนี้ถ้า"ใครร้อนใช้ก็ให้ใช้ไม้พัดหรือแอร์เย็นและพัดลมเฉล
ยเพื่อแก้ทุกข์สุขที่ตนประสบ
ในส่วนที่เกิดมีขึ้น ที่ธรรมชาติมอบส่วนเกินให้มา
ส่วนใครถ้าความหนาวจากหิมะเย็น
มารังควาญ ยื่นส่วนเกินให้มาเป็นส่วนเกินนี้เมื่อใด
ใครนั้นที่ประสบภาวะหนาวเย็นจากน้ำแข็งแห่งธรรมชาตินี้ก็ใช้"ฮีตเตอร์=heater "=(เครื่องทำความร้อนแก้หนาวชนิดหนึ่ง)เข้าแก้ จนคนสองกลุ่มนี้ได้สบายใจ นอกจากปกติ เมื่ออิ่มก็นอน เมื่อหิวก็กิน เมื่อเหนื่อยก็พัก
ส่วนถ้าน้ำท่วมพายุใหญ่มหันตภัยเพีบงใด อันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ
" ลอร์มิคาน"ไม่ได้นับและนำมาคิด เพราะมันมิได้เป็นสามัญเหตุ "จะไม่คิดเป็นส่วนสาระจะมีก็ส่วนอื่นค่อยๆว่าไป"
แต่ช่วงภัยทุกอย่างมีขึ้น
สำหรับส่วนที่ปดติเสมอ
คือคนขายของได้ คนที่นับเงินขายของก็นับเงินกันไปกอบโกยกันไป จนเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีสงคราม ว่ากันไปส่วน
คนที่จะตายก็ตายกันไป
มาคิดจริงๆ"ลอร์ดมิคานได้มงเป็นอย่างนั้นไปหมด
ที่คิดอย่างนี้"มันมิใช่คนบ้าแห่งบ้าน"หลังคาแดง(ที่คุมขังนักโทษเทียม ทางจิตวิทยาชนิดหนึ่ง)อาจจะมองกัน"
แต่นี้ก็ขอเป็นมุมมองของปัจเจกโพธิ ของอภิมหาอมตะนิยายที่อยากจะมอง"ก็เท่านั่นเอง"
มันอาจจะเป็น"ฉาก" ที่ไม่ต้องจัด
ที่ได้พูดมันขึ้นมาอย่างเป็นวรรณกรรมนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่า
ก็เพื่อเป็ยการลับสมองให้กับ
ตนเองว่า"ตนเองมีหลักยึดเหนี่ยว"เมื่อใครอยู่ในสภาวะ
ที่กำลังจะตายถ้ารู้อย่างนี้แล้ว จะไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ความจริง ว่าอะไรเกิดๆได้อย่างไร แล้วพอตายลงสุดจะทรมาน และได้ข้อสรุปที่สำคัญคือ "เมื่อจะเจ็บจะตายลงก็จะไม่เดือดร้อนคนอื่นเขาที่ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง"
สรุป หลายคนบอกว่าการจารกรรมคงมีและมีระหว่างคนชั้นขุนนางและทาสและกรรมกรทำต่อกันด้วยเงินทุนตนเอง
แต่ลอร์ดมิคานมอง นี่มันว่า"ไม่ใช่" แต่ นี่มันกลับเป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั่นเอง"
เพราะมิได้หาประโยชน์ทางจารกรรมอะไร การทำจารกรรมมันต้องหวังผลประโยชน์และเงินเดือน ส่วนที่ไม่ทำจารกรรมคือ ทำเพื่อสากล ทำเพื่อยังชีพทำอะไรเพื่อการอยู่รอดได้
อันนี้ลอร์ดมิคานไม่ถือว่าเป็นจารกรรมข้อมูลต่อกันอะไร ระหว่างคณะขุนนางและคณะทาส ด้วยประการฉะนี้แล
ลอร์ด ลิเทล
ตอนที่2
"คิมานไปดื่นน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟ"OK
วันนั้นเป็นฤดูหนาว คิมานเดินด้วยเท้าบูทหนังสัตว์แต่งตัวดี รูปสมาร์ทใครเห็นจะอดมองไม่ได้ ไปบนเส้นทางไปสวรรค์ บนเส้นทางสายนี้มีรถมากมาย ในจำนนนั้นมีรถของลอร์ลิเทลด้วยกำลังวิ่งไปงานรังสรรค์ราตรีวิทวัสที่ปราสาทเบตา
สำหรับคิมานกำลังเดินทางไกลบังเอิญบนเส้นทางเดียวกัน โดยมิได้นัดหมาย จุดประสงค์ของคิมานกำลังเดินทางเพื่อไปหาคลำหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าที่ทุ่งโอเฟ ๆ ติดกับเส้นทางสวรรค์สายนี้พอดี
คิมานชอบกินน้ำค้างจากหยอดหญ้าเพราะเทพวิเกสอนมาตอนที่คิมานไปพักผ่อนกับ
ท่านเพื่อเรียนศาสตร์วิเศษหายตัวได้และอยู่ยงคงกระพันในสมัยวัยเยาว์
"ท่านวิเก"เป็นสามัญชนและเป็นลูกทาสในครอบครัวที่ดูแลคอกควายเผือกแห่งฟาร์มใหญ่ที่ชื่อว่า"มอนเน"
มีท่านเทพ"มอนเน"เป็นเจ้าของ
หลายคนรู้จักพฤติกรรมประหลาดๆของคิมานและลอร์ดลิเทลดี
และก็ตำกนิว่าขุนนางเดิดมาดีแค่ทำไมชอบทำชีวิตติดดินที่จริงควรอยู่บนท้องฟ้าและอยู่แต่ในประสาท
บนโลกแห่งแผ่นดินใต้สวรรค์ที่ท่านจุติเดิดมาเป็นเจ้าในร่างมนุษย์
หลายคนไม่รู้ความเป็นมาแต่มีปราชญ์แสนรู้เรียนสูงบางคนเท่านั้นบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนวิชาเทววิทยา
คำอธิบายมีอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง"ศาสนามิลานา"อันศักดิ์สิทธิ์และสุดขมังเวทย์ในอวกาศและโลกมนุษย์น้อยคนนักมีความสามารถที่จะนับถือศาสนานี้
กล่าวคือทั้งลอร์ดลิเทลและลอร์ดคิมานนั่นถูกอาญาสิทธิ์ให้แปลงร่าง
มาในรูปมนุษย์เพื่อตรวจตรา ความลำบากของทาสและขุนนาง
ในการดำรงชีวิตและการสูญเสียแรงงานเพื่อทำกินและมีชีวิตรอด
และลอร์ดลิเทลเองนั้นในพระคัมภีร์ของศาสนามิลานาบอกว่าในชาติก่อนเคยเกิดเป็นกบทองคำอยู่รวมกันในบึงมิเชอันเงียบเหงา
และต่อมาหลังจาก กบทองคำเพืาอนกันทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อจับไปทอดกินแกล้มในฤูกาลฤดูที่ฝนตกหนัก เพราะเสียงร้องอันเพราะพริ้งสะเทือนฟ้ายามฝนมาตอนนั้นกำลังผสมพันธุ์โดยลอร์ดคิมานเป็นกบตัวผู้ส่วนลอร์ดลิเทลเป็นกบทองคำสาวตัวเมีย
เมื่อกบทองคำทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อพาไปย่างและทอดกินแกล้มเหล้าฤทธิ์แรงเสร็จ ขณะตายกบทั่งสองได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ขณะเกิดได้รับโองการจากเทพอสูรผู้คุมขะตากรรทสัตว์โลกบนพื้นปฐพีให้เป็นไปได้
เพื่อลิขิตให้กบทองคำทั้งสอง ไปเกิดเป็นมนุษย์ และไปสืบห่ความสุขทุกช์ของมนุษย์ทุกคน ว่าใครมีความลำบากอะไรและจะให้เทพอสูรช่วยแก้ไขอย่างไร เพื่อให้มนุษยชาติทุกๆคนได้มีความสุขสุนทรีย์ทุกถ้วนหน้ากัน
เหตุที่อสูรมองไม่เห็นด้วยตาตนเองเพราะแกก้ววิเศษของเทพอสูรถูกยิปซีคนหนึ่งบนสวรรค์และจอมซนขโมยไป ด้วยเหตุนี้ เทพอสูรจึงมองอะไรด้วยตาญาณหยั่งรู้เห็นอะไรได้
ตามใจนึก
จึงใช้อำนาจที่ตนมีดลบันดาล
ให้ตนเองสามารถลิขิตชีวิตชะตากรรมของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดทั้งมวลได้ตามใจชอบ
เทพอสูรจึงลิขิตให้ลิเทลและคิมานมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นขุนนางและเลิกใช้ความเป็นขุนนางที่ตนเป็นแต่ให้ไปคลุกคลีสังคมกับพวกทาสและประชาชนธรรมดาเพื่อแสวงหาสัจจะและความจริงแท้ในสรรพสิ่ง
ลอร์ดลิเทลจึงกลายเป็นคนอย่างทาสแต่มีใจเป็นมโนธรรมสูงสุด
ลอร์ดคิมานก็เช่นกัน
สนุปง่าบๆคือ ลิเทลและคิมานเกิดเป็นขุนนางแต่ประสบภับปัญหาชีวิตวิบัติจนตกไปอยู่ในกำมือของ
จารชนและพวกทาสที่ขาดมโนธรรม
ในขั้นตอนต่อๆมา
จากปรัชญามนุษน์มีมโนธรรมแห่งความดีเป็นสมบัติฉะนั่นคำว่ารวยจนยากไร้เข็ญใจและพรมแดนที่อยู่ไม่มี
อะไรมาขวางกั้นมโนธรรมแห่งควสมดีนี้ได้ แต่บางคนที่เป็นมนุษย์เลวไม่เชื่อว่า"มโนธรรมแห่งความดีไม่มีอยู่จริง "เป็นผลให้เกิดความริษยาหึงหวงเกิดสงครามจลาจลเกิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่วเป็นฐาน
สรุปอีกครั้งในชาติก่อน ลิเทลและคิมานเป็นคู่รักกันในชาติที่เกิดเป็นกบทอคำ และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งสองได้มาเกิดเป็นขุนนางตกยาก
แต่มิได้เป็นพี่น้องกัน แต่ลิเทลมาพบ
คิมานตอนเดินทางไปงานวิทวัสราตรี
บนเส้นทางสวรรค์และได้พบกับคิมานโดยลังเอิญ
ขณะที่คิมานไปหาเก็บยอดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟรนั่นเองได่พบกับลอร์ดลิเทล
ที่กำลังขับรถมา ทันทีที่ลิเทลเห็น
คิมานก็นึกชอบคิมานอยากเป็นกัลยาณมิตรด้วยคืออยากเป็นเพื่อนด้วย ลอร์ดลิเทลแสดงตนอย่างสุขุมชวนคบมิได้แสดงอาการอยากคบเด็กเพื่อพาไปเล่นตูดอย่างที่คนไร้มโนธรรมชวนคิด และใฝ่ฝันหาแต่อย่างใด
คิมานทราบท่าทีจากสายตาของสุภาพบุรุษผู้เฒ่าและคิมานอ่านความในใจข้อนี้ของผู้อาสุโสที่ชักชวนตน
ต่อมา ลิเทลจึงออกปากชวนจริงๆเพื่อชวนคิมานไปงานราตรีวิทวัสด้วยกัน
โดยลิเทลเสนอให้คิมานนั่งรถยนต์ไปด้วนกัน รถยนต์ของลิเทลนั่นเป็นรถฟอร์ดอัสตินคันสีเขียว
ไม่กินน้ำมัน ในรถของลิเทล
มีเครื่อง"ฮีตเตอร์"เครื่องทำความร้อนกันอากาศหนาว
มือของคิมานแดงก่ำจึงกล่าวขออนุญาตลิเทลใส่ถุงมือผ้ากันหนาว
ส่วนจมูกและปากของคิมานพ่นควันหมอกพุ่งๆตลอดเวลาที่คุยกัน
แต่ไม่มีกลิ่นปาก
เมื่อรถออกจากเส้นทาง
สวรรค์2 เขาเรื่มคุยกันนิดนึงและคุยกัน
ลืเทลถามคิมานว่า
'จะไปไหน?'
คิมานอมยิ้ม
พลางพูดว่า
เรื่อยๆ
ลิเทลจึงหยิบขนมบิสคิตที่ท่านหญิงกีด้าให้ลิเทลมาและนำมาเป็นสัมภาระระหว่างการเดินทางไปงานราตรีวิทวัสของสามี
ลิเทลเปิดกระปุกไปพลางขับรถไปพลาง สายตาลิเทลมองไปข้างหน้ารถหน้าถนนไปด้วย
มันเป็นบิสคิตยี่ห้อ"แฟรี่เทล"
พร้อมเสนอให้ลอดร์คิมาน
อันหนึ่ง"สำหรับคุณ"
ขอบคุณครับ
คิมานตอบรับพลันและใส่เข้าไปในปาก
รสหวานอมช็อกโกเล็ตและกลิ่นหอมนั่นคือคุณสมบัติของขนมชิ้นนี้ที่เรียกว่าเป็นอาหารว่างมื้อโปรดของทุกชีวิตขณะเดินทางและเมื่อมุอาการว่าเหนื่อยหน่าย
จึงใช้มันและกินมันอย่างเป็นวัฒนธรรม
สักระยะต่อมาที่คิมานเคี้ยวกิน
ไปในปากที่"อมอย่างเเก้มตุ่ย"
ลิเทลจึงเสนออีกอันหนึ่ง
คิมานบอกลิเทลว่าพอ
และพร้อมพูดว่า"ผมไม่ชอบกินของเล่น" และพลางกล่าวต่อไปว่า
ผมพึ่งจะไปหาเก็บน้ำค้างกลางหาวที่เทือกเขาโอเฟดื่มมาเมื่อสักครู่
มันอื่มมาก "คิมานยินยัน"
ลิเทลเงียบพร้อมปิดกระปุกบิสกิตไว้และสอดวางที่เบาะรถด้านหน้า
"บิสกิตแฟร์รี่เทล"=biscuit fairy tale"นี้งัยที่ พวกโจรปล้นสวาทชอบคลุกยาปลุกกำหนัดให้หญิงหรือขายกินแล้ว"เงี่ยน"สุดขีดที่ใครๆสุดจะทนได้
แต่คิมานไม่มีความรู้เรื่องนี้
แล้วการเดินทางก็ดำเนินต่อไป
ตอนนั้นเป็นทิศเหนือที่เป็นตำแหน่งทิศที่ดาวประกายพรึกจะยอแสงจ้าในตอนเช้ามืด
ลิเทลขับรถข้าๆไปเรื่อยๆ
คิมานมานม่อยหลับไป ส่วนศีรษะหัวเอียงเอนไปพิงที่กระจกรถด้านข้าง
ลิเทลรู้อย่างนั้นจึงเอือมมือไปหยิบหมอนพิงด้านหลังเบาะรถให้คิมาย
คิมายกล่าว"ขอบคุณ"
รถวิ่งต่อไป เพื่อไปงาน"ราตรีสโมสรที่วิทวัส"
ที่ลอร์ดลิเทลได้รับเชิญทุกปี
มันเป็นงานใหญ่โตมโหราฬสำหรับใครบางคน
และมีแขกจำเพาะไม่มีดนตรีใดๆอึกทึก
แม้งานนี้จะจัดที่ปราสาทที่ตั้งของมันมันจะอยู่ในป่าเปลี่ยว
นอกจากเสียงคุยและเสียงเพลงแห่งธรรมชาติเท่านั่นที่ที่นี่มี ตอนนี้
นอกจากนั้นจะมีพิเศษก็กาแฟดำและเนื้อย่างแกล้มไวน์แดงเท่านั้น
เท่านั้นและขนมปังย่างเนื้อหั่นจากก้อนแฮมสดขนาดใหญ่าไลด์กินเองตามชอบของแขกทุกคนที่มาจากตู้เย็นที่จะสไลด์กินกันได้ถ้าใครอยากเมื่อหิว
มันเป็นเหตุการ์ที่ปราสาทคูฟอร์
มีหมาแอลซีเชียล20ตัวเป็นยามเฝ้าปราสาท ที่ปราสาทนี้เมื่อ200ปีก่อนมีโจรสลัดโหดร้ายชอบขึ้นทะเลมาปล้นและฆ่าพวกขุนนางที่
อ่อนแอและไม่เก่งปืน
งานนี้ มันมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายการคุยกันสนุกและเย็นชาแบบๆไปเรื่อย แบบทุกคนไม่กลัวเสียเวลา คนมาที่นี่ในงานนี้เป็นชนชั้นไม่บริโภคเวลาทั้งหมด
มันไม่มีเสียงโฮกฮาก !กระเติ๊กกระต้าก!!ใดๆ แต่จะมีด็แต่กลิ่นควันยามวนซิการ์พวยพุ่ง
และอาจจะเป็นกลิ่นน้ำจากควันซิการ์อันหอมเจือรสนิยมเฝื่อนๆชวนเพลิน และตามด้วยน้ำหอมกลิ่นดีหายาก รสจำเพาะจากการสั่งทำจำเพาะของชนิดจากโรงกลั่นสกุลน้ำหอมชั้นเยี่ยมแต่ไปรเวท
มันจะโชยแผ่วมาทับกลิ่นบุหรี่มวนซิการ์อย่างกลมกลืน
ที่ทุกคนเพศชายจะสูบ สถานก
การณ์ตอนนี้ส่วนหนึ่ง
มันเหมือนภาพวาดตามจินตนาการของนักวาดอย่าง"ฟาน-กอฟ"ศิลปินชาวฮอลแลนด์
กลิ่นน้ำหอมมันจะมาจากกลิ่น
ตัวและกลิ่นน้ำหอมจากใต้ข้อมือของผู้หญิงที่ทาถูฝังเอาไว้ทุดคนที่มาในค่ำคืนงานราตรีวิทวัสนี้ทุกคนเลยทีเดียว
เว้นคิมานคนเดียวในค่ำคืนนี้ที่ไม่มีกลิ่นอะไรเลยติดตัวมา
นอกจากกลิ่นไร้เดียงสาและกลิ่นมโนธรรทเท่านั้นที่ตนเองมี
แต่คิมานไม่เขินสักนิดเดียว
มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า ลอร์ดเกอรีซึ่งคงเป็นขุนนางเก่าคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นมาว่า
วันนี้พวกเรามีแขกไม่คุ้นหน้ามาด้วยกับลิเทล ตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นบุตรของลิเทลทีพึ่งโตและแก่แเดดแล้ว!
ลิเทล กล่าวคำขอโทษทุกคนและจึงเอ่ยบอกทุกคนว่า"นี่คือคิมาน"เด็กหนุ่มน้อยอันมีเกียรติท่านผู้นี้
คือว่าท่านผู้นี้ เราพบกันครึ่ง
ทางบนนทางสายสวรรค์สายสอง
ขณะเขามาเดินหาน้ำค้างกินที่เชิงเขาโอเฟ
คิมานจึง"สวัดดี"ทุกๆคนและกล่าวทักกับทุกคนด้วยอารมณ์ดี
และพร้อมกล่าวขอโทษแขก
และแสดงความเสียใจที่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเขิญในค่ำของวันนี้
"ทุกคนเงียบ"
คิมานไม่แสดงตัวว่าคิมานก็เป็นลอร์ดมาก่อนอยู่เหมือนกัน เพราะคำว่า"ลอร์ด"มันเป็นเรื่องไร้สาระกว่าการเป็นคนมีมโนธรรมนั่นเอง
"คิมานคิดอยู่ในใจ"
ทุกคนเงียบอีกครั้ง
แทนการปรบมือ และสังคมกลุ่มที่นี่ไม่นิยมการปรบมือเมื่อแสดงความยืนดีอะไรทั้งนั้น
มันทีทุ่ฃอร์ด
คิมานแสดงสายตาออกอย่าง
ไร้เดียงสาและยิ่มให้
ให้ทุกคนเห็นคิมาน
ฟันขาวและน่ารักของคิมาน
เสื้อผ้าสวมใส่มีสกุล ตนเองทำตนเหมือนหนูน้อยโอลิเวอร์อย่างในหนังเรื่องนั้นทีเดียวคืนนี้กับทุกคน
การไม่แสดงตนว่าตนเป็นอะไร ก็เพราะไม่สำคัญอะไรเพราะ
ปกติของคน
ก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้นมิได้มาและมีหางเหมือนหมาก็แล้วกันเป็นพอ
คิมานรู้เรื่องเท่านี้ก็พอ
อย่างไรก็ตามอากัปกิริยามรน
ยาทดีงามและเสื้อผ้าการแต่งกาย
การพูดจาของคิมาน
น่าจะบอกแล้วว่าตนเองสมควรเป็นแขกไม่ได้รับเชิญในคืนนี้
นั่นก็เหมาะสมแล้วนอกนั่นให้ลิเทล
พูดและค้ำประกันก่อนที่ตนเอง
อาจจะถูกสังคมคืนนี้จับโยนไปให้ฝูงหมาป่าเร่ร่อนที่นอกปราสาทแทะกิน
ทุกคนใมงานรังสรรค์ประจำปีนี้ที่เรียกว่างานราตรีวิทวัส
คงเข้าใจลอร์ดลิเทลดีว่าลอร์ดลิเทลมีชีวิตเศร้าๆเหงาไและไม่มีลูก
ใช้ชีวิตยู่กับเลดี้กีดาร์เมียรัก
ผู้ประสบภัยจากสงครามมาและมาและพบรักกันและลอร์ดและเลดี้ก็รักกันจริงๆไม่มีการเมืองหรือความเป็นสีเทาอะไรแอบแฝงข้องเกี่ยวในตัวเลดี้กีด้ามาก่อนใด
จึงทำให้งานราตรีวิสิทวัสคืนนี้
ของปีนี้นี่เป็นได้ไปอย่างสนุก
ปราศจากข้อครหาทางใจของทุกๆคนในงาน
ที่อาจจทำให้ใครเขินหรือเขื่อง หนือละเมิดกับอารมณ์ของตนเอ
งสักคนเดียวกับความเห็นในบริบทแห่งแขกที่ไม่ได้รับเขิญอย่างคิมาน ที่จะทำให้งานราตรีวิทวัสของค่ำคืนนี้แห่งปีนี้ต้องหม่นหมองและไร้วิญญาณและเงียบเหงาไปกระนั้นเลย
ย้อนไปวินาทีที่ลอร์ดลิเทลมาพบ
คิมานหลังจากเหนื่อยมาจากเดินวนหา เที่ยวเร่ร่อนไปเพื่อหากินดอกน้ำค้างบริสุทธิ์น้ำใสบนยอดหญ้า ที่ผุดปรากฏคล้ายใยแมงมุมตามทุ่งโอเฟ ในตอนเช้า
จากทุ่งโอเฟและเหนื่อยจึงตอบตกลงกับลิเทลทันที
"ไปก็ไป"" คิมานตอบรับ
-------
(3826@)ปราสาทคูเซอร์
ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก
ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด
เสียงดนตรีแห่งความสนุก ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่ ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
"ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"
เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...
ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่ปราสาทครูเซอนนี้ที่ทำให้ลอร์
ผู้มิคานใต้ดิน และได้เป็นลอร์ดนิรนามเพราได้ท่านหญิงเคาน์ตสแห่งสะโลวาเนียโคโรเนตและคราวน์ให้ทำให้ความเข้าใจผิดในสังคม ลดการกระเตื้องต่อคำถามทั่วไป ในสถานะภาพของลอร์ดมิคานที่ได้เป็น แม้รายได้ในบัญชีศักดินาจะยังไม่เรียบร้อยก็ตาม
--@@@
ลอน์ดลิเทล3
(6221@)ปราสาทคูเซอร์
ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก
ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด
เสียงดนตรีแห่งความสนุก ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่ ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
"ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"
เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...
-----_
ลิเทล4
"เรื่องของกาลเวลาและสายน้ำ""
ลิเทล4(8923)
เรื่องเวลาแม้ว่าเป็น"มิติแห่งกาลเวลาและอวกาศ" ที่ทุกคนต้องยอมรับแม้เราสมมุติมันขึ้นมาเอง เหมือนปฏิทินพระเจ้าจูเลียสซีซาร์(Julius Caesar) ที่พวกโรมัน(Roman)เขา กำหนดขี้นมาแล้วใช้กันจนทุกวัน เพราะมันใช้ได้และจำเป็นยอมรับกันสากลไม่มีข้อโต้แย้งใดๆแต่ไหนแต่ไรมานี้
แต่ที่ปราสาทนี่ คำนิยามทางฟิสิกส์ทั้งปวงที่มีในปัจจุบัน มันจะไม่มีความหมาย อะไรเลย ที่ปราสาทจะเคารพ นอกจาก"ก้อนขนมปังและไวน์แดงและน้ำชาร้อนเท่านั้นที่ปราสาทคูเซอร์นี้เคารพและบูชาว่านั่น
"นั่นคือมิติแรกของสรรพสิ่ง"
ก็ในเมื่อแรงปะทะจากแรงงานของทาสที่เป็นขบวนยาวเหยียด นั่นมันคงสั่งให้ทุกชีวิตที่ต้องเดินออกนอกบ้านต้องดูและต้องใช้นาฬิกาในการดำรงชีวิตโดยไม่ผิดเวลานัดหมายไม่ว่าอะไร
นาฬิกาคือความเป็นกลางของทุกชั้นชนแล้วบัดนี้เวลาและที่เกิดจากเข็มนาฬิกา"มันไม่มีพรมแดนมันไม่มีภาษา มันไม่มีสีผิว""
มันคือดวงตะวันอีกดวงหนึ่งของทุกคนในโลกของมนุษย์นอกจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ตัวเวลาจึงเป็นสิ่งศักสิทธิ์สำหรับทุกๆคน ตัว เวลามันสำคัญกว่าศาสนาและการปกครองและความหิวและแรงงานและความสุข" มิคานเชื่อ""เพราะว่าตัวเวลานี่เอง มันกำหนด หน้าที่ของศาสนา กำหนดเวลาของการปกครอง ตัวเวลา
กำหนดให้ความรักได้พบกันได้อย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ก่อนวันแต่งงานของคนรักกันจริงจะมาถึง
และตัวเวลามัน"ไม่เคยบิดพลิ้วและพูดปดได้""
แต่ ลอร์ดมิคานไม่เคยใช้นาฬิกา กระทั่งจนมาพบกับลอร์ดลิเทลในภาวะครึ่งทาง นี้นาฬิกาจึงถูกกำหนดให้ชีวิตของมิคาต้องเปลี่ยนไป
คือมิคานต้องใช้มัน
จะว่านาฬิกาคือตัวจักรกลของสัมคมพลวัตรและมีปฏิพัทธิ์ต่อกันกับเพื่อนมนุษย์และที่จะธำรงอยู่อย่างสงบไม่เดือดร้อน
มิคาน พบว่า เวลานี้ละเป็นตัวกำกนดที่จะทำให้สังคงมนุษย์มีระเบียบก็ได้ เพราะถ้ามีนัดกันกับเฟรนด์สาวมันต้องมีนาฬิกา เป็นอนุญาโตตุลาการให้ว่าใครที่เที่ยงตรงตาม
เวลานัดหมาย และถ้มมาตามนัดได้"นั่นคือการพิสูจน์รักแท้""
ลอร์ดมิคานคิดเพ้อเจ่อต่อไปว่า
ก็เทียบเป็นเหตุผลให้ฟัง อาทิ เช่น ประจำเดือนของสาวๆมันจะมาตรงเวลาเสมอน่ะ
ประจำเดือนหรือที่สากลนิยมเรียกมันว่า"เมนส์"(mensturation -blood period as a duty for a woman) สิ่งนี้มันไม่มีคำว่าการผลัดวันประกันพรุ่งนะ! มันเป็นกลไกทางชีวะของเพศหญิงทุกคนแต่ผู้ชายมันไม่มีสิ่งนี้
สรุปเวลาสำคัญเพราะเวลากำหนดวันเดือนปีและศตวรรตให้ทุกคนกำหนดนับยืดถือได้และได้เป็นอมตะเพราะฉะนั้น เวลาจึงอมตะมันไม่ตาย
คนเกิดมาแล้วก็ตายลง แต่"เวลามันคงอมตะต่อไป" มันไม่ตายตามมนุษย์ไปด้วย เมื่อมนุษย์แต่ละชีวิตตายลง
แต่มิคานไม่มีวิ่งที่เรียกว่า ว่าเวลาและไม่ชอบนาฬิกาบอกเวลาแต่เคารพเทพเจ้าแห่งเวลาาด้วยดีนอกจากมโนธรรมแลความจริงเท่านั้นที่มีอยู่
จริงสำหรับมิคาน นอกนั้นมิคานไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง ทุกอย่างรอดออกมาจากเวลา
"นี่คือความเชื่อของมิคาน
และมิคานเชื่อต่อไปอีกว่าโลกนนี้เป็นมายา ด้วยเหตุนี้เอวชีวิตลอน์ดมิคานจึงฟุลสต็อปไว้เท่านี้
และเห็นชีวิตตนเองมีความสุขดี และได้กินน้ำค้าง
ที่เทือกเขาโอเฟ ทุกเช้าและวันก็พอใจแล้ว นอกนั้นกินมรดกบุญตนเองก็รอดได้ แต่คนอื่นที่ไม่มีปรัชญาอย่างมิคานๆเห็นพบแต่คนเป็นทุกข์และผิดหวังฆ่าตัวตายไปมากหลาย เพราะเพ้อฝันวาดฝันแต่แล้วไม่จริง
อีกด้วยและไม่เชื่อว่าโลกนี้เป็นมายาอีกด้วย
ทำงัยถ้างั้น!
ก็เพราะการสันนิษฐานว่าโลกนี้มันเป็นมายา เมื่อทำอะไรเข่นสอบได้สอยตกเป็นเรื่อวตลก แทนที่คิดว่าถ้าสอบต้องได้ที่หนึ่งเพราะเราเป็นลอร์ดอภิมหา
มนุษย์ แต่เมื่อทำเสร็จผลปรากฏว่า"สอบตก""
นี้ประการหนึ่ง
หรือบางคนลงทุนปลูกกาแฟ
แต่ผลคือขาดทุน ก็ผิดหวังถ้าเร่เห็นมันเป็นมายา จะขาดทุนหรือกำไรไม่รู้แต่ทำให้ดีที่สุด
อย่างงี้จึงจะเรียกว่า"ชีวิตนี้เป็นมายา"นี่คือการตีความของลอร์ดมิคาน
จนมิคานเขาได้มาพบกับลอร์ดลิเทลที่เทือกเขาโอเฟในวันนั้น
เพราะนับแต่มิคานเกิดมาไม่เคยมีนัดกับใคร นอกจากแสงแห่งดวงตะวันเท่านั้นมาตรฐานที่สุด
หลายคนอาจคิดว่ามิคานเป็นมนุษย์หมาป่าใน
จินตนิยาย หรือเรื่องแปลกแต่จริง แต่นี่มันเกิดขึ้นแล้วและมีจริง ในสังคมกลุ่มหนึ่ง
" ใช่มันเป็น"
แต่สำหรับมิคานถ้าจะให้แน่ระบุชั่วโมงนาที
มิคานก็ใช้"นาฬิกาแดด"(มีเข็มติดกำแพงมองดูเวลาจากเงาเข็มมิใช่มองเข็มที่ทำด้วยเหล็กส่วนมาก) ตอนขณะที่มิคานเรียนที่มหาวิทยาลัย
และตั้งแต่เกิดมามิคานไม่เคยเป็นคนประสบภัยที่ต้องใช้นาฬิกาเลย แต่ทุกคนภายนอดโลกส่วนตัวของมิคานนั้นถือว่า"นาฬิกาคือเจ้านาย"ของตน
ถ้ามิคานมีนัดกับแฟรนด์(friends)ก็มีวาระเดียวเท่านั้นคือความตาย
มิคานโชคดีที่เกิดมาไม่เคยมีภาระกิจอะไรและอะไรเลยนอกจากสิ่งที่ตนเองมีคือลมหายใจและพลังจากร่างกายและมันสมองที่ฝึกปรือมา นับจากเกิดมา
นี่คือสิ่งอันเป็นอัจฉริยะและเป็นพรสวรรค์ของมิคานที่ในกลุ่มชนบางท่านเคยแวดงความเห็นและบอกว่า "นี่เป็นบุญแต่ชาติก่อนแน่นอน"
และที่สำคัญมิคาาไม่เคยพบอุบัติเหตุในชีวิต
และเป็นไข้ต้องเข้าโรงพยาบาลจากชีวิตที่เกิดมาจนบัดนี้แต่มิคานบอกว่า"พรุ่งนี้ไม่รู้อย่างไร"
หลายคนบอกว่ามิคานเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งมาเกิดเพื่อดูว่า"โลกมนุษย์เคียงข้างเธอไปกันถึงไหนแล้ว" มิคานจึงเป็นโอมบัสแมน(omni-budsman) ผู้ตรวจการมนุษย์โลกของสวรรค์
แต่มิคานไม่เคยทรนงตัวว่าตนมีสิ่งแปลกที่ตนเป็นแต่ตรงกันข้ามลอร์ดมิคานกลับรำลึกถึงความตายอยู่ทุกเสี้ยววินาที ไม่เคยคิดว่าตนมีเทวาภิสิทธิ์นิยมอะไรในตนเอง
มีตอนหนึ่งมิคานพบผีในร่างมนุษย์
และคิดว่าตนจะถูกฆ่าตายทันใดนั่นเมื่อเหตุการณ์ไม่น่าคิดถึงก็เกิดขึ้นน่ากลัวและหวาดเสียวตำรวจหรือคนพยานเห็นคงช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากคำวิงวอนและคำร้องขอชีวิตที่มิคานน่าจะทำ และคำมั่นสัญญาที่ศาลอาจจะให้ต่อผีเร่ร่อนอย่างพวกมัน
ทันใดนั้นมิคานก็หลับตาลงเอาละถึงเวบาตายของเราแล้ว "ก็จงตายไป" มิคานจะไม่ต่อสู้ไม่คัดค้าน ทันใดที่มิคานลืมตาขึ้นอีดครั้งเจ้าผีเร่ร่อนเทียบเท่าปีศาจร้ายนั่นก็พลันหายไปจากสายตาของมิคานทันที
และแต่นั่นมาเแนเวลานานมากมิคานไม่เคยเจอปัญหานี้อีกเลย แสดงว่าผีหรือปีศาจที่มิคานพบมาในร่างมนุษย์ตนนั่นต้องมีสมาคมมมีองค์กรที่
เป็นอะไราสักอย่างที่มีปรัชญาในการทำงานว่า
"จะไม้รังแกและทำผีหลอกกับมนุษย์คนที่ไม่สู้และกลัวและพร้อมตายถ้าถูกแกล้งหรือถูกกระทำ"
แล้วลอร์ดมิคานก็ได้พบกับเลดี้กีด้า(Gree- d ar)ที่ที่ปราสาทโนวาอันเป็นบ้านพักซุกหัวนอนนะดับกิตติศักดิ์ของลิเทล
มันอบู่บนภูเขาสูงมีน้ำไหล
มิคานจำได้เท่านั้น สั้นกรึ่งคืนมินสยพีกมีทยี่นอย่สงสงบจำได้ว่าห้อฝสะอาดโปร่งใสสีจางแบบทุกอย่างตามธรรมชาติมอบให้และเท่าที่ธรรมชาติมี
ในห้องไม่มีอะไรนอกเสียจากจากน้ำบริสุทธื์ขาวใสหนึ่งขวด มิคาน เชื่อว่าน้ำมันคง"ปราศจากเชื้อโรคแม้แต่คลอรีน"ก็คงไม่มีแต่ลอร์ดมิคานก็ไม่กล้าดื่มมันทันที เพราะสัญชาตญาณที่มิคานต้องแวดระวัง จากนิยายที่เคยอ่าน มันอาจจะมีฉี่แม่มดผ่านติดมา เพราะแม่มดดงผีนั้นไม่ชอบมนุษย์ผู้ดี และคนชอบแสวงหาความจริง
คนพวกนี้แม่มดถือว่า"รู้มาก"
แต่เราไม่มีตาทิพย์เสียด้วยนอกจากตาปัญญาทางวิทยาศาสตร์อาจจะมีบ้าง"ที่มิคานรู้"
และแม้แต่ทาสที่นำน้ำมาวางไว้ในห้องก็ไมรู้
และที่สำคัญพวกทาสไม่รับผิดชอบถ้ามีการตายเกิดขึ้นเพราะกินน้ำมีพิษเข้าไปเพราะพวกทาสถือส่าคสามตายคือดารสิ้นสุดเข่ไม่เสียใจอะไรกับแขกทีทมาพักหรอก "มิคานเดาเอา"
สรุปมิคานไม่ดื่มมันทันที ไม่เหมือดหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟนั่นแน่นอน "ไม่มีพิษและปลอดภัย" มันไม่เปื้อนขี้มือพวกทาสและมันใสสะอาดตามตาเราเห็นประจักษ์ชัแจ้ง"
ปกติลอร์ดมิคานเป็นคนว่านอนสอนง่ายแบบดนตรีบรรเลงในเสียงเพลง เชื่อคนง่าย แต่ที่คิดระแวดระวังตัวมากเพราะว่าตาปัญญาเป็นศาลสูงสุดให้ตนเองว่าจะทำอะไรจงใช้มโนคติที่สูงได้กว่าสติ
จึงค่อยทำลงไปเป็นปรัชญ์ และมิคานมิใช่เป็นคนโรคจิตขี้หวาดระแวงอะไรก็หาไม่!
ภาพวาดสีน้ำติดกระจกกรอบคลาสสิคไม้สักโบราณห้อยแขวนอยู่ข้างขวา ภาพโทนเย็นหมดเป็นภาพน้ำทะเลสีครามอ่อนๆกับเรือหาปลา 1ลำมีธงสีแดงที่หัวเรือ แต่มิคานไม่เห็นลายเซ็นคนวาดและืนินเนียบร้อยเป,'!?
เครื่องที่นอนที่มีหมอนสีขาวเป็นจุดเด่นของห้องมีผ้าห่มและผ้าปูที่นอนขาวหมด แต่ห้องไม่มีกลิ่นดอกไม้แห้งวางไว้เท่านั้น
มันสุดสะอาด "มิคานอุทาน"
นี่ถ้าเราวานจ้างหรือจ้างทาสมาทำความสะอาดห้องนี้หรือให้เราทำเองคงหลายวันเสร็จถ้าจะให้เราทำได้ตามที่ตาเห็นอย่างนี้
เพื่อทำให้ได้ระดับต้องใช้เวลาหนึ่งวัน กินเวลาหลายชั่วโมงจ้างทีเดียว มันเป็นความสะอาดระดับ"โรงแรมห้าดาว"ที่ลอร์ดมิคานเคยไปพักมา
ที่โรงแรมชาย"ทะเลมิฟอน"ที่ชื่อว่า"โรงแรมทาเรส" ใน"เมืองคิฟคอฟ"โน้นทีเดียวนะเนี่ย!
"มิคานได้หลับสนิทที่นี่""
อีกสักครู่หนึ่งมิคานง่วงนอนอีกอยากจะหลับอีก และม่อยหลับไปได้สักพัก ที่กลางห้องโถง ก่อนที่ลอร์ดลิเทลจะมารับไปห้องนอนจริง
เหนื่อยไหม!
เป็นงัย!
สนุกมั้ย
ไปเราไปนอนที่ห้องชั้นบนกันเถอะ "ลิเทลถาม"
"ผมจะพาไป""
อย่างงัยก็ได้ผมไม่ถือนะ่ ลอร์ดมิคานงัวเงีย
ตื่นตระหนกพูดตอบโต้
ถ้าคุณชอบผมปล่อยคุณเอนหลังถึงพรุ่งนี้ก็ได้น่ะ
"ลิเทลถามความสมัครใจ""
พาผมไปทีาห้องชั้นบนที่เขาจัดไว้ก็ดีเหมือน
ถ้าคุณจะพาผมขึ้นไปชั้นดาดฟ้าลนประสาท ผมไปได้น่ะถ้าคุณว่างพอ"มิคานพูด"
ตรงนี้โซฟามีท่านหญิงหลายท่านชอบเดินผ่านมา
ดูมันน่าอายมิใชน้อย"มิคานพูดปรารภกับตนเองและสำนึกในเหตุการณ์บรรยากาศดึกมากแล้ว ซึ่งมันจวนจะใกล้อยู่รุ่งแล้ว""
ลอร์ดลิเทลตอบว่า"ถ้าอย่างงั้ย ขออนุญาตฉันพาคุณขึ้นไปนอนที่ห้องนอนของแขกที่ยอดประสาทน่ะ"
"ตกลงครับ"
ทิ้งให้งานสโมสรที่หล่ยคนยังไม่หายอย่กจะคุยกันเพราะปีหนึ่งเขาทั้งหลาบะมีเหตุนี้เท่านั้นที่มันจะเจอกันได้ครั้งเดียวเท่านั้น
ทั่งคู่จึงพยุงตนเองขึ้นไปยอดปราสาทซึ่งมีบรรไดใหญ่เกว้างเท่าเขา
ทั้งสองพากัรถ่อสังขารมาในงานนี้
จึง ปล่อยทิ้งบรรยากาศแห่งการสรวลเสเฮอาตามประสาผู้ชายกันต่อไป ไม่มีสุภาพสตรีสักคนเดียวเหลืออยู่เวลานี้ที่ห้องโถง
ทำให้ มี ส่วนของเสียงเอะอะโวยวายอย่างลอร์ดลี่(Lordly)ยังคงมีต่อไปที่ห้องโถงของปราสาท
มิคานคาดว่าะวกเขาคงคงจะโต้รุ้ง แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ ถ้ามีมี ก็มีหมอศัลยกรรมผ่าตัดร่วม
มาด้วย รวมทั้งหมองูมีประจำที่เพราะที่ปราสาทคูเซอน์ นี้มันห่างจากโรงพยาบาลถึง100 กิโลเมตรไกลทีเดียว
แต่คืนนั้นไม่เคยเกิดเหตุพิพาท และตามประวัติก็ไม่เคยมี หรือเคยมีอะไรแม้การแย่งคู่สนทนา หรือปัญหากับสครีเพศที่มาร่วมงานด้วยเลยแม้แต่น้อย นอกจากความสนุก นับจากที่งานราตรีสโมสรนี้ก่อตั้งมากว่า2,500 ปีแล้ว
นักประวัติศาสตร์ไม่บันทึกอะไรไว้เลยหรือว่า
ปกปิด แต่มิคานคิดว่าเขาคงไม่ปกปิด หากมีอะไรเกิดขึ้นแต่ละครั้งปีที่จัด มันหลายชั่วโคตรคนทีเดียวน่ะและเมื่อมันไม่มีเหตุร้ายอะไรเลย ก็แสดงว่าสโมสรสมาคทราตรีนี้มีความเป็นโนเบลตี้ (Novelty=อย่างมีเกียรติยศอันสูง)อย่างแท้จริง
ที่โต๊ะสนทนา ไม้โอค์และไม้สักทองเก่าแก่หลายตัวที่เป็นทรัพย์สินประจำปราสาท และห้ามมีการเคลื่อนย้านเด็ดขาดเป็นพินัยกรนม นับแต่วันสร้างปราสาทเสร็จจนบัดนี้
และลอร์มิคานสังเกตดู เหมือนว่ามีสองลอร์ดดูจะเป็นเพราะถือไม้ถ่องาช้างมาด้วย เขาดูจะชราๆชรามาก แต่ทะมัดทะแมงพอเทียบเป็นแรงของคนแก่ของลอร์ดสองรายนี้ แรงนั้นมีพลังงานที่พอที่จะเตะหมาให้ร้องไห้ได้ "ถ้าท่านจะทำ""
และเพราะไม้ถ่อนั่นเองที่ทำให้ที่แนกำลัง
อันมีพลังให้มีภาพที่เขาสูบซิการ์มวนใหญ่กว่าด้ามไม้กวาด เขากำลังนั่งคุยกันสองคนอย่างมีสมาธิดุจการประชุมลับของผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อวางแผนประกาศสงครามอย่างงัยอย่างงั่น แต่เปล่าหรอกที่นี่ไม่มีสงครามและสันติภาพ
"ที่นี่จะมีคือแต่เฉพาะสงครามชีวิต"" ลอร์ดโดฟว์เคยยืนยัน และโลกของสงครามและโลกของสันติภาพไม่เคยมีที่ปราสาทครูเซอร์
สองลอร์ดนั่น นั่งพึมพำๆกันอยู่ แต่ที่จริงเขาเป็นคนวัยกลางคนเฉียดๆชรา ที่น่าสงสารเห็นจะได้ เพราะร่างเขาดูเหมือนมีโลงผี ไม้สักแสนเบาที่พกพามาอยู่ในรถม้าด้วย เขาจะมีมันในเวลาเดินทางไกล กรณีเขาขาดที่นอนที่เขาชอบ แต่ถ้าสมมุติเขาตายลงในขณะเดินทาง
โลงผีไม้สักที่เขาพกพามันสวยแววตา
ดังอาบด้วยชะลกเกอร์(s h a l e c k e r =น้ำมันทาไม้แววชนิดหนึ่งในยุคใหม่ แต่ของโบราณที่แววมิได้ใข้สิ่งนี)ทีเดียวด้วยนี้ละ!นี่คือเพื่อนรักของเขา "ลอร์ดโดฟว์ยืนยัน"กับผู้สนเท่ห์ที่ไร้เดียงสาทั่วไปแต่ไม่เคยมีใครถาม
จะมีก็ทาสหลังค่อมคนหนึ่งพบท่านเข้า
ก็แย้มสรวลออกมานิดนึงแล้วก็ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวอมยยิ้มกับต้นไม้
"มิคานคิด"
และเขาทั้งสองจะพูดส่งสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดนสำเนียงพูดเป็นภาษาต่างประเทศแต่เขาก็เป็นชาวลิเทลปกติเท่านั้นที่ๆปราสาทคูเซอร์ตั้งอยู่
"มิคาน"ฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกัน แต่สำหรับถึงแม้อะไรจะเพี้ยนไปสักเพียงไร
มิคานก็ไม่เงี่ยหูฟังมันว่า"เขาคุยอะไรกันสิ่งที่มิคานระวังก็คืออะไรบ้างจะหล่นใส่หัวเขา
แผ่นดินจะไหวพังปราสาทคูเซอร์ในคืนนี้หรือไม่ หรือปัญหาเฉพาะหน้าที่ใกล้ตัวเขามากที่สุด
และที่มิคานห่วงมากคือเหยือกของยอดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเท่านั้นที่สำคัญสำหรับมิคาน
แต่มิคานก็เชื่อว่า
สองท่านลอร์ดนั้นเป็นลอร์ดสมัยดึกดำบรรพ์และอพยพไปอยู่ต่างแดนมาสำนวนภาษาของท่านจึงเพี้ยนไป
แต่มิคานฟังว่า:
ลิเทล5(6730)
ลิเทล5" รวงข้าวสีเหลืองทอง
เขาจะเครียดตาย คืออยากจะตายไวๆแล้วไปตายและเกิดใหม่อีกครั้งและท่านอยากเกิดเป็นชาวนา เพราะว่าเป็นชาวนาจะได้เห็น
ทุ่งนาฟ้ากว้างกว้างตลอดเวลาเห็นนกนาบินแทนการเห็นทาสปู้ซื่อสัตย์และทหารหมัดกล้ายืนถืออาวุธอยู่หน้าวัง
และได้เห็นความเขียวของนาและเมฆฟ้าสีครามเทาสวยงามสลับกัน และเห็น
ทุ่งท้องของนา เมื่อวาระ ที่ข้าวรวงในนาข้าว(rice farm) แก่จัดเป็นสีเหลืองทอง แลดูอร่ามตา ยิ่งเมื่อยามถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์อ่อนยามเข้า ข้าวนี้ไม่ว่ามาจากสายพันธุ์อะไร มันก็ดูศักดิ์สิทธิ์ไปหมด
และสุกมาถึงหม้อคนกินจรดเมล็ดข้าวสุกที่ติดเหลือกับจานคนล้างเป็นอาหารวสาดไปให้ลูกไก่หิวได้กิน และ ก่อนที่ข้าวจะแปรเป็นขนมปังที่เราใช้เช็ดถ้วยน้ำซุ็ปกินตอนเช้า และมื้ออื่นๆในวัง
ชีวิตทาสมันคงสนุกและชีวิตชาวนามันคงสนุกมากเพราะเแนชีวิตที่ไม่มีมายา
ทาสและชาวนามีแต่ความเหนื่อยและความกลัว
และความง่วงนอน แต่เราตอนนี้กำลังนุ่งห่มมายา
ลอร์ดคีโตพึมพำใส่กันกับวาระจิตที่ทะเลาะกันเองอยู่ในใจ แน่นอนความรู้สึกส่วนตัวนี้
ลอร์ดมิคาน(M i k an) จะไม่บอกให้ใครรู้เลยนอกจากความเงียบที่แฝงด้วยสัจจธรรม ที่มีในตัวของมันและในตัวลอร์ดเอง
ลอร์ดอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ:
"มิใช่หวังว่าตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในปราสาทหลังเดิมเพื่อรับพินิยกรรมข้ามชาติที่บรรพบุรุษทำให้ไว้ก็หาไม่""
"แต่เราอยากตายไวๆ ทว่าแต่มิใช่การฆ่าตัวตายนะ"ลอร์ดอีกคนพูดย้ำ" แล้วอีกคนก็หัวเราะ
และถ้าได้เกิดเป็นชาวนาจะได้จับเคียวเกี่ยวข้าวจากทุ่งท้องนาที่เป็นสีทองมีนกกระจิบบินเแนฝูงมาช่วยทำและเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตเหมือนดังมโนภาพที่ศิลปินวาดอย่าง
"ฟานกอฟ" ชาวดัชแห่งฮอลแลนด์ได้วาดไว้
ปัจจุบันชาติเราเป็นเจ้าเป็นขุนมูลนายมีทาส
แต่ทาสหลอกลวงเราตลอดเวลาไม่เคยพูดความจริงให้เราฟัง "ฉันเดาเอานะ" เพราะเครื่องจับเท็จของทาสในระบบวาระจิตวางแผนล่วงหน้า ยังไม่มีใครคิดได้เหมะเจาะสักที
"เราจึงขอเดาจากข้อเชื่อไปก่อนนะ"
ย้ำว่ามันยังไม่เหมาะเจาะอะไรเลยตอนนี้"เราจึงขอเดา"
ที่จริงชาวนายังแข็งแกร่ง ชาวนายังเป็นนายของมนุษย์เสือโคร่งยังคงกินคนเป็นเหมือนเดิม
งูยังแอบกัดเราตายเหมือนเดิม แต่ที่เห็นว่าสัตว์ดุร้ายมันเชื่องนั่น ก็เพราะ"ยาฉีด"ที่เราทำมิใช่สันดานของมันที่มันจะเป็นมิตรที่ดีกว่าเรา
นะคุณ"
อย่าไว้ใจมันขณะเดียวเกลียดและกลัวมันไว้ก่อนเท่ากับว่าการไม่ไว้ใจตนเองดีที่สุดตามคติธรรมที่เราเคยเรียนมา"
และกล้าแข็ง กำลังมียืดยาวมาก เขาพร้อมจับเราไปสับคอทิ้งได้ถ้าเขาจะทำ เหมือนนิยายที่เป็นภาพยนต์แล้ว ที่น่ากลัวหวาดเสียวและตื่นเต้นและเกิดขนลุกขนชันชนิดพองขนเลยล่ะ! ถ้าใครได้ชมมัน หรือเมื่อใครมีโอกาสเมื่อไปชมมัน
แต่ลอร์ดทุกคนที่นี่ นี่เขาทั้งหลายไม่ชอบดูหนังจะชอบก็แต่ฟังโอเปรา(opera) เท่านั้น
ใช่!เมื่อมีเหตุการปฏิวัติชาวนาขึ้น "สมมุติว่ามี"ตามจินตนาการเชิงลบ" แต่มันยังไม่เคยมี เมื่อชาวนาเขาไม่พอใจค่าแรงที่เราจ่าย เขาจะอุ
ธรณ์ด้วย "วิธีการปล้นและฆ่าพวกขุนนางอย่างเลือดเย็น"" แม้จะไม่เคยมี จะมีก็กรณีโจรสลัด
ปลเนเรือขนเพชรและทองคำและเหล้าหมักอายุ100ปีทางทะเลลึก ที่มีเรือเดินสมุทรผ่าน
ในอดีตเคยมีเรื่องนี้
และที่จริง ลอร์ดมิคาน"ทราบว่าชาวนาลำบากมาก" และน่าสงสาร"
ชาวนาเหมือนแร่ที่รอการถูกสกัดพวกเขามีกำลังกายกำลังใจที่แสนจะลำบากยามเขาถูกใช้และบังคับให้ทำงานด้วยค่าแจ้างเพียงน้อยนิด
เหลือเแนส่วนเกินให้นายทุนรีดเอาไปหมด แม้พวกเจ้าจะเป็นอีกฝ่ายคอยประณีประนอมและรับเงินส่วนเกินมาบ้างด้วยอำนาจเทวสิทธิ์
ชาวนาเขาลำบาหในชีวิตประจำวัน แต่เขาไม่บอกให้เรารู้ เพราะเป็นมรรยาทของกรรมกร
เนื่องจากว่าปรัขญาการทำงานน่ะ"มันต้องลำบากแน่นอน ใครบอกว่าสบาย" แต่หลายกลุ่มแรงงาน
ใฝ่ฝันเพื่อทำความดีสุดขีดเพื่อจะได้เกิดมีอำนาจเทวสิทธิ์อย่างนายทุนและขุนนางบ้างในชาติต่อๆไป แทนการคิดกบฎหักล้างพวกเจ้าและนายทุน
ที่ขูดรีดเอาส่วนเกินเขาไปตามทฤษฎีปรัชญาทุนนิยมฝ่ายซ้ายสุด(เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์=communism เป็นต้นจะพบในหลักสูตรการเมืองการปกครอง ในระดับมหาวิทยาลัย)
ลอร์ดมิคานเคยคิดว่า " เราจึงอยากตายไปเกิดใหม่แล้วไปเกิดเป็นชาวนา" จึงจะได้รู้ความจริงว่าชาวนาลำบากกันอย่างงัย การเดินขบวนเพื่อขอค่าแรงนั่นมันเป็นเพราะอะไร และเหตุอะไรกันแน่และกันแน่! ว่ามันเกิดจากการเมือง
การปกครอง หรือระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการเอาเปรียบ หรือว่าอะไร? ลอร์ดมิคานสงสัย
มันเป็นการเมืองหรือความอดอยากหรือเป็นทั้งคู่ โลกจึงไม่สงบเหมือนดั่งภาาพวาดสักทีแต่เราถูกทาสข้างเคียงเราหลอกว่า"ทุกคนสบาย ทุกอย่างสงบเรีบบร้อยแต่ที่จริงโลกกำลังร้อนระอุดั่งไฟแต่ฉาบทาด้วยากมอกอละน้ำทะ่ลสีคนงรสมเป็นธรนมชาติและทะเลสีครามมันพูดไม่เป็น
นอกจากการทำคลื่นกระทบฝั่งให้
เราเห็นตลอดเวลา ไม่ว่า จะร้อนอ่อนหนาวเย็นยังงัยทะเลก็ยังครวญเหมือนเดิมทะเลไม่เคบปริปากพูดอุทธรณ์ว่าเราเหนื่อยหรือเจ็บปวด
อีกสักครู่ต่อมา
ลอร์ดบลิเทลมา!
เดินเข้ามาและมาปลุกมิคานที่กำลังหลับสไศลอยู่อย่างหมดสติ ตอนเงีายหูฟังสอวลอร์ดผ๊เฒ่านั่วคุยกัรฟังไม่ได้สัยได่แสงจนืำให่มิคานมีสมาธิเงี่ยหูฟังว่าเขาพูดอะไรกัน
หรือว่าจะพาเรามิคานไปเผาย่างกินจิ้มน้ำซอสหอยนางรมกินกันในค่ำคืนคืนนี้ตอนดึกหรือไม่! เพราะที่ปราสาทคูเซอร์นี่มองอีกทีมันลึกลับมหัศจรรย์
และน่ากลัวมากสำกรับคิมานตอนนี้ มิคานนรู้สึกเมื่อเวลาดึกผ่านเข้ามามาก และไร้สตรีผู้มีธรรมชาติอ่อนโยนและเมตตาและไร้ผู้คนมากมายเหมือนตอนเริ่มงานราตรี"วิทวัส"เป็นพยาน
เราคิมานแม้จะเป็นลอร์ดคิมานผู้อาภัพก็จริง แต่สันดานมนุษย์เมื่อนึกสนุกและโมหันต์ขึ้นมา มันก็อาจจะกินคนได้เหมือนกัน เหมือนมนุษย์กินคนที่แม่น้ำอเมซอน ที่ทุกคนเชื่อว่ามีจริง
"แม้คิมานกำลังคิดมากไป และฝันร้ายไปเพราะได้ยินสองลอร์ดชรานั้ยพูดเป็นสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดน"
ลอร์ดมิคานผงะตื่นขึ้นมาแบบอารมณ์งัวเงีย
ลิเทลถามว่า
"เป็นไรมั่ย"
ลอร์ดมิคานตอบว่า
ทุกอยางดูเหมือนว่าจะโอเคหมด
ลอร์ดลิเทลจะพามิคานไปพักที่ห้องดาดฟ้าของปราสาทคืนนี้ที่เรียกว่าแอททิค-สมอล(attic small) คล้ายเพนท์เฮาส์(penthouse)
" กลัวผีหรือเปล่า"
ลอร์ดมลิเทลถาม
มิคานตอบว่าแบบ" อมยิ้ม"ตอบ"
มิคานไปหลับพักผ่อนที่ปราสาทชั้นบนทำให้สมาธิดีขึ้น
มี"ท่านเคาน์เตส"(countess)สาวสวยคนหนึ่งที่มาในงานนี้ด้วย"มิคานเห็น"ท่านเคาเตยท่านนี้ม่เคาะประตู3ครั้งที่หน้าห้องนอนของมิคาน
ประตูห้องมิได้ลงกลอน
มิคานคอบรับว่สา"เข้ามา"
ตอนนั้นมันดึกมากแล้วดึกมากเลย
พอจวนจะรุ่งสางของวันใหม่
มิคานกล่าวว่า
"หวัดีตอนเช้า"ด้วยอารมณ์แจ่มใส
เพราะเธอเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์
เธอบอกกับมิคานว่า
อยากจะคุยด้วยเพราะว่า
มิคานรูปหล่อและน่ารัก
เคาเตสสโลเนียจึงเอ่ยถามต่อไปว่า
มิคานเป็นใคร?
มาจากไหน?
คำถามนี้เป็นคำถามแรกที่ถูกผู้หญิงถาม เพราะในชีวิตมิคานไม่เคยถูก
ถามแบบนี้มาก่อน
แม้ลิเทลยังไม่เคยถามแม้ไม่รู้ว่า
มิคานเป็นใครมาจากไหน
หรืออย่างไร?
ลิเทลรู้เพียงแค่เห็นมิคานเดินอยู่ข้างทางไปสวรรค์สายสอง และมีโคลนเปื้อนเท้าที่เส้นทางไปสวรรค์มันต้องผ่านทุ่งน้ำค้างโอเฟก่อนที่ลิเทล
จะเดินทางมา ร่วมงานราตรีสโมสรวิทวัสปนะจำปีที่ปราสาทคูเฟอร์เท่านั้น
มิคานเมื่อถูกเธอถามว่า
เธอมาจากไหน
ชื่ออะไร
และอย่างไร
เหตุที่เธอถามอย่างนี้
เพราะเธอเชื่อว่ามิคาน
ต้องเป็นลูกขุนนางสกุลใดสกุลหนึ่งแน่นอน
จึงถามอีกครั้ง
เมื่อมิคานแสดงออกว่าไม่อยากให้ใครถามคำนี้และสงวนไม่ตอบมัน
แต่บอกกับเธอว่า
ประมาณนั้นแต่อย่าไปพูดถึงมันเลยความหลัง"ปมเป็นเจ้าก็จริงแต่บังเอิญช่างอาภัพอัปภาคย์อย่างสุดเหลือ และลอร์ดมิคานเงียบไม่อยากที่จะอธิบายอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอ้น"
ขอเป็นแค่คนมนุษย์ธรรมดามีอากาศหายมจแฃะชอบกินน้ำค้างเป็นอาหารก็พอ นอกนั้นตามตาเห็น แล้วแต่ใครจะคิดอะไรอักนอกนั้น เท่านี้ก็พอแล้ว แต่เป็นมนุษย์ที่รู้จักแปรงฟันก่อนนอนตื่นนอนแล้วรู้จักล้าวหน้า ผ้าเสื้อรู้จักซักและทำความสะอาดเป็นมาตรฐานเป็นพอ
รักความสะอาดและเป็นคนมีมโนธรรมเท่านี้ก็พอ นุ้สำคัญมากคือความสะอาดและมโนธรรม
ลอร์ดมิคานไม่ขอตอบคำถามเป็นตรรกะแบบนี้
ท้ายสุดเธอถามว่ามิคานชื่ออะไรจริงๆ
"ผมชื่อลอร์ดมิคานแห่งคลิงวู้ด(เมืองลึกลับที่สูญหายไปแล้วเพราะถูกทำลายจากพิษของสงคราม) จาก
คนใกล้ชิดบอกผมมา "มิคานสารภาพ""
แต่ผมเป็นลอร์ดผู้อาภัพออกจากบ้านมานับจากวันคลอดจากท้องมารดา และไปทั่วตามชีวิตและชะตากรรมกำหนด
เหลืออย่างเดียวตอนนี้และตอนนั้น
แต่ผมไม่เป็นขโมยและเป็นโจรสะอย่างเท่านั้น "คุณคงเข้าใจ"
"อย่าไปพูดถึงมันเลยมันยาวมากถ้าจะเล่าชีวิตและชะตากรรมเของผม
ให้คุณฟัง
"เธออมยิ้ม""
เคาเตสโลเนียนั้น
สวยน่ารักวัยสาวเกินขนาดาวัยสะรุ่นนิดๆแล้วมิคานจึงเฝ้าคอยให้เธอพูดอะไรต่อไปถึงสาเหตุที่เธอมาเคาะประตูในยามดึกเช่นนี้ "ปกติตอนนี้คนจะหลับจะนอน"เคาเตสแสดงอาการเสียใจและขอโทษกลับต่อมรรยาทที่เธอทำ"
ลอร์ด มิคานจะรอฟังหลังจากนั่งคิดและ้หม่อมองและมองออกไปทางหน้า
ต่างดูก้อนเมฆยามเช้ากำลังวิ่งชนกันอย่างสนุกบนท้องฟ้า
เคาเตสสโลเนียทวนคำตอบของมิคานว่า
"ผมเคยเป็นเจ้าแต่ตอนนั้นผมพลัดพรากและไม่สนุกเหมือนการเป็นมนุษย์ติดินที่คิดถึงอยู่ตอนนี้
คือ
ผมคิดถึงอาหารทุกมื้อ
ที่จะอิ่มท้องได้
และทุกๆแนวทางที่จะทำให้ผมพอใ
จโดยคนอื่นไม่ลำบากและมีมโนธรรม "นั้นคือตัวผม"
"นี่คือความจริงของผมและชีวิตของผมนะ"
ทันทีที่มิคานพูดจบ
เคาเตสโลเนียหัวเราะลั่น
หลายคนยินคงตื่นขึ้น เมื่อมาฟังถ้าได้ยิน
เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดของ
เธอ "ที่น่าทึ่ง"