วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดเทล5"(34133)รวม12345- รวงข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทอง"อาจซ้ำซ้อนบ้างกันเนตล้ม"งานวรรณกรรมสูญหาย"ขออภัย

 OK(30274)1-5sectora 3 error
       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
    
lord l i te l
 OK
       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น
          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา
      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น
       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"
      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว
          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทตาพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล
       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด
        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร
       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน
        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล
      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน(แต่มิใช่เป็นสายลับในมุมมอ
งทางจารกรรมหรือการเมืองใดเลยเพียงแต่เป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง
ที่เป็นปริทรรศน์ของวิถีชีวิตปกติ และเป็นนิยายในตัวมันเองเท่านั้น"ส่วนจะคิดมากอะไรไปอีกก็สุดแท้แต่จะคิดกันเอาเอง")
จนต่อมากลายเป็นว่า
"ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงคราม หลังการตีความได้ถูกแตกแยกออกไป ด้วยปัญญาอันสุขุมของ"คนขึ้สงสัย คนอ่อนเลข และเป็นคนชอบคิดมาก ชอบไร้สมาธิแห่งความเป็นคน ที่ชอบมีมิติที่วกวน  คิดมากไร้สาระ เกิดขึ้นมาเสมอในชีวิตประจำวัน
 
      ใช่" แต่นั้นมา ก็ได้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจนเป็นการเริ่มต้น ที่เป็นที่ตั้ง และไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ เหมือนหิวข้าวแล้วต้องกินทุกวัน และทุกวันก็ไม่เคยหายหิวไปเลยแบบกินเพียงมื้อเดียวแล้วจะอิ่มไปตลอดกาล "นั่นคงเป็นไปไม่ได้" เพื่อนเอ๋ย
       และต่อไปสิ่งสำคัญที่จะไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ลงตัวเลย  นอกจากบริบทของความตายเท่านั้นที่เป็นอมตะที่ก็แก้ตกไปชั่วชาติเดียวเท่านั้น 
        มันก็เป็น "เซตาดีย"=ces- t a-idea(สำนวน=ฝรั่งเศสว่า"อีกความคิดหนึ่งอักอันหนึ่ง)อันหนึ่ง
      ที่จะคิดเปรียบเหมือนราวกับและกับว่าทุกคน"มองและเข้าใจมันถึงเรื่องาของ"แรงโน้มถ่วง =(พลังงานจำนวนมากที่คนไม่สามารถมองเห็ได้ด้วยตาเปล่า ให้ละเอียดได้ คือตาเห็นข้าวทีทจะกินบนโต๊ะอาหารตนเอง และใครจะเห็นได้ดีนอกจากคนเรียนดีเรียนเก่ง ที่มีมติว่าการเรียนการรู้ได้และการสอบได้คือสันติภาพถาวร หรือจะเรียกว่า"ความรู้คิอสันติภาพ"ของโลกและของตนเอง 
       หรือเหมือนการมองท้องทะเลที่สุดสายตาออกไป ที่ไกลสุดลูกหูลูกตาไกลไปแล้ว ๆมา เข้าใจผิดว่า"มันมีแต่หมอกและเส้นสุดขอบฟ้าเท่านนั้น  แต่ที่จริงถ้าเดินกลางทะเลด้วเรือหาปลาหรทอเรือรบออกไปดู  และจะพบว่าถ้าไปเรื่อยๆ  มันกลับพบว่า"ไม่ใช่หมอกที่เป็นมายา  แต่มันมีเมือง มีเกาะมีโขดหินมีอะไรอีกมากมาย มีนกมีหญ้ามีสัตว์ร้ายฯลฯ
นอกจากหมอกฉันใดก็ฉันนั้น)
) ลอร์ดมิคานคิดว่าคนที่ไปดวงจันทร์เขาก็หวังจะได้พบสิ่งใหม่เขาจึงทำกัน เพราะ"อินฟินิตี้"=การสิ้นสุดของการแสวงหามันนั่น"มันไม่มี"
และ
"ที่คนตาถั่วจะมองไม่ออกว่า "มันคืออะไรและอะไรกำลังเกิดขึ้น" ในอนาคต
ที่นักพยากรณ์ศาสตร์ทุกชนิดไม่สามารถข้ามพ้นมายาตัวนี้ได้ เพราะแรงโน้มถ่วงมันอนันต์มันเกินกว่าต่าของไพน์
เพื่อหาค่าขิงวงศ์กลมที่จะคิดให้เป็นแบบอุปนัยหรือนิรนัยใดๆ(แนวคิดจากมากไปน้อยจากน้อยไปมาก)
     ต่อมา  ทุกคนจะปลงตกและยอมรับว่าชีวิตและชะตากรรมนั้น"มีอยู่จริง"มิใช่มายา
       คือสรุปเป็นแบบไม่ตรรกะ(เหตุ
ผล)อุบาทว์หรือวิบัติได้ว่า
     ถ้าสรรพสิ่งในโลกนี้ถ้า"ใครร้อนใช้ก็ให้ใช้ไม้พัดหรือแอร์เย็นและพัดลมเฉล
ยเพื่อแก้ทุกข์สุขที่ตนประสบ
ในส่วนที่เกิดมีขึ้น ที่ธรรมชาติมอบส่วนเกินให้มา
        ส่วนใครถ้าความหนาวจากหิมะเย็น
มารังควาญ ยื่นส่วนเกินให้มาเป็นส่วนเกินนี้เมื่อใด
          ใครนั้นที่ประสบภาวะหนาวเย็นจากน้ำแข็งแห่งธรรมชาตินี้ก็ใช้"ฮีตเตอร์=heater  "=(เครื่องทำความร้อนแก้หนาวชนิดหนึ่ง)เข้าแก้  จนคนสองกลุ่มนี้ได้สบายใจ  นอกจากปกติ เมื่ออิ่มก็นอน เมื่อหิวก็กิน เมื่อเหนื่อยก็พัก
            ส่วนถ้าน้ำท่วมพายุใหญ่มหันตภัยเพีบงใด  อันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ
" ลอร์มิคาน"ไม่ได้นับและนำมาคิด เพราะมันมิได้เป็นสามัญเหตุ "จะไม่คิดเป็นส่วนสาระจะมีก็ส่วนอื่นค่อยๆว่าไป"
      แต่ช่วงภัยทุกอย่างมีขึ้น
สำหรับส่วนที่ปดติเสมอ
คือคนขายของได้ คนที่นับเงินขายของก็นับเงินกันไปกอบโกยกันไป จนเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีสงคราม ว่ากันไปส่วน
คนที่จะตายก็ตายกันไป
        มาคิดจริงๆ"ลอร์ดมิคานได้มงเป็นอย่างนั้นไปหมด
         ที่คิดอย่างนี้"มันมิใช่คนบ้าแห่งบ้าน"หลังคาแดง(ที่คุมขังนักโทษเทียม ทางจิตวิทยาชนิดหนึ่ง)อาจจะมองกัน"
แต่นี้ก็ขอเป็นมุมมองของปัจเจกโพธิ ของอภิมหาอมตะนิยายที่อยากจะมอง"ก็เท่านั่นเอง"
     มันอาจจะเป็น"ฉาก" ที่ไม่ต้องจัด
ที่ได้พูดมันขึ้นมาอย่างเป็นวรรณกรรมนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่า
      ก็เพื่อเป็ยการลับสมองให้กับ
ตนเองว่า"ตนเองมีหลักยึดเหนี่ยว"เมื่อใครอยู่ในสภาวะ
        ที่กำลังจะตายถ้ารู้อย่างนี้แล้ว จะไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ความจริง ว่าอะไรเกิดๆได้อย่างไร แล้วพอตายลงสุดจะทรมาน  และได้ข้อสรุปที่สำคัญคือ "เมื่อจะเจ็บจะตายลงก็จะไม่เดือดร้อนคนอื่นเขาที่ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง"
สรุป หลายคนบอกว่าการจารกรรมคงมีและมีระหว่างคนชั้นขุนนางและทาสและกรรมกรทำต่อกันด้วยเงินทุนตนเอง
     แต่ลอร์ดมิคานมอง  นี่มันว่า"ไม่ใช่" แต่ นี่มันกลับเป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั่นเอง"
     เพราะมิได้หาประโยชน์ทางจารกรรมอะไร การทำจารกรรมมันต้องหวังผลประโยชน์และเงินเดือน  ส่วนที่ไม่ทำจารกรรมคือ ทำเพื่อสากล ทำเพื่อยังชีพทำอะไรเพื่อการอยู่รอดได้
      อันนี้ลอร์ดมิคานไม่ถือว่าเป็นจารกรรมข้อมูลต่อกันอะไร ระหว่างคณะขุนนางและคณะทาส ด้วยประการฉะนี้แล
       

                        ลอร์ด ลิเทล
                           ตอนที่2
        "คิมานไปดื่นน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟ"OK
              วันนั้นเป็นฤดูหนาว คิมานเดินด้วยเท้าบูทหนังสัตว์แต่งตัวดี รูปสมาร์ทใครเห็นจะอดมองไม่ได้ ไปบนเส้นทางไปสวรรค์ บนเส้นทางสายนี้มีรถมากมาย ในจำนนนั้นมีรถของลอร์ลิเทลด้วยกำลังวิ่งไปงานรังสรรค์ราตรีวิทวัสที่ปราสาทเบตา
      สำหรับคิมานกำลังเดินทางไกลบังเอิญบนเส้นทางเดียวกัน โดยมิได้นัดหมาย จุดประสงค์ของคิมานกำลังเดินทางเพื่อไปหาคลำหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าที่ทุ่งโอเฟ ๆ ติดกับเส้นทางสวรรค์สายนี้พอดี
        คิมานชอบกินน้ำค้างจากหยอดหญ้าเพราะเทพวิเกสอนมาตอนที่คิมานไปพักผ่อนกับ
ท่านเพื่อเรียนศาสตร์วิเศษหายตัวได้และอยู่ยงคงกระพันในสมัยวัยเยาว์
      "ท่านวิเก"เป็นสามัญชนและเป็นลูกทาสในครอบครัวที่ดูแลคอกควายเผือกแห่งฟาร์มใหญ่ที่ชื่อว่า"มอนเน"
มีท่านเทพ"มอนเน"เป็นเจ้าของ
        หลายคนรู้จักพฤติกรรมประหลาดๆของคิมานและลอร์ดลิเทลดี
และก็ตำกนิว่าขุนนางเดิดมาดีแค่ทำไมชอบทำชีวิตติดดินที่จริงควรอยู่บนท้องฟ้าและอยู่แต่ในประสาท
บนโลกแห่งแผ่นดินใต้สวรรค์ที่ท่านจุติเดิดมาเป็นเจ้าในร่างมนุษย์
           
          หลายคนไม่รู้ความเป็นมาแต่มีปราชญ์แสนรู้เรียนสูงบางคนเท่านั้นบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนวิชาเทววิทยา
   
          คำอธิบายมีอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง"ศาสนามิลานา"อันศักดิ์สิทธิ์และสุดขมังเวทย์ในอวกาศและโลกมนุษย์น้อยคนนักมีความสามารถที่จะนับถือศาสนานี้
  
            กล่าวคือทั้งลอร์ดลิเทลและลอร์ดคิมานนั่นถูกอาญาสิทธิ์ให้แปลงร่าง
มาในรูปมนุษย์เพื่อตรวจตรา ความลำบากของทาสและขุนนาง
ในการดำรงชีวิตและการสูญเสียแรงงานเพื่อทำกินและมีชีวิตรอด
    
            และลอร์ดลิเทลเองนั้นในพระคัมภีร์ของศาสนามิลานาบอกว่าในชาติก่อนเคยเกิดเป็นกบทองคำอยู่รวมกันในบึงมิเชอันเงียบเหงา
และต่อมาหลังจาก กบทองคำเพืาอนกันทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อจับไปทอดกินแกล้มในฤูกาลฤดูที่ฝนตกหนัก เพราะเสียงร้องอันเพราะพริ้งสะเทือนฟ้ายามฝนมาตอนนั้นกำลังผสมพันธุ์โดยลอร์ดคิมานเป็นกบตัวผู้ส่วนลอร์ดลิเทลเป็นกบทองคำสาวตัวเมีย
            เมื่อกบทองคำทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อพาไปย่างและทอดกินแกล้มเหล้าฤทธิ์แรงเสร็จ ขณะตายกบทั่งสองได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ขณะเกิดได้รับโองการจากเทพอสูรผู้คุมขะตากรรทสัตว์โลกบนพื้นปฐพีให้เป็นไปได้
           เพื่อลิขิตให้กบทองคำทั้งสอง ไปเกิดเป็นมนุษย์ และไปสืบห่ความสุขทุกช์ของมนุษย์ทุกคน ว่าใครมีความลำบากอะไรและจะให้เทพอสูรช่วยแก้ไขอย่างไร เพื่อให้มนุษยชาติทุกๆคนได้มีความสุขสุนทรีย์ทุกถ้วนหน้ากัน
        เหตุที่อสูรมองไม่เห็นด้วยตาตนเองเพราะแกก้ววิเศษของเทพอสูรถูกยิปซีคนหนึ่งบนสวรรค์และจอมซนขโมยไป ด้วยเหตุนี้ เทพอสูรจึงมองอะไรด้วยตาญาณหยั่งรู้เห็นอะไรได้
ตามใจนึก
         จึงใช้อำนาจที่ตนมีดลบันดาล
ให้ตนเองสามารถลิขิตชีวิตชะตากรรมของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดทั้งมวลได้ตามใจชอบ  
         เทพอสูรจึงลิขิตให้ลิเทลและคิมานมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นขุนนางและเลิกใช้ความเป็นขุนนางที่ตนเป็นแต่ให้ไปคลุกคลีสังคมกับพวกทาสและประชาชนธรรมดาเพื่อแสวงหาสัจจะและความจริงแท้ในสรรพสิ่ง
       ลอร์ดลิเทลจึงกลายเป็นคนอย่างทาสแต่มีใจเป็นมโนธรรมสูงสุด
ลอร์ดคิมานก็เช่นกัน
สนุปง่าบๆคือ ลิเทลและคิมานเกิดเป็นขุนนางแต่ประสบภับปัญหาชีวิตวิบัติจนตกไปอยู่ในกำมือของ
จารชนและพวกทาสที่ขาดมโนธรรม
ในขั้นตอนต่อๆมา
         จากปรัชญามนุษน์มีมโนธรรมแห่งความดีเป็นสมบัติฉะนั่นคำว่ารวยจนยากไร้เข็ญใจและพรมแดนที่อยู่ไม่มี
  
        อะไรมาขวางกั้นมโนธรรมแห่งควสมดีนี้ได้   แต่บางคนที่เป็นมนุษย์เลวไม่เชื่อว่า"มโนธรรมแห่งความดีไม่มีอยู่จริง "เป็นผลให้เกิดความริษยาหึงหวงเกิดสงครามจลาจลเกิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่วเป็นฐาน
          สรุปอีกครั้งในชาติก่อน ลิเทลและคิมานเป็นคู่รักกันในชาติที่เกิดเป็นกบทอคำ และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งสองได้มาเกิดเป็นขุนนางตกยาก
แต่มิได้เป็นพี่น้องกัน แต่ลิเทลมาพบ
     คิมานตอนเดินทางไปงานวิทวัสราตรี
บนเส้นทางสวรรค์และได้พบกับคิมานโดยลังเอิญ
ขณะที่คิมานไปหาเก็บยอดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟรนั่นเองได่พบกับลอร์ดลิเทล
ที่กำลังขับรถมา ทันทีที่ลิเทลเห็น
คิมานก็นึกชอบคิมานอยากเป็นกัลยาณมิตรด้วยคืออยากเป็นเพื่อนด้วย  ลอร์ดลิเทลแสดงตนอย่างสุขุมชวนคบมิได้แสดงอาการอยากคบเด็กเพื่อพาไปเล่นตูดอย่างที่คนไร้มโนธรรมชวนคิด และใฝ่ฝันหาแต่อย่างใด
      คิมานทราบท่าทีจากสายตาของสุภาพบุรุษผู้เฒ่าและคิมานอ่านความในใจข้อนี้ของผู้อาสุโสที่ชักชวนตน
   ต่อมา ลิเทลจึงออกปากชวนจริงๆเพื่อชวนคิมานไปงานราตรีวิทวัสด้วยกัน
    โดยลิเทลเสนอให้คิมานนั่งรถยนต์ไปด้วนกัน รถยนต์ของลิเทลนั่นเป็นรถฟอร์ดอัสตินคันสีเขียว
ไม่กินน้ำมัน ในรถของลิเทล
มีเครื่อง"ฮีตเตอร์"เครื่องทำความร้อนกันอากาศหนาว
     มือของคิมานแดงก่ำจึงกล่าวขออนุญาตลิเทลใส่ถุงมือผ้ากันหนาว
ส่วนจมูกและปากของคิมานพ่นควันหมอกพุ่งๆตลอดเวลาที่คุยกัน
แต่ไม่มีกลิ่นปาก
     เมื่อรถออกจากเส้นทาง
สวรรค์2 เขาเรื่มคุยกันนิดนึงและคุยกัน
ลืเทลถามคิมานว่า
'จะไปไหน?'
 คิมานอมยิ้ม
พลางพูดว่า
เรื่อยๆ
     ลิเทลจึงหยิบขนมบิสคิตที่ท่านหญิงกีด้าให้ลิเทลมาและนำมาเป็นสัมภาระระหว่างการเดินทางไปงานราตรีวิทวัสของสามี
     ลิเทลเปิดกระปุกไปพลางขับรถไปพลาง สายตาลิเทลมองไปข้างหน้ารถหน้าถนนไปด้วย
       มันเป็นบิสคิตยี่ห้อ"แฟรี่เทล"
พร้อมเสนอให้ลอดร์คิมาน
อันหนึ่ง"สำหรับคุณ"
ขอบคุณครับ
คิมานตอบรับพลันและใส่เข้าไปในปาก
       รสหวานอมช็อกโกเล็ตและกลิ่นหอมนั่นคือคุณสมบัติของขนมชิ้นนี้ที่เรียกว่าเป็นอาหารว่างมื้อโปรดของทุกชีวิตขณะเดินทางและเมื่อมุอาการว่าเหนื่อยหน่าย
 จึงใช้มันและกินมันอย่างเป็นวัฒนธรรม
    สักระยะต่อมาที่คิมานเคี้ยวกิน
ไปในปากที่"อมอย่างเเก้มตุ่ย"
    ลิเทลจึงเสนออีกอันหนึ่ง
คิมานบอกลิเทลว่าพอ
    และพร้อมพูดว่า"ผมไม่ชอบกินของเล่น" และพลางกล่าวต่อไปว่า
    ผมพึ่งจะไปหาเก็บน้ำค้างกลางหาวที่เทือกเขาโอเฟดื่มมาเมื่อสักครู่
 มันอื่มมาก "คิมานยินยัน"
     ลิเทลเงียบพร้อมปิดกระปุกบิสกิตไว้และสอดวางที่เบาะรถด้านหน้า
   "บิสกิตแฟร์รี่เทล"=biscuit fairy tale"นี้งัยที่ พวกโจรปล้นสวาทชอบคลุกยาปลุกกำหนัดให้หญิงหรือขายกินแล้ว"เงี่ยน"สุดขีดที่ใครๆสุดจะทนได้
     แต่คิมานไม่มีความรู้เรื่องนี้
 
      แล้วการเดินทางก็ดำเนินต่อไป
ตอนนั้นเป็นทิศเหนือที่เป็นตำแหน่งทิศที่ดาวประกายพรึกจะยอแสงจ้าในตอนเช้ามืด
     ลิเทลขับรถข้าๆไปเรื่อยๆ
คิมานมานม่อยหลับไป ส่วนศีรษะหัวเอียงเอนไปพิงที่กระจกรถด้านข้าง
     ลิเทลรู้อย่างนั้นจึงเอือมมือไปหยิบหมอนพิงด้านหลังเบาะรถให้คิมาย
คิมายกล่าว"ขอบคุณ"
รถวิ่งต่อไป เพื่อไปงาน"ราตรีสโมสรที่วิทวัส"
    ที่ลอร์ดลิเทลได้รับเชิญทุกปี
มันเป็นงานใหญ่โตมโหราฬสำหรับใครบางคน
     และมีแขกจำเพาะไม่มีดนตรีใดๆอึกทึก
แม้งานนี้จะจัดที่ปราสาทที่ตั้งของมันมันจะอยู่ในป่าเปลี่ยว
   นอกจากเสียงคุยและเสียงเพลงแห่งธรรมชาติเท่านั่นที่ที่นี่มี ตอนนี้
    นอกจากนั้นจะมีพิเศษก็กาแฟดำและเนื้อย่างแกล้มไวน์แดงเท่านั้น
     เท่านั้นและขนมปังย่างเนื้อหั่นจากก้อนแฮมสดขนาดใหญ่าไลด์กินเองตามชอบของแขกทุกคนที่มาจากตู้เย็นที่จะสไลด์กินกันได้ถ้าใครอยากเมื่อหิว
     มันเป็นเหตุการ์ที่ปราสาทคูฟอร์
มีหมาแอลซีเชียล20ตัวเป็นยามเฝ้าปราสาท ที่ปราสาทนี้เมื่อ200ปีก่อนมีโจรสลัดโหดร้ายชอบขึ้นทะเลมาปล้นและฆ่าพวกขุนนางที่
อ่อนแอและไม่เก่งปืน
   งานนี้ มันมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายการคุยกันสนุกและเย็นชาแบบๆไปเรื่อย แบบทุกคนไม่กลัวเสียเวลา คนมาที่นี่ในงานนี้เป็นชนชั้นไม่บริโภคเวลาทั้งหมด
    มันไม่มีเสียงโฮกฮาก !กระเติ๊กกระต้าก!!ใดๆ แต่จะมีด็แต่กลิ่นควันยามวนซิการ์พวยพุ่ง
และอาจจะเป็นกลิ่นน้ำจากควันซิการ์อันหอมเจือรสนิยมเฝื่อนๆชวนเพลิน และตามด้วยน้ำหอมกลิ่นดีหายาก รสจำเพาะจากการสั่งทำจำเพาะของชนิดจากโรงกลั่นสกุลน้ำหอมชั้นเยี่ยมแต่ไปรเวท
    มันจะโชยแผ่วมาทับกลิ่นบุหรี่มวนซิการ์อย่างกลมกลืน
ที่ทุกคนเพศชายจะสูบ  สถานก
การณ์ตอนนี้ส่วนหนึ่ง
มันเหมือนภาพวาดตามจินตนาการของนักวาดอย่าง"ฟาน-กอฟ"ศิลปินชาวฮอลแลนด์
   
     กลิ่นน้ำหอมมันจะมาจากกลิ่น
ตัวและกลิ่นน้ำหอมจากใต้ข้อมือของผู้หญิงที่ทาถูฝังเอาไว้ทุดคนที่มาในค่ำคืนงานราตรีวิทวัสนี้ทุกคนเลยทีเดียว
เว้นคิมานคนเดียวในค่ำคืนนี้ที่ไม่มีกลิ่นอะไรเลยติดตัวมา
     นอกจากกลิ่นไร้เดียงสาและกลิ่นมโนธรรทเท่านั้นที่ตนเองมี
แต่คิมานไม่เขินสักนิดเดียว
    มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า ลอร์ดเกอรีซึ่งคงเป็นขุนนางเก่าคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นมาว่า
    วันนี้พวกเรามีแขกไม่คุ้นหน้ามาด้วยกับลิเทล ตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นบุตรของลิเทลทีพึ่งโตและแก่แเดดแล้ว!
    ลิเทล กล่าวคำขอโทษทุกคนและจึงเอ่ยบอกทุกคนว่า"นี่คือคิมาน"เด็กหนุ่มน้อยอันมีเกียรติท่านผู้นี้
     คือว่าท่านผู้นี้ เราพบกันครึ่ง
ทางบนนทางสายสวรรค์สายสอง
ขณะเขามาเดินหาน้ำค้างกินที่เชิงเขาโอเฟ
    คิมานจึง"สวัดดี"ทุกๆคนและกล่าวทักกับทุกคนด้วยอารมณ์ดี
และพร้อมกล่าวขอโทษแขก
และแสดงความเสียใจที่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเขิญในค่ำของวันนี้
"ทุกคนเงียบ"
     คิมานไม่แสดงตัวว่าคิมานก็เป็นลอร์ดมาก่อนอยู่เหมือนกัน เพราะคำว่า"ลอร์ด"มันเป็นเรื่องไร้สาระกว่าการเป็นคนมีมโนธรรมนั่นเอง
"คิมานคิดอยู่ในใจ"
ทุกคนเงียบอีกครั้ง
แทนการปรบมือ และสังคมกลุ่มที่นี่ไม่นิยมการปรบมือเมื่อแสดงความยืนดีอะไรทั้งนั้น
มันทีทุ่ฃอร์ด
คิมานแสดงสายตาออกอย่าง
ไร้เดียงสาและยิ่มให้
ให้ทุกคนเห็นคิมาน
ฟันขาวและน่ารักของคิมาน
เสื้อผ้าสวมใส่มีสกุล ตนเองทำตนเหมือนหนูน้อยโอลิเวอร์อย่างในหนังเรื่องนั้นทีเดียวคืนนี้กับทุกคน
    การไม่แสดงตนว่าตนเป็นอะไร ก็เพราะไม่สำคัญอะไรเพราะ
ปกติของคน
ก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้นมิได้มาและมีหางเหมือนหมาก็แล้วกันเป็นพอ
คิมานรู้เรื่องเท่านี้ก็พอ
อย่างไรก็ตามอากัปกิริยามรน
ยาทดีงามและเสื้อผ้าการแต่งกาย
การพูดจาของคิมาน
น่าจะบอกแล้วว่าตนเองสมควรเป็นแขกไม่ได้รับเชิญในคืนนี้
นั่นก็เหมาะสมแล้วนอกนั่นให้ลิเทล
พูดและค้ำประกันก่อนที่ตนเอง
อาจจะถูกสังคมคืนนี้จับโยนไปให้ฝูงหมาป่าเร่ร่อนที่นอกปราสาทแทะกิน
     ทุกคนใมงานรังสรรค์ประจำปีนี้ที่เรียกว่างานราตรีวิทวัส
คงเข้าใจลอร์ดลิเทลดีว่าลอร์ดลิเทลมีชีวิตเศร้าๆเหงาไและไม่มีลูก
ใช้ชีวิตยู่กับเลดี้กีดาร์เมียรัก
ผู้ประสบภัยจากสงครามมาและมาและพบรักกันและลอร์ดและเลดี้ก็รักกันจริงๆไม่มีการเมืองหรือความเป็นสีเทาอะไรแอบแฝงข้องเกี่ยวในตัวเลดี้กีด้ามาก่อนใด
     จึงทำให้งานราตรีวิสิทวัสคืนนี้
ของปีนี้นี่เป็นได้ไปอย่างสนุก
ปราศจากข้อครหาทางใจของทุกๆคนในงาน 
ที่อาจจทำให้ใครเขินหรือเขื่อง หนือละเมิดกับอารมณ์ของตนเอ
งสักคนเดียวกับความเห็นในบริบทแห่งแขกที่ไม่ได้รับเขิญอย่างคิมาน ที่จะทำให้งานราตรีวิทวัสของค่ำคืนนี้แห่งปีนี้ต้องหม่นหมองและไร้วิญญาณและเงียบเหงาไปกระนั้นเลย
        ย้อนไปวินาทีที่ลอร์ดลิเทลมาพบ
        คิมานหลังจากเหนื่อยมาจากเดินวนหา เที่ยวเร่ร่อนไปเพื่อหากินดอกน้ำค้างบริสุทธิ์น้ำใสบนยอดหญ้า ที่ผุดปรากฏคล้ายใยแมงมุมตามทุ่งโอเฟ ในตอนเช้า
จากทุ่งโอเฟและเหนื่อยจึงตอบตกลงกับลิเทลทันที
"ไปก็ไป"" คิมานตอบรับ
-------

(3826@)ปราสาทคูเซอร์
         ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
    คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
          มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
 และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน  หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก



     ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
      ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด


     เสียงดนตรีแห่งความสนุก   ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
     เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่  ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
        "ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
      และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
     ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"


เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...

ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่ปราสาทครูเซอนนี้ที่ทำให้ลอร์
ผู้มิคานใต้ดิน และได้เป็นลอร์ดนิรนามเพราได้ท่านหญิงเคาน์ตสแห่งสะโลวาเนียโคโรเนตและคราวน์ให้ทำให้ความเข้าใจผิดในสังคม  ลดการกระเตื้องต่อคำถามทั่วไป ในสถานะภาพของลอร์ดมิคานที่ได้เป็น  แม้รายได้ในบัญชีศักดินาจะยังไม่เรียบร้อยก็ตาม

--@@@

ลอน์ดลิเทล3
(6221@)ปราสาทคูเซอร์
ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก
ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด
เสียงดนตรีแห่งความสนุก ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่ ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
"ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"
เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...



-----_


ลิเทล4
"เรื่องของกาลเวลาและสายน้ำ""
ลิเทล4(8923)
          เรื่องเวลาแม้ว่าเป็น"มิติแห่งกาลเวลาและอวกาศ" ที่ทุกคนต้องยอมรับแม้เราสมมุติมันขึ้นมาเอง เหมือนปฏิทินพระเจ้าจูเลียสซีซาร์(Julius Caesar) ที่พวกโรมัน(Roman)เขา กำหนดขี้นมาแล้วใช้กันจนทุกวัน เพราะมันใช้ได้และจำเป็นยอมรับกันสากลไม่มีข้อโต้แย้งใดๆแต่ไหนแต่ไรมานี้
         แต่ที่ปราสาทนี่ คำนิยามทางฟิสิกส์ทั้งปวงที่มีในปัจจุบัน มันจะไม่มีความหมาย อะไรเลย ที่ปราสาทจะเคารพ นอกจาก"ก้อนขนมปังและไวน์แดงและน้ำชาร้อนเท่านั้นที่ปราสาทคูเซอร์นี้เคารพและบูชาว่านั่น
"นั่นคือมิติแรกของสรรพสิ่ง"
       ก็ในเมื่อแรงปะทะจากแรงงานของทาสที่เป็นขบวนยาวเหยียด นั่นมันคงสั่งให้ทุกชีวิตที่ต้องเดินออกนอกบ้านต้องดูและต้องใช้นาฬิกาในการดำรงชีวิตโดยไม่ผิดเวลานัดหมายไม่ว่าอะไร
นาฬิกาคือความเป็นกลางของทุกชั้นชนแล้วบัดนี้เวลาและที่เกิดจากเข็มนาฬิกา"มันไม่มีพรมแดนมันไม่มีภาษา มันไม่มีสีผิว""
 มันคือดวงตะวันอีกดวงหนึ่งของทุกคนในโลกของมนุษย์นอกจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
      ตัวเวลาจึงเป็นสิ่งศักสิทธิ์สำหรับทุกๆคน ตัว เวลามันสำคัญกว่าศาสนาและการปกครองและความหิวและแรงงานและความสุข" มิคานเชื่อ""เพราะว่าตัวเวลานี่เอง มันกำหนด หน้าที่ของศาสนา กำหนดเวลาของการปกครอง ตัวเวลา
กำหนดให้ความรักได้พบกันได้อย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ก่อนวันแต่งงานของคนรักกันจริงจะมาถึง
และตัวเวลามัน"ไม่เคยบิดพลิ้วและพูดปดได้""


     แต่ ลอร์ดมิคานไม่เคยใช้นาฬิกา กระทั่งจนมาพบกับลอร์ดลิเทลในภาวะครึ่งทาง นี้นาฬิกาจึงถูกกำหนดให้ชีวิตของมิคาต้องเปลี่ยนไป
คือมิคานต้องใช้มัน
      จะว่านาฬิกาคือตัวจักรกลของสัมคมพลวัตรและมีปฏิพัทธิ์ต่อกันกับเพื่อนมนุษย์และที่จะธำรงอยู่อย่างสงบไม่เดือดร้อน
    มิคาน พบว่า  เวลานี้ละเป็นตัวกำกนดที่จะทำให้สังคงมนุษย์มีระเบียบก็ได้ เพราะถ้ามีนัดกันกับเฟรนด์สาวมันต้องมีนาฬิกา เป็นอนุญาโตตุลาการให้ว่าใครที่เที่ยงตรงตาม
เวลานัดหมาย และถ้มมาตามนัดได้"นั่นคือการพิสูจน์รักแท้""
         
       ลอร์ดมิคานคิดเพ้อเจ่อต่อไปว่า
       ก็เทียบเป็นเหตุผลให้ฟัง อาทิ เช่น ประจำเดือนของสาวๆมันจะมาตรงเวลาเสมอน่ะ
     ประจำเดือนหรือที่สากลนิยมเรียกมันว่า"เมนส์"(mensturation -blood period as a duty for a woman) สิ่งนี้มันไม่มีคำว่าการผลัดวันประกันพรุ่งนะ! มันเป็นกลไกทางชีวะของเพศหญิงทุกคนแต่ผู้ชายมันไม่มีสิ่งนี้
   
          สรุปเวลาสำคัญเพราะเวลากำหนดวันเดือนปีและศตวรรตให้ทุกคนกำหนดนับยืดถือได้และได้เป็นอมตะเพราะฉะนั้น เวลาจึงอมตะมันไม่ตาย
คนเกิดมาแล้วก็ตายลง แต่"เวลามันคงอมตะต่อไป" มันไม่ตายตามมนุษย์ไปด้วย เมื่อมนุษย์แต่ละชีวิตตายลง
      
          แต่มิคานไม่มีวิ่งที่เรียกว่า ว่าเวลาและไม่ชอบนาฬิกาบอกเวลาแต่เคารพเทพเจ้าแห่งเวลาาด้วยดีนอกจากมโนธรรมแลความจริงเท่านั้นที่มีอยู่
จริงสำหรับมิคาน นอกนั้นมิคานไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง ทุกอย่างรอดออกมาจากเวลา
"นี่คือความเชื่อของมิคาน
และมิคานเชื่อต่อไปอีกว่าโลกนนี้เป็นมายา ด้วยเหตุนี้เอวชีวิตลอน์ดมิคานจึงฟุลสต็อปไว้เท่านี้
และเห็นชีวิตตนเองมีความสุขดี และได้กินน้ำค้าง
         ที่เทือกเขาโอเฟ ทุกเช้าและวันก็พอใจแล้ว นอกนั้นกินมรดกบุญตนเองก็รอดได้ แต่คนอื่นที่ไม่มีปรัชญาอย่างมิคานๆเห็นพบแต่คนเป็นทุกข์และผิดหวังฆ่าตัวตายไปมากหลาย เพราะเพ้อฝันวาดฝันแต่แล้วไม่จริง
อีกด้วยและไม่เชื่อว่าโลกนี้เป็นมายาอีกด้วย
ทำงัยถ้างั้น!
          ก็เพราะการสันนิษฐานว่าโลกนี้มันเป็นมายา เมื่อทำอะไรเข่นสอบได้สอยตกเป็นเรื่อวตลก แทนที่คิดว่าถ้าสอบต้องได้ที่หนึ่งเพราะเราเป็นลอร์ดอภิมหา
มนุษย์ แต่เมื่อทำเสร็จผลปรากฏว่า"สอบตก""
นี้ประการหนึ่ง
หรือบางคนลงทุนปลูกกาแฟ
แต่ผลคือขาดทุน ก็ผิดหวังถ้าเร่เห็นมันเป็นมายา จะขาดทุนหรือกำไรไม่รู้แต่ทำให้ดีที่สุด
       อย่างงี้จึงจะเรียกว่า"ชีวิตนี้เป็นมายา"นี่คือการตีความของลอร์ดมิคาน
จนมิคานเขาได้มาพบกับลอร์ดลิเทลที่เทือกเขาโอเฟในวันนั้น
          เพราะนับแต่มิคานเกิดมาไม่เคยมีนัดกับใคร นอกจากแสงแห่งดวงตะวันเท่านั้นมาตรฐานที่สุด
หลายคนอาจคิดว่ามิคานเป็นมนุษย์หมาป่าใน
จินตนิยาย หรือเรื่องแปลกแต่จริง แต่นี่มันเกิดขึ้นแล้วและมีจริง ในสังคมกลุ่มหนึ่ง
       "   ใช่มันเป็น"
แต่สำหรับมิคานถ้าจะให้แน่ระบุชั่วโมงนาที
มิคานก็ใช้"นาฬิกาแดด"(มีเข็มติดกำแพงมองดูเวลาจากเงาเข็มมิใช่มองเข็มที่ทำด้วยเหล็กส่วนมาก) ตอนขณะที่มิคานเรียนที่มหาวิทยาลัย
           และตั้งแต่เกิดมามิคานไม่เคยเป็นคนประสบภัยที่ต้องใช้นาฬิกาเลย แต่ทุกคนภายนอดโลกส่วนตัวของมิคานนั้นถือว่า"นาฬิกาคือเจ้านาย"ของตน
        ถ้ามิคานมีนัดกับแฟรนด์(friends)ก็มีวาระเดียวเท่านั้นคือความตาย
       มิคานโชคดีที่เกิดมาไม่เคยมีภาระกิจอะไรและอะไรเลยนอกจากสิ่งที่ตนเองมีคือลมหายใจและพลังจากร่างกายและมันสมองที่ฝึกปรือมา นับจากเกิดมา 
   
        นี่คือสิ่งอันเป็นอัจฉริยะและเป็นพรสวรรค์ของมิคานที่ในกลุ่มชนบางท่านเคยแวดงความเห็นและบอกว่า "นี่เป็นบุญแต่ชาติก่อนแน่นอน"
และที่สำคัญมิคาาไม่เคยพบอุบัติเหตุในชีวิต
และเป็นไข้ต้องเข้าโรงพยาบาลจากชีวิตที่เกิดมาจนบัดนี้แต่มิคานบอกว่า"พรุ่งนี้ไม่รู้อย่างไร"
         หลายคนบอกว่ามิคานเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งมาเกิดเพื่อดูว่า"โลกมนุษย์เคียงข้างเธอไปกันถึงไหนแล้ว" มิคานจึงเป็นโอมบัสแมน(omni-budsman)  ผู้ตรวจการมนุษย์โลกของสวรรค์
       แต่มิคานไม่เคยทรนงตัวว่าตนมีสิ่งแปลกที่ตนเป็นแต่ตรงกันข้ามลอร์ดมิคานกลับรำลึกถึงความตายอยู่ทุกเสี้ยววินาที ไม่เคยคิดว่าตนมีเทวาภิสิทธิ์นิยมอะไรในตนเอง
มีตอนหนึ่งมิคานพบผีในร่างมนุษย์
และคิดว่าตนจะถูกฆ่าตายทันใดนั่นเมื่อเหตุการณ์ไม่น่าคิดถึงก็เกิดขึ้นน่ากลัวและหวาดเสียวตำรวจหรือคนพยานเห็นคงช่วยอะไรไม่ได้
        นอกจากคำวิงวอนและคำร้องขอชีวิตที่มิคานน่าจะทำ และคำมั่นสัญญาที่ศาลอาจจะให้ต่อผีเร่ร่อนอย่างพวกมัน
       ทันใดนั้นมิคานก็หลับตาลงเอาละถึงเวบาตายของเราแล้ว "ก็จงตายไป" มิคานจะไม่ต่อสู้ไม่คัดค้าน ทันใดที่มิคานลืมตาขึ้นอีดครั้งเจ้าผีเร่ร่อนเทียบเท่าปีศาจร้ายนั่นก็พลันหายไปจากสายตาของมิคานทันที
         และแต่นั่นมาเแนเวลานานมากมิคานไม่เคยเจอปัญหานี้อีกเลย  แสดงว่าผีหรือปีศาจที่มิคานพบมาในร่างมนุษย์ตนนั่นต้องมีสมาคมมมีองค์กรที่
        เป็นอะไราสักอย่างที่มีปรัชญาในการทำงานว่า
"จะไม้รังแกและทำผีหลอกกับมนุษย์คนที่ไม่สู้และกลัวและพร้อมตายถ้าถูกแกล้งหรือถูกกระทำ"
         แล้วลอร์ดมิคานก็ได้พบกับเลดี้กีด้า(Gree- d ar)ที่ที่ปราสาทโนวาอันเป็นบ้านพักซุกหัวนอนนะดับกิตติศักดิ์ของลิเทล
มันอบู่บนภูเขาสูงมีน้ำไหล
           มิคานจำได้เท่านั้น สั้นกรึ่งคืนมินสยพีกมีทยี่นอย่สงสงบจำได้ว่าห้อฝสะอาดโปร่งใสสีจางแบบทุกอย่างตามธรรมชาติมอบให้และเท่าที่ธรรมชาติมี
     ในห้องไม่มีอะไรนอกเสียจากจากน้ำบริสุทธื์ขาวใสหนึ่งขวด มิคาน เชื่อว่าน้ำมันคง"ปราศจากเชื้อโรคแม้แต่คลอรีน"ก็คงไม่มีแต่ลอร์ดมิคานก็ไม่กล้าดื่มมันทันที เพราะสัญชาตญาณที่มิคานต้องแวดระวัง จากนิยายที่เคยอ่าน มันอาจจะมีฉี่แม่มดผ่านติดมา เพราะแม่มดดงผีนั้นไม่ชอบมนุษย์ผู้ดี และคนชอบแสวงหาความจริง
คนพวกนี้แม่มดถือว่า"รู้มาก"
       แต่เราไม่มีตาทิพย์เสียด้วยนอกจากตาปัญญาทางวิทยาศาสตร์อาจจะมีบ้าง"ที่มิคานรู้"
และแม้แต่ทาสที่นำน้ำมาวางไว้ในห้องก็ไมรู้
และที่สำคัญพวกทาสไม่รับผิดชอบถ้ามีการตายเกิดขึ้นเพราะกินน้ำมีพิษเข้าไปเพราะพวกทาสถือส่าคสามตายคือดารสิ้นสุดเข่ไม่เสียใจอะไรกับแขกทีทมาพักหรอก "มิคานเดาเอา"
           สรุปมิคานไม่ดื่มมันทันที ไม่เหมือดหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟนั่นแน่นอน "ไม่มีพิษและปลอดภัย" มันไม่เปื้อนขี้มือพวกทาสและมันใสสะอาดตามตาเราเห็นประจักษ์ชัแจ้ง"
        ปกติลอร์ดมิคานเป็นคนว่านอนสอนง่ายแบบดนตรีบรรเลงในเสียงเพลง เชื่อคนง่าย แต่ที่คิดระแวดระวังตัวมากเพราะว่าตาปัญญาเป็นศาลสูงสุดให้ตนเองว่าจะทำอะไรจงใช้มโนคติที่สูงได้กว่าสติ
จึงค่อยทำลงไปเป็นปรัชญ์ และมิคานมิใช่เป็นคนโรคจิตขี้หวาดระแวงอะไรก็หาไม่!
           ภาพวาดสีน้ำติดกระจกกรอบคลาสสิคไม้สักโบราณห้อยแขวนอยู่ข้างขวา ภาพโทนเย็นหมดเป็นภาพน้ำทะเลสีครามอ่อนๆกับเรือหาปลา 1ลำมีธงสีแดงที่หัวเรือ แต่มิคานไม่เห็นลายเซ็นคนวาดและืนินเนียบร้อยเป,'!?
เครื่องที่นอนที่มีหมอนสีขาวเป็นจุดเด่นของห้องมีผ้าห่มและผ้าปูที่นอนขาวหมด  แต่ห้องไม่มีกลิ่นดอกไม้แห้งวางไว้เท่านั้น
            มันสุดสะอาด "มิคานอุทาน"
         นี่ถ้าเราวานจ้างหรือจ้างทาสมาทำความสะอาดห้องนี้หรือให้เราทำเองคงหลายวันเสร็จถ้าจะให้เราทำได้ตามที่ตาเห็นอย่างนี้
เพื่อทำให้ได้ระดับต้องใช้เวลาหนึ่งวัน กินเวลาหลายชั่วโมงจ้างทีเดียว มันเป็นความสะอาดระดับ"โรงแรมห้าดาว"ที่ลอร์ดมิคานเคยไปพักมา
ที่โรงแรมชาย"ทะเลมิฟอน"ที่ชื่อว่า"โรงแรมทาเรส" ใน"เมืองคิฟคอฟ"โน้นทีเดียวนะเนี่ย!
"มิคานได้หลับสนิทที่นี่""

  
        อีกสักครู่หนึ่งมิคานง่วงนอนอีกอยากจะหลับอีก และม่อยหลับไปได้สักพัก ที่กลางห้องโถง ก่อนที่ลอร์ดลิเทลจะมารับไปห้องนอนจริง
เหนื่อยไหม!
เป็นงัย!
สนุกมั้ย
ไปเราไปนอนที่ห้องชั้นบนกันเถอะ "ลิเทลถาม"
"ผมจะพาไป""
อย่างงัยก็ได้ผมไม่ถือนะ่ ลอร์ดมิคานงัวเงีย
ตื่นตระหนกพูดตอบโต้
ถ้าคุณชอบผมปล่อยคุณเอนหลังถึงพรุ่งนี้ก็ได้น่ะ
"ลิเทลถามความสมัครใจ""
พาผมไปทีาห้องชั้นบนที่เขาจัดไว้ก็ดีเหมือน
ถ้าคุณจะพาผมขึ้นไปชั้นดาดฟ้าลนประสาท ผมไปได้น่ะถ้าคุณว่างพอ"มิคานพูด"
ตรงนี้โซฟามีท่านหญิงหลายท่านชอบเดินผ่านมา
ดูมันน่าอายมิใชน้อย"มิคานพูดปรารภกับตนเองและสำนึกในเหตุการณ์บรรยากาศดึกมากแล้ว ซึ่งมันจวนจะใกล้อยู่รุ่งแล้ว""
ลอร์ดลิเทลตอบว่า"ถ้าอย่างงั้ย ขออนุญาตฉันพาคุณขึ้นไปนอนที่ห้องนอนของแขกที่ยอดประสาทน่ะ"
"ตกลงครับ"
         ทิ้งให้งานสโมสรที่หล่ยคนยังไม่หายอย่กจะคุยกันเพราะปีหนึ่งเขาทั้งหลาบะมีเหตุนี้เท่านั้นที่มันจะเจอกันได้ครั้งเดียวเท่านั้น 
ทั่งคู่จึงพยุงตนเองขึ้นไปยอดปราสาทซึ่งมีบรรไดใหญ่เกว้างเท่าเขา
ทั้งสองพากัรถ่อสังขารมาในงานนี้
     จึง   ปล่อยทิ้งบรรยากาศแห่งการสรวลเสเฮอาตามประสาผู้ชายกันต่อไป ไม่มีสุภาพสตรีสักคนเดียวเหลืออยู่เวลานี้ที่ห้องโถง
      ทำให้ มี ส่วนของเสียงเอะอะโวยวายอย่างลอร์ดลี่(Lordly)ยังคงมีต่อไปที่ห้องโถงของปราสาท
      มิคานคาดว่าะวกเขาคงคงจะโต้รุ้ง แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ ถ้ามีมี ก็มีหมอศัลยกรรมผ่าตัดร่วม
มาด้วย  รวมทั้งหมองูมีประจำที่เพราะที่ปราสาทคูเซอน์  นี้มันห่างจากโรงพยาบาลถึง100 กิโลเมตรไกลทีเดียว
       
      แต่คืนนั้นไม่เคยเกิดเหตุพิพาท และตามประวัติก็ไม่เคยมี  หรือเคยมีอะไรแม้การแย่งคู่สนทนา  หรือปัญหากับสครีเพศที่มาร่วมงานด้วยเลยแม้แต่น้อย  นอกจากความสนุก นับจากที่งานราตรีสโมสรนี้ก่อตั้งมากว่า2,500 ปีแล้ว
นักประวัติศาสตร์ไม่บันทึกอะไรไว้เลยหรือว่า
ปกปิด แต่มิคานคิดว่าเขาคงไม่ปกปิด หากมีอะไรเกิดขึ้นแต่ละครั้งปีที่จัด มันหลายชั่วโคตรคนทีเดียวน่ะและเมื่อมันไม่มีเหตุร้ายอะไรเลย ก็แสดงว่าสโมสรสมาคทราตรีนี้มีความเป็นโนเบลตี้ (Novelty=อย่างมีเกียรติยศอันสูง)อย่างแท้จริง
      
        ที่โต๊ะสนทนา ไม้โอค์และไม้สักทองเก่าแก่หลายตัวที่เป็นทรัพย์สินประจำปราสาท และห้ามมีการเคลื่อนย้านเด็ดขาดเป็นพินัยกรนม นับแต่วันสร้างปราสาทเสร็จจนบัดนี้
      และลอร์มิคานสังเกตดู  เหมือนว่ามีสองลอร์ดดูจะเป็นเพราะถือไม้ถ่องาช้างมาด้วย เขาดูจะชราๆชรามาก  แต่ทะมัดทะแมงพอเทียบเป็นแรงของคนแก่ของลอร์ดสองรายนี้   แรงนั้นมีพลังงานที่พอที่จะเตะหมาให้ร้องไห้ได้  "ถ้าท่านจะทำ""
       และเพราะไม้ถ่อนั่นเองที่ทำให้ที่แนกำลัง
อันมีพลังให้มีภาพที่เขาสูบซิการ์มวนใหญ่กว่าด้ามไม้กวาด เขากำลังนั่งคุยกันสองคนอย่างมีสมาธิดุจการประชุมลับของผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อวางแผนประกาศสงครามอย่างงัยอย่างงั่น แต่เปล่าหรอกที่นี่ไม่มีสงครามและสันติภาพ
"ที่นี่จะมีคือแต่เฉพาะสงครามชีวิต"" ลอร์ดโดฟว์เคยยืนยัน และโลกของสงครามและโลกของสันติภาพไม่เคยมีที่ปราสาทครูเซอร์
     
          สองลอร์ดนั่น นั่งพึมพำๆกันอยู่  แต่ที่จริงเขาเป็นคนวัยกลางคนเฉียดๆชรา  ที่น่าสงสารเห็นจะได้ เพราะร่างเขาดูเหมือนมีโลงผี  ไม้สักแสนเบาที่พกพามาอยู่ในรถม้าด้วย เขาจะมีมันในเวลาเดินทางไกล  กรณีเขาขาดที่นอนที่เขาชอบ แต่ถ้าสมมุติเขาตายลงในขณะเดินทาง
       โลงผีไม้สักที่เขาพกพามันสวยแววตา
ดังอาบด้วยชะลกเกอร์(s h a l e c k e r =น้ำมันทาไม้แววชนิดหนึ่งในยุคใหม่  แต่ของโบราณที่แววมิได้ใข้สิ่งนี)ทีเดียวด้วยนี้ละ!นี่คือเพื่อนรักของเขา "ลอร์ดโดฟว์ยืนยัน"กับผู้สนเท่ห์ที่ไร้เดียงสาทั่วไปแต่ไม่เคยมีใครถาม 
            จะมีก็ทาสหลังค่อมคนหนึ่งพบท่านเข้า
ก็แย้มสรวลออกมานิดนึงแล้วก็ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวอมยยิ้มกับต้นไม้
"มิคานคิด"
 
     และเขาทั้งสองจะพูดส่งสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดนสำเนียงพูดเป็นภาษาต่างประเทศแต่เขาก็เป็นชาวลิเทลปกติเท่านั้นที่ๆปราสาทคูเซอร์ตั้งอยู่
     "มิคาน"ฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกัน แต่สำหรับถึงแม้อะไรจะเพี้ยนไปสักเพียงไร
มิคานก็ไม่เงี่ยหูฟังมันว่า"เขาคุยอะไรกันสิ่งที่มิคานระวังก็คืออะไรบ้างจะหล่นใส่หัวเขา
     แผ่นดินจะไหวพังปราสาทคูเซอร์ในคืนนี้หรือไม่ หรือปัญหาเฉพาะหน้าที่ใกล้ตัวเขามากที่สุด
     และที่มิคานห่วงมากคือเหยือกของยอดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเท่านั้นที่สำคัญสำหรับมิคาน
แต่มิคานก็เชื่อว่า
สองท่านลอร์ดนั้นเป็นลอร์ดสมัยดึกดำบรรพ์และอพยพไปอยู่ต่างแดนมาสำนวนภาษาของท่านจึงเพี้ยนไป
      แต่มิคานฟังว่า:
   




ลิเทล5(6730)
ลิเทล5" รวงข้าวสีเหลืองทอง

      เขาจะเครียดตาย คืออยากจะตายไวๆแล้วไปตายและเกิดใหม่อีกครั้งและท่านอยากเกิดเป็นชาวนา เพราะว่าเป็นชาวนาจะได้เห็น
ทุ่งนาฟ้ากว้างกว้างตลอดเวลาเห็นนกนาบินแทนการเห็นทาสปู้ซื่อสัตย์และทหารหมัดกล้ายืนถืออาวุธอยู่หน้าวัง
         และได้เห็นความเขียวของนาและเมฆฟ้าสีครามเทาสวยงามสลับกัน และเห็น
ทุ่งท้องของนา เมื่อวาระ ที่ข้าวรวงในนาข้าว(rice farm) แก่จัดเป็นสีเหลืองทอง แลดูอร่ามตา ยิ่งเมื่อยามถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์อ่อนยามเข้า  ข้าวนี้ไม่ว่ามาจากสายพันธุ์อะไร  มันก็ดูศักดิ์สิทธิ์ไปหมด

       และสุกมาถึงหม้อคนกินจรดเมล็ดข้าวสุกที่ติดเหลือกับจานคนล้างเป็นอาหารวสาดไปให้ลูกไก่หิวได้กิน และ ก่อนที่ข้าวจะแปรเป็นขนมปังที่เราใช้เช็ดถ้วยน้ำซุ็ปกินตอนเช้า และมื้ออื่นๆในวัง
      
          ชีวิตทาสมันคงสนุกและชีวิตชาวนามันคงสนุกมากเพราะเแนชีวิตที่ไม่มีมายา
ทาสและชาวนามีแต่ความเหนื่อยและความกลัว
และความง่วงนอน แต่เราตอนนี้กำลังนุ่งห่มมายา
ลอร์ดคีโตพึมพำใส่กันกับวาระจิตที่ทะเลาะกันเองอยู่ในใจ แน่นอนความรู้สึกส่วนตัวนี้
ลอร์ดมิคาน(M i k an) จะไม่บอกให้ใครรู้เลยนอกจากความเงียบที่แฝงด้วยสัจจธรรม  ที่มีในตัวของมันและในตัวลอร์ดเอง
     ลอร์ดอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ:
 "มิใช่หวังว่าตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในปราสาทหลังเดิมเพื่อรับพินิยกรรมข้ามชาติที่บรรพบุรุษทำให้ไว้ก็หาไม่""
       "แต่เราอยากตายไวๆ ทว่าแต่มิใช่การฆ่าตัวตายนะ"ลอร์ดอีกคนพูดย้ำ" แล้วอีกคนก็หัวเราะ
        และถ้าได้เกิดเป็นชาวนาจะได้จับเคียวเกี่ยวข้าวจากทุ่งท้องนาที่เป็นสีทองมีนกกระจิบบินเแนฝูงมาช่วยทำและเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตเหมือนดังมโนภาพที่ศิลปินวาดอย่าง
"ฟานกอฟ" ชาวดัชแห่งฮอลแลนด์ได้วาดไว้
     
      ปัจจุบันชาติเราเป็นเจ้าเป็นขุนมูลนายมีทาส
แต่ทาสหลอกลวงเราตลอดเวลาไม่เคยพูดความจริงให้เราฟัง "ฉันเดาเอานะ" เพราะเครื่องจับเท็จของทาสในระบบวาระจิตวางแผนล่วงหน้า ยังไม่มีใครคิดได้เหมะเจาะสักที
  
        "เราจึงขอเดาจากข้อเชื่อไปก่อนนะ"
ย้ำว่ามันยังไม่เหมาะเจาะอะไรเลยตอนนี้"เราจึงขอเดา"
         ที่จริงชาวนายังแข็งแกร่ง ชาวนายังเป็นนายของมนุษย์เสือโคร่งยังคงกินคนเป็นเหมือนเดิม
งูยังแอบกัดเราตายเหมือนเดิม แต่ที่เห็นว่าสัตว์ดุร้ายมันเชื่องนั่น ก็เพราะ"ยาฉีด"ที่เราทำมิใช่สันดานของมันที่มันจะเป็นมิตรที่ดีกว่าเรา
นะคุณ" 

        อย่าไว้ใจมันขณะเดียวเกลียดและกลัวมันไว้ก่อนเท่ากับว่าการไม่ไว้ใจตนเองดีที่สุดตามคติธรรมที่เราเคยเรียนมา"
และกล้าแข็ง กำลังมียืดยาวมาก เขาพร้อมจับเราไปสับคอทิ้งได้ถ้าเขาจะทำ เหมือนนิยายที่เป็นภาพยนต์แล้ว  ที่น่ากลัวหวาดเสียวและตื่นเต้นและเกิดขนลุกขนชันชนิดพองขนเลยล่ะ! ถ้าใครได้ชมมัน  หรือเมื่อใครมีโอกาสเมื่อไปชมมัน 
แต่ลอร์ดทุกคนที่นี่ นี่เขาทั้งหลายไม่ชอบดูหนังจะชอบก็แต่ฟังโอเปรา(opera) เท่านั้น

        ใช่!เมื่อมีเหตุการปฏิวัติชาวนาขึ้น  "สมมุติว่ามี"ตามจินตนาการเชิงลบ" แต่มันยังไม่เคยมี  เมื่อชาวนาเขาไม่พอใจค่าแรงที่เราจ่าย เขาจะอุ
ธรณ์ด้วย "วิธีการปล้นและฆ่าพวกขุนนางอย่างเลือดเย็น"" แม้จะไม่เคยมี จะมีก็กรณีโจรสลัด
ปลเนเรือขนเพชรและทองคำและเหล้าหมักอายุ100ปีทางทะเลลึก ที่มีเรือเดินสมุทรผ่าน
ในอดีตเคยมีเรื่องนี้

      และที่จริง ลอร์ดมิคาน"ทราบว่าชาวนาลำบากมาก" และน่าสงสาร"
ชาวนาเหมือนแร่ที่รอการถูกสกัดพวกเขามีกำลังกายกำลังใจที่แสนจะลำบากยามเขาถูกใช้และบังคับให้ทำงานด้วยค่าแจ้างเพียงน้อยนิด
เหลือเแนส่วนเกินให้นายทุนรีดเอาไปหมด แม้พวกเจ้าจะเป็นอีกฝ่ายคอยประณีประนอมและรับเงินส่วนเกินมาบ้างด้วยอำนาจเทวสิทธิ์

        ชาวนาเขาลำบาหในชีวิตประจำวัน แต่เขาไม่บอกให้เรารู้ เพราะเป็นมรรยาทของกรรมกร
เนื่องจากว่าปรัขญาการทำงานน่ะ"มันต้องลำบากแน่นอน ใครบอกว่าสบาย" แต่หลายกลุ่มแรงงาน
ใฝ่ฝันเพื่อทำความดีสุดขีดเพื่อจะได้เกิดมีอำนาจเทวสิทธิ์อย่างนายทุนและขุนนางบ้างในชาติต่อๆไป แทนการคิดกบฎหักล้างพวกเจ้าและนายทุน
ที่ขูดรีดเอาส่วนเกินเขาไปตามทฤษฎีปรัชญาทุนนิยมฝ่ายซ้ายสุด(เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์=communism เป็นต้นจะพบในหลักสูตรการเมืองการปกครอง ในระดับมหาวิทยาลัย)
   
       ลอร์ดมิคานเคยคิดว่า "  เราจึงอยากตายไปเกิดใหม่แล้วไปเกิดเป็นชาวนา"  จึงจะได้รู้ความจริงว่าชาวนาลำบากกันอย่างงัย การเดินขบวนเพื่อขอค่าแรงนั่นมันเป็นเพราะอะไร และเหตุอะไรกันแน่และกันแน่! ว่ามันเกิดจากการเมือง
การปกครอง หรือระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการเอาเปรียบ หรือว่าอะไร? ลอร์ดมิคานสงสัย
      มันเป็นการเมืองหรือความอดอยากหรือเป็นทั้งคู่ โลกจึงไม่สงบเหมือนดั่งภาาพวาดสักทีแต่เราถูกทาสข้างเคียงเราหลอกว่า"ทุกคนสบาย ทุกอย่างสงบเรีบบร้อยแต่ที่จริงโลกกำลังร้อนระอุดั่งไฟแต่ฉาบทาด้วยากมอกอละน้ำทะ่ลสีคนงรสมเป็นธรนมชาติและทะเลสีครามมันพูดไม่เป็น
         นอกจากการทำคลื่นกระทบฝั่งให้
เราเห็นตลอดเวลา ไม่ว่า จะร้อนอ่อนหนาวเย็นยังงัยทะเลก็ยังครวญเหมือนเดิมทะเลไม่เคบปริปากพูดอุทธรณ์ว่าเราเหนื่อยหรือเจ็บปวด
อีกสักครู่ต่อมา
ลอร์ดบลิเทลมา!

        เดินเข้ามาและมาปลุกมิคานที่กำลังหลับสไศลอยู่อย่างหมดสติ ตอนเงีายหูฟังสอวลอร์ดผ๊เฒ่านั่วคุยกัรฟังไม่ได้สัยได่แสงจนืำให่มิคานมีสมาธิเงี่ยหูฟังว่าเขาพูดอะไรกัน

         หรือว่าจะพาเรามิคานไปเผาย่างกินจิ้มน้ำซอสหอยนางรมกินกันในค่ำคืนคืนนี้ตอนดึกหรือไม่!  เพราะที่ปราสาทคูเซอร์นี่มองอีกทีมันลึกลับมหัศจรรย์

        และน่ากลัวมากสำกรับคิมานตอนนี้ มิคานนรู้สึกเมื่อเวลาดึกผ่านเข้ามามาก และไร้สตรีผู้มีธรรมชาติอ่อนโยนและเมตตาและไร้ผู้คนมากมายเหมือนตอนเริ่มงานราตรี"วิทวัส"เป็นพยาน
   
          เราคิมานแม้จะเป็นลอร์ดคิมานผู้อาภัพก็จริง แต่สันดานมนุษย์เมื่อนึกสนุกและโมหันต์ขึ้นมา มันก็อาจจะกินคนได้เหมือนกัน เหมือนมนุษย์กินคนที่แม่น้ำอเมซอน ที่ทุกคนเชื่อว่ามีจริง 
"แม้คิมานกำลังคิดมากไป และฝันร้ายไปเพราะได้ยินสองลอร์ดชรานั้ยพูดเป็นสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดน"

         ลอร์ดมิคานผงะตื่นขึ้นมาแบบอารมณ์งัวเงีย
ลิเทลถามว่า
"เป็นไรมั่ย"
ลอร์ดมิคานตอบว่า
ทุกอยางดูเหมือนว่าจะโอเคหมด

         ลอร์ดลิเทลจะพามิคานไปพักที่ห้องดาดฟ้าของปราสาทคืนนี้ที่เรียกว่าแอททิค-สมอล(attic small) คล้ายเพนท์เฮาส์(penthouse)
    " กลัวผีหรือเปล่า"
ลอร์ดมลิเทลถาม
มิคานตอบว่าแบบ" อมยิ้ม"ตอบ"
  มิคานไปหลับพักผ่อนที่ปราสาทชั้นบนทำให้สมาธิดีขึ้น

          มี"ท่านเคาน์เตส"(countess)สาวสวยคนหนึ่งที่มาในงานนี้ด้วย"มิคานเห็น"ท่านเคาเตยท่านนี้ม่เคาะประตู3ครั้งที่หน้าห้องนอนของมิคาน
ประตูห้องมิได้ลงกลอน
มิคานคอบรับว่สา"เข้ามา"
ตอนนั้นมันดึกมากแล้วดึกมากเลย

         พอจวนจะรุ่งสางของวันใหม่
มิคานกล่าวว่า
"หวัดีตอนเช้า"ด้วยอารมณ์แจ่มใส
เพราะเธอเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์
เธอบอกกับมิคานว่า
อยากจะคุยด้วยเพราะว่า
มิคานรูปหล่อและน่ารัก
เคาเตสสโลเนียจึงเอ่ยถามต่อไปว่า
มิคานเป็นใคร?
มาจากไหน?

            คำถามนี้เป็นคำถามแรกที่ถูกผู้หญิงถาม เพราะในชีวิตมิคานไม่เคยถูก
ถามแบบนี้มาก่อน
   แม้ลิเทลยังไม่เคยถามแม้ไม่รู้ว่า
มิคานเป็นใครมาจากไหน
หรืออย่างไร?

        ลิเทลรู้เพียงแค่เห็นมิคานเดินอยู่ข้างทางไปสวรรค์สายสอง และมีโคลนเปื้อนเท้าที่เส้นทางไปสวรรค์มันต้องผ่านทุ่งน้ำค้างโอเฟก่อนที่ลิเทล

         จะเดินทางมา ร่วมงานราตรีสโมสรวิทวัสปนะจำปีที่ปราสาทคูเฟอร์เท่านั้น
มิคานเมื่อถูกเธอถามว่า
เธอมาจากไหน
ชื่ออะไร
และอย่างไร

      เหตุที่เธอถามอย่างนี้
เพราะเธอเชื่อว่ามิคาน
ต้องเป็นลูกขุนนางสกุลใดสกุลหนึ่งแน่นอน
จึงถามอีกครั้ง

       เมื่อมิคานแสดงออกว่าไม่อยากให้ใครถามคำนี้และสงวนไม่ตอบมัน
แต่บอกกับเธอว่า
ประมาณนั้นแต่อย่าไปพูดถึงมันเลยความหลัง"ปมเป็นเจ้าก็จริงแต่บังเอิญช่างอาภัพอัปภาคย์อย่างสุดเหลือ  และลอร์ดมิคานเงียบไม่อยากที่จะอธิบายอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอ้น"
   
        ขอเป็นแค่คนมนุษย์ธรรมดามีอากาศหายมจแฃะชอบกินน้ำค้างเป็นอาหารก็พอ นอกนั้นตามตาเห็น แล้วแต่ใครจะคิดอะไรอักนอกนั้น เท่านี้ก็พอแล้ว  แต่เป็นมนุษย์ที่รู้จักแปรงฟันก่อนนอนตื่นนอนแล้วรู้จักล้าวหน้า ผ้าเสื้อรู้จักซักและทำความสะอาดเป็นมาตรฐานเป็นพอ

         รักความสะอาดและเป็นคนมีมโนธรรมเท่านี้ก็พอ นุ้สำคัญมากคือความสะอาดและมโนธรรม

          ลอร์ดมิคานไม่ขอตอบคำถามเป็นตรรกะแบบนี้
ท้ายสุดเธอถามว่ามิคานชื่ออะไรจริงๆ

        "ผมชื่อลอร์ดมิคานแห่งคลิงวู้ด(เมืองลึกลับที่สูญหายไปแล้วเพราะถูกทำลายจากพิษของสงคราม) จาก
คนใกล้ชิดบอกผมมา "มิคานสารภาพ""
    
          แต่ผมเป็นลอร์ดผู้อาภัพออกจากบ้านมานับจากวันคลอดจากท้องมารดา และไปทั่วตามชีวิตและชะตากรรมกำหนด
     เหลืออย่างเดียวตอนนี้และตอนนั้น
แต่ผมไม่เป็นขโมยและเป็นโจรสะอย่างเท่านั้น "คุณคงเข้าใจ"
"อย่าไปพูดถึงมันเลยมันยาวมากถ้าจะเล่าชีวิตและชะตากรรมเของผม
ให้คุณฟัง
"เธออมยิ้ม""
เคาเตสโลเนียนั้น

          สวยน่ารักวัยสาวเกินขนาดาวัยสะรุ่นนิดๆแล้วมิคานจึงเฝ้าคอยให้เธอพูดอะไรต่อไปถึงสาเหตุที่เธอมาเคาะประตูในยามดึกเช่นนี้ "ปกติตอนนี้คนจะหลับจะนอน"เคาเตสแสดงอาการเสียใจและขอโทษกลับต่อมรรยาทที่เธอทำ"
    
       ลอร์ด มิคานจะรอฟังหลังจากนั่งคิดและ้หม่อมองและมองออกไปทางหน้า
ต่างดูก้อนเมฆยามเช้ากำลังวิ่งชนกันอย่างสนุกบนท้องฟ้า
เคาเตสสโลเนียทวนคำตอบของมิคานว่า
"ผมเคยเป็นเจ้าแต่ตอนนั้นผมพลัดพรากและไม่สนุกเหมือนการเป็นมนุษย์ติดินที่คิดถึงอยู่ตอนนี้
คือ
    
        ผมคิดถึงอาหารทุกมื้อ
ที่จะอิ่มท้องได้
และทุกๆแนวทางที่จะทำให้ผมพอใ
จโดยคนอื่นไม่ลำบากและมีมโนธรรม "นั้นคือตัวผม"
"นี่คือความจริงของผมและชีวิตของผมนะ"
ทันทีที่มิคานพูดจบ
เคาเตสโลเนียหัวเราะลั่น
หลายคนยินคงตื่นขึ้น   เมื่อมาฟังถ้าได้ยิน
เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดของ
เธอ  "ที่น่าทึ่ง"

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2566

lord l i te l

 OK
       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น
          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา
      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น
       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"
      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว
          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทตาพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล
       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด
        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร
       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน
        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล
      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน
ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงครามได้เกิดขึ้นแต่นั้น
มา







       

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2566

ลิเทลตอน2

ลิเทลตอน2




ลิเทลตอน2
วันนั้นเป็นฤดูหนาว คิมานเดินด้วยเท้าบูทหนังสัตว์แต่งตัวดี รูปสมาร์ทใครเห็นจะอดมองไม่ได้ ไปบนเส้นทางไปสวรรค์ บนเส้นทางสายนี้มีรถมากมาย ในจำนนนั้นมีรถของลอร์ลิเทลด้วยกำลังวิ่งไปงานรังสรรค์ราตรีวิทวัสที่ปราสาทเบตา
      สำหรับคิมานกำลังเดินทางไกลบังเอิญบนเส้นทางเดียวกัน โดยมิได้นัดหมาย จุดประสงค์ของคิมานกำลังเดินทางเพื่อไปหาคลำหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าที่ทุ่งโอเฟ ๆ ติดกับเส้นทางสวรรค์สายนี้พอดี
        คิมานชอบกินน้ำค้างจากหยอดหญ้าเพราะเทพวิเกสอนมาตอนที่คิมานไปพักผ่อนกับ
ท่านเพื่อเรียนศาสตร์วิเศษหายตัวได้และอยู่ยงคงกระพันในสมัยวัยเยาว์
      "ท่านวิเก"เป็นสามัญชนและเป็นลูกทาสในครอบครัวที่ดูแลคอกควายเผือกแห่งฟาร์มใหญ่ที่ชื่อว่า"มอนเน"
มีท่านเทพ"มอนเน"เป็นเจ้าของ
        หลายคนรู้จักพฤติกรรมประหลาดๆของคิมานและลอร์ดลิเทลดี
และก็ตำกนิว่าขุนนางเดิดมาดีแค่ทำไมชอบทำชีวิตติดดินที่จริงควรอยู่บนท้องฟ้าและอยู่แต่ในประสาท
บนโลกแห่งแผ่นดินใต้สวรรค์ที่ท่านจุติเดิดมาเป็นเจ้าในร่างมนุษย์
           
          หลายคนไม่รู้ความเป็นมาแต่มีปราชญ์แสนรู้เรียนสูงบางคนเท่านั้นบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนวิชาเทววิทยา
   
          คำอธิบายมีอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง"ศาสนามิลานา"อันศักดิ์สิทธิ์และสุดขมังเวทย์ในอวกาศและโลกมนุษย์น้อยคนนักมีความสามารถที่จะนับถือศาสนานี้
  
            กล่าวคือทั้งลอร์ดลิเทลและลอร์ดคิมานนั่นถูกอาญาสิทธิ์ให้แปลงร่าง
มาในรูปมนุษย์เพื่อตรวจตรา ความลำบากของทาสและขุนนาง
ในการดำรงชีวิตและการสูญเสียแรงงานเพื่อทำกินและมีชีวิตรอด
    
            และลอร์ดลิเทลเองนั้นในพระคัมภีร์ของศาสนามิลานาบอกว่าในชาติก่อนเคยเกิดเป็นกบทองคำอยู่รวมกันในบึงมิเชอันเงียบเหงา
และต่อมาหลังจาก กบทองคำเพืาอนกันทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อจับไปทอดกินแกล้มในฤูกาลฤดูที่ฝนตกหนัก เพราะเสียงร้องอันเพราะพริ้งสะเทือนฟ้ายามฝนมาตอนนั้นกำลังผสมพันธุ์โดยลอร์ดคิมานเป็นกบตัวผู้ส่วนลอร์ดลิเทลเป็นกบทองคำสาวตัวเมีย
            เมื่อกบทองคำทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อพาไปย่างและทอดกินแกล้มเหล้าฤทธิ์แรงเสร็จ ขณะตายกบทั่งสองได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ขณะเกิดได้รับโองการจากเทพอสูรผู้คุมขะตากรรทสัตว์โลกบนพื้นปฐพีให้เป็นไปได้
           เพื่อลิขิตให้กบทองคำทั้งสอง ไปเกิดเป็นมนุษย์ และไปสืบห่ความสุขทุกช์ของมนุษย์ทุกคน ว่าใครมีความลำบากอะไรและจะให้เทพอสูรช่วยแก้ไขอย่างไร เพื่อให้มนุษยชาติทุกๆคนได้มีความสุขสุนทรีย์ทุกถ้วนหน้ากัน
        เหตุที่อสูรมองไม่เห็นด้วยตาตนเองเพราะแกก้ววิเศษของเทพอสูรถูกยิปซีคนหนึ่งบนสวรรค์และจอมซนขโมยไป ด้วยเหตุนี้ เทพอสูรจึงมองอะไรด้วยตาญาณหยั่งรู้เห็นอะไรได้
ตามใจนึก
         จึงใช้อำนาจที่ตนมีดลบันดาล
ให้ตนเองสามารถลิขิตชีวิตชะตากรรมของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดทั้งมวลได้ตามใจชอบ  
         เทพอสูรจึงลิขิตให้ลิเทลและคิมานมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นขุนนางและเลิกใช้ความเป็นขุนนางที่ตนเป็นแต่ให้ไปคลุกคลีสังคมกับพวกทาสและประชาชนธรรมดาเพื่อแสวงหาสัจจะและความจริงแท้ในสรรพสิ่ง
       ลอร์ดลิเทลจึงกลายเป็นคนอย่างทาสแต่มีใจเป็นมโนธรรมสูงสุด
ลอร์ดคิมานก็เช่นกัน
สนุปง่าบๆคือ ลิเทลและคิมานเกิดเป็นขุนนางแต่ประสบภับปัญหาชีวิตวิบัติจนตกไปอยู่ในกำมือของ
จารชนและพวกทาสที่ขาดมโนธรรม
ในขั้นตอนต่อๆมา
         จากปรัชญามนุษน์มีมโนธรรมแห่งความดีเป็นสมบัติฉะนั่นคำว่ารวยจนยากไร้เข็ญใจและพรมแดนที่อยู่ไม่มี
  
        อะไรมาขวางกั้นมโนธรรมแห่งควสมดีนี้ได้   แต่บางคนที่เป็นมนุษย์เลวไม่เชื่อว่า"มโนธรรมแห่งความดีไม่มีอยู่จริง "เป็นผลให้เกิดความริษยาหึงหวงเกิดสงครามจลาจลเกิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่วเป็นฐาน
          สรุปอีกครั้งในชาติก่อน ลิเทลและคิมานเป็นคู่รักกันในชาติที่เกิดเป็นกบทอคำ และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งสองได้มาเกิดเป็นขุนนางตกยาก
แต่มิได้เป็นพี่น้องกัน แต่ลิเทลมาพบ
     คิมานตอนเดินทางไปงานวิทวัสราตรี
บนเส้นทางสวรรค์และได้พบกับคิมานโดยลังเอิญ
ขณะที่คิมานไปหาเก็บยอดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟรนั่นเองได่พบกับลอร์ดลิเทล
ที่กำลังขับรถมา ทันทีที่ลิเทลเห็น
คิมานก็นึกชอบคิมานอยากเป็นกัลยาณมิตรด้วยคืออยากเป็นเพื่อนด้วย ลิเทลจึงออกปากชวนคิมานไปงานราตรีวิทวัสด้วยกัน
โดยลิเทลเสนอให้คิมานนั่งรถยนต์ไปด้วนกัน รถยนต์ของลิเทลนั่น
เป็นรถฟอร์ดอัสตินคันสีเขียว
ไม่กินน้ำมัน
        คิมานหลังจากเหนื่อยมาจากเดินวนหา เที่ยวเร่ร่อนไปเพื่อหากินดอกน้ำค้างบริสุทธิ์น้ำใสบนยอดหญ้า ที่ผุดปรากฏคล้ายใยแมงมุมตามทุ่งโอเฟ ในตอนเช้า
จากทุ่งโอเฟและเหนื่อยจึงตอบตกลงกับลิเทลทันที
"ไปก็ไป"" คิมานตอบรับ

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

คิมาน1.ลอร์ดลิเทล

       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น

          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา

      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น

       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"

      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว

          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล

       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด

        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร

       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน

        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล

      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน
ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงครามได้เกิดขึ้นแต่นั้น
มา















       

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"(4820)

     ตอนที่9 ตอน"เสียใจเว่อร์"
(4820)




"เมคะนอสารถาพเรื่องสตรีเพศ"
         เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
         ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศวายๆเอกซ์ๆน่ะหลังประสบการณ์ตัวนี้
        เพราะจุดนี้เองที่มันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุก
       ผมเมคะนอเคยอกหัก2ครั้ง
ในชีวิต
      "  เนฟฟังจบแล้วเฉยพร้อมแสดงอาการตกกระใจนิดๆให้เขาเห็น"
เมคะนอกล่าวต่อ
"ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาเมื่อตะกี้ และด้วยรนี้ละ่กระมังผมจึงอยากออมาจากเมืองโหราอินเพื่อพเนจรมาขอลี้ภัยที่นี้ด้วยอันเป็นสาเหตุบวกของผม
"ทันทีที่เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม

     เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่คุยอะไร?
เนฟรู้จักแต่ยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอเป็น"ผู้ชายคนนี้มแปลก"

      แต่ไม่สำหรับพระจ้าพระองค์ท่านมิใช่คนเมืองจิ "เมคะนอเชื่อ"
     เมคะนอเชื่อว่าพระเจ้าคง
ไม่อาย้ดตัดตอนสื่อสารอะไรเราที่เป็นมนุษย์เพราะเหตุผลอันดีงามของพระองค์ และกระนั้นการกระทำของพระองค์ที่ไม่มีใครเห็นได้เลยคือ"ลับมีแต่ลมจะเห็นได้ก็แต่แรงโน้มถ่วงของความลับ""
และการกระทำของพระองค์จะมีอุบัติการณ์ปรากฏออกมา
    นอกจากท่านเทพอสูรตนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ทำลายมนุษย์
     ที่หลายคนเชื่อว่าท่านชั่วร้ายและอาจจะทำด้วยมิติแห่งความพลั้งเผลอ
จากลูกน้องทีาเป็ยเสมือนหนึ่งเป็น"ยมพบาล"ตามวรรณคดีที่ครีเอท(create) ขึ้นมาน่าเชื่อถือและเป็นที่เป็นทุจริตชน
    
   ก็ ถ้าภาษาเราไม่ดีพอมันอาจจะทำให้เข้าใจผิดกันได้
เคยพูดมาแล้วเนฟจะใช้เข็มมีด้ายเย็บปากเอาไว้
ด้วยภาษาที่ตนเองพูดไม่เป็น
พูดไปสองไพเบี้ยและเสียเวลาที่หายไปเพื่อข้อมูลวิจัย ไม่พูดเสียเป็นตำลึงทอง และไมรทำให่ซูกิเหนื่อยอีกด้วย ที่สำคัญซูจิก็เป็นล่ามพูดเป็นภาษาเจอร์ซี่  (jer c y= ภาษาปรวนๆ)ค็อกนี่(c o c k n e y=ภาษาต่ำๆมิใช่ทางการ) อีกด้วยเพราะ
เมคะนอเป็นต่างด้าว

        แต่เนฟฟังสื่อและอาการรู้ ด้วยสัญชาตญาณชน  อฃะภาษาใบ้และอากัปกิริยาอาการและการกินกระท่อมการดูดกัญชานั่นเขาที่เมืองจินี้เขาทำงัยกัน !
      แต่บางส่วนบางส่วนเนฟได้อัดเทปมาให้ซูจิอ่านฟังสำนวนแปลให้อีกครั้งแล้วเนฟจึงมาเรียบเรียงรายงานปรับเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ


          


         ที่นี่เป็นหมูบ้านกัญชาและกระท่อม เนฟขอให้มันแต่ชื่อหมู่บ้านนี้คือ"คะธาและมายตาย" 2หมู่บ้านชื่อติดกันเพราะมันอยู่ติดกันเพียงคลองเป็นเส้นแบ่งเท่านั้นมีบ้านนับได้
บ้านส่วนหนึ่งเป็นกระจุกส่วนหนึ่งแยกห่างกัน เดิมมีคนรักกันมีหนึ่งคู่
รักกันมากคือวันสมรสพอเสร็จพิธีก็ลงไปลอยคอดื่มน้ำปึ้งพระจันที่คลอง"เกชาน"หน้าบ้านนั่นเอง
แก้ผ้าเปลือยทั้งคู่เป็นประเพณี
ในหมู่บ้านนี้ถ้าลงอาบน้ำในคลองนี้ต้องแก้ผ้าหมด  เพราะถือว่าเป็นการชำระมลทินเป็นความเชื่อน้อยๆว่าคลองเกชานนี้เป็นคลองศักดิ์สิทธิ์ดุจดั่งแม่น้ำคงคาของอินเดียทีเดียว
       แต่วันนั้นทั้งคู่ได้เสียชีวิตและเธอคือ"คะธา"และ"มายตาย"นั่นเอง
เพราะถูกงูเห่าน้ำกัดปกติที่คลองนี้
ไม่มีงูเห่าน้ำ จะมีเพียงปลาปู่และปลาตะเพียนสีทองที่คนหม๊บ้านนี้ไม่กินเพร่ะถถือว่าเป็นปลาศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเทพเจ้าคอยรักษาคลองนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปีนับได้7ชั่วคนได้ "ซูจิเป็นคนเล่าและยืนยัน"
 บังเอิญวันที่คะธาและมายตายนนั้นตายลงเพราะพิษงูเห่าน้ำกัดตาย
เป็นงูที่ มีคนไม่รู้จักนำมาปล่อยไว้
ในช่วงน้ำหบากเพราะคิดว่าเป็นลูกปลาบู่
        ที่รู้ว่าทั่งคู่รักถูกงูเห่ากัดตาย
เพราะทั้งคะธาและมายตายและงูกอดรัดกันแน่นอยู่ ตาคลินีมาหาเม็ดทรายไปปักธูปเพื่ทำพลีกรรมบางอย่างได้เดิมาที่ท่าน้ำ"เกชาน" นั่นตอนบเช้าหลังงานแต่งงานเสร็จเมื่อวานของคะธาและมายตาบพอดี
พบศพที่ริมคลองททั้งงูและคะําและมายตายตายศพททั้งสองนอนทับงูอยู่

ต่อมาทางหมู่บ้านจึงคั่งชื่อหมู่บ้านนี้
ว่าหมู่บ้านคะธาและมายตาย
นั่นเองทางสภาเมืองจิรับรองเรื่องนี้
จากอดีตหมู่บ้านนี้ไม่มีชื่อมีแต่ต้นกระท่อมตามริมคลอง และกัญชาตามป่สละเมาะแดดรำไรเรียกได้ว่าเป็นทุ่วเลยทีเดียวส่วนตามไกลเขา
"นับนาน" ใกล้คลองเกชานมีทุ่งฝิ่น
ที่นี่จึงเป็นสวนสมุนไพรตัวสำคัญของเมืองจิในอดีต แต่ต่อมาเมื่อบางเมืองประกาศวมุนไพรชนิดนี้เป็นยาเสพติดให้โทษประเ
ภทหนึ่ง ทุงกัญชาป่ากระท่อม ทุ่งฝิ่น
จึงค่อยๆหมดไปแต่กบับกระจายมาอยู่ตามถนนและตามบ้านใรเมืองจิทั่วไปและคนเมืองคะธาและมายตายถือว่ากัญขากระท่อมฝิ่นนี้เป็นยาของเทพเจ้าพระองค์ที่ประทานให้มนุษย์
เพราะทรงเห็นว่ามนุษย์ที่คะธาและมายตายนั้นลำบากและเป็นคนมีมโนธรรมกว่าสัตว์เดรัจฉาน
       ประวัติโดยย่อของหมู่บ้านทั้งสองนี้มีดังนี้แล


แต่เมคะนอ มาทำชีวิตลี้ภัยแบบ
ลูนาติกไซเลม(lunatic asylem)ที่บ้านคะธานี้มิใช่เพราะเหตุาถรรพณ์ใดๆหรือมีสมุนไะรต้องห้ามในเใทองโหราอินขึ้นอยู่ก็หาไ
ม่
เเต่เขามาอยู่ที่นี้ได้โดยบังเอิญด้วยเงินซื้อสัญชาติของเขาและตอนที่
เมคะนอมาอยู่ที่นี้ทุ่งยาเสพติดทุกอย่างมันไม่มีสภาพเป็นทุ่งไปแล้ว
แต่เป็นสภาพวัขพืชขึ้นทั่วไปหมด
ตามถนนหนทางและหมู่บ้านและในเมือง แทนวัขพืชชนิดอื่นเช่ยหญ้าแพรกหญ้าเกรยและหญ้าปากควาย
เพราะมันจะโดนเหยียบแล้วเหยียบอีกเพื่อคนเข้ามาเด็ดใบกระท่อมมากินและมาเด็ดดอกกัญชาแห้งไปสูบอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
      คนที่นี่ถือว่ากัญชากระท่อมและฝิ่นเป็นอาหารชนิดหนึ่ง และกฎหมายเมืองจิกำหนดให้เสรี ยกเว้นยาบ้ายาม้าที่สกัดจากสารเคมีผสมสูตรถ้าตำรวจพบที่ใครมีโทษหนักมาก
      คือจะเนรเทศไปอยู่เกาะร้างที่มีงู
มีพิษชุมและตายที่นนั่นทุกคน โทษนี้เทียบเท่าโทษประหารชีวิตนั่นเอง
ทางเมืองจิจะประกาศเป็นเสรีทุกอย่าง แต่เคยคือไม่ผ่านสภาเลยสักครั้ง มีการต่อสู้กันมานมนานแล้ว ขณะที่เนฟเดินทางมาถึงเมืองจินี้กฎหมายทุกอย่างยังเหมือนเดิมเว้นกัญชากระท่อมฝิ่นและกาแฟชาที่เสรีสุดขีด
เคยพบว่าคนเสนอสถาให้ยาบ่ายาม้าเป็นสิ่งเสพติดเสรีด้วยแต่ถูกจับเรฝนรเทผสปล่ิยเดาะเพราะพบมีสิางผิดๆเหล่สนี้ไว้ใรครอยครองขณะไแหาเสียงเสนอกฎหมายนี้
ที่สภาและตายที่เกาะร้างดังกล่าว

        อนึ่งเกาะร้างนี้เป็นเกาะเล็กๆ
ที่ทางเมืองจิกำกนดให้นักโทษเด็ดขาดและหนักขั้นประหารชีวิตเท่า
นั้นอยู่ได้คนละหนึ่งเกาะเท่านั้น และตามแต่ละเกาะมีทะเลรอบเกา
ะมีปลาฉลามเสือชุกชุมและไม่มีเรือเดินน้อยใหญ่แล่นผ่านเพราะมีหินโสโครกจำนวนมาก มีประภาคารปรากฏอยู่










ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3


Attention :เหตุผลมิใช่"สีเทา"ที่นำมาผนวกลงที่นี่เพราะการนำเรื่องขึ้นแท่นมีปัญหาเทคนิคแต่ที่บล็อกไม่
มีปัญหาเพื่อประโยชน์ผู้ติดตาม
งานนี้มีประมาณ1320ท่านได้พบทางเลือก "ขอขอบคุณและขอประทานอภัยในความไม่สะดวกด้วยในทุกรณีที่เป็นจริง"

ตอนที8 "ตอนมาหลบซ่อน"ภาค3(5703)ตอนที่8ภาค3
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
    
         แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อาหรับเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"
เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพูดพร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก หตุผลเพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก พ่อของเธอไม่ชอบ "จบ"
ที่ชอบกันตอนไปตีผึ้งที่คุ้งนางแมว
เอามุ้งไปให้เธอนั่งในแล้วมองดู
ส่วนตนเองใบหรี่มวนเดียว
ได้น้ำผึ้ง5ขวดขายได้ซื้อกะโปรงให้เธอ1ตัวหลังจากนั้นเราก็รักกัน
และแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันที่คุ้งนางแมวนั้นแต่ไม่มีหรือทำอะไรหรือแตะต้องตัวกัน
"เธออมยิ้ม"
แต่แฟนชื่อว่า"สิรา"ฟญิงคนนี้และเธอคนนี้ที่เใตะนอจ้องจดจำ หล่อนเป็นชาวเมืองหลวงของเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเมคะนอเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"กองวาหรือหน้าผาคองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ
   "   เมคะนอ"มิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทยที่จะชอบผู้ชายที่ใจยังว่าง
          และเนฟไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือขะเรียกวาาลูกค้าเป็นโปรสเปกตัส=prospectus ของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น
    เมคะนอ  เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้นรถไฟที่ชานชาลาเปลี่ยวๆชิ่อว่า"เมคาตอฟ"ชื่อทางการ เหตุเกิดที่ ณ.สถานีรถไฟ เมคาตอฟในเช้าตรู่วันหนึ่ง
        เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบกระท่อมที่ห้อมส่ถุงพลาสติกไว้กันแห้งและพกพา
       และเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดๆแทนมื้อข้าวเช้าที่สถานีรถไฟ ส่วน ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครองใบละ100โหรอิน
(สกุลเงินเมืองโหราอิน)
       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพาใส่ขวดนำพาไปไหนได้
แบบคนแก่พกขวดยาลม
      แต่แบบผงมิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินเนฟพบว่าสิ่งที่เม
คะนอเล่าแปลกมาก เขาไมพูดเรื่องว่าแก้เบาหวาน แต่แก้หิวแก้เหนื่อยมากกว่า
      ที่โหราอินพอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎหมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินก็ไม่ต่อต้าน

       ถ้าหากว่าประชาชนในเมืองนี้ผิดหวังในการปกครอง เพราะเอาเวลาไปทำมาหากินกันส่วนใหญ่
แต่ว่าใรความเงียบเขาสาปแช่งแทน
เพราะเดขาถือว่าคำสาปเป็รแรงเช่นเดียวกับ"หลุมดำและแรงความโน้มถ่วง
       
       บางกรณีมีการลอบสังหา
รนักกกาเมืองตัวการทีาคบชู้กับเทียหัวคะแนน การลอบดักสังหารตัวนัก
การเมืองนี้มีอยู่ แต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจที่นั่น"ไวเท่ามือถือเป็น"  ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข้มงวด ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อมทิ้งให้หมดทุกบ้านที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่วประเทศ
ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
       คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้งคนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งทุก10ปี
อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีกระทรวงใบยาสูบ
      
    เนฟพบว่า   หลังเขาหืดเข้าปอด
เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย เหมือนเดินอยู่บนสวรรค์
พอเขาหืดเข้าปอดเสร็จเขาก็ไอและจามมันนิดๆ นั่นแสดงว่ากฃไกชีวิต
สุขภาพของเขาบางครั้งมันไม่ตอบรับควันกัญชามันนั่นเอง
     
     ทีนี้เมคะนอ จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาชนิดดูดลมในกระปุกน้
ำที่มุไฟจุดเลนแล้วใช้หืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบงิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี
คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
"เนฟกล่าวต่อ"
        ผมชอบควันเพราะควันมันเหมือนตอนเข้าโบสถ์
ที่มรโบสถ์มีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีเทพเจ้าครับที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
      เมคะนอพูดต่อว่า"เขาไม่ชอบผู้
หญิง"" มิใช่หมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ดูดกัญชามีประปราย

สสสสสสวส


        ชนิดฝนพรำโจรจะออกหากินยังกะอึ่งปากขวดตื่นขึ้นมาในเวลาฝนตกห่าใหญ่ บนทุ่งนาที่ร้อนจัดมาแรมเดือนและขาดฝนมาหลายเดือน" ร้องระงม" จากความคิดนี้ควสมโง่ของอึ่งเท่ากับความฉลาดของโจร
ความบริสุทธิ์ของอึ่งอาชีพดินไม่เดือดร้อนใครแต่ถูกทารุณกรรมโดนจับกินเพราะความโง่ของตน ที่ดัน
ร้องให้คนมีรสนิยมกินอึ่งและครับฉมวกแทงกบหรืออึ่งไวขงจะรู้ดี เหมือนโจรใจบาปที่มองตัวเองไม่เป็นท้ายสุดคุกและตารางคือแดนสุดท้ายคือสิ่งเชิงลบนี้มาเป็นอมตธรรมของตนเองนั้นเเล
      เช่นการขโมยของเพื่อนมนุษย์มันบั่นทอนจิตใจเพื่อนให้อีกฝ่ายที่โง่และอ่อนแอและอ่อนแอ และคน ที้ปกครองง่าย และยอมทำตามอิทธิพลมืดตลอดก็ยังโดยโจรฉกดดั่งงูพิษกัดคนไม่เว้นจะเป็นคนดีคนชั่วนั่น โจรทำงี้มันไม่ดีเลย"เมคะนอคิด"" แต่เนฟนั่งฟังความในใจของเขา
      และอย่างที่สำคัญ สุดยอดมากเอาตัวรอดด้วยการทำโตรกรรมที่นจับไม่ได้ชนิดมีดแทงบาด
     แต่พบไมมีบาดแผลว่าใครเป็นคนทำ
   

          ประเด็นนี้ต่อมาพวกที่สมญาตนเองว่าเป็นพวกชนอนาคีย์ปลอมๆนี้เเม้"เมคะนอ"พบว่า"สิ่งนี้"เป็นเหตุร้ายที่ทำให้เกิดสงครามทางมหาชนจลาจลขึ้นอันเป็นชนวนก่อเหตุปั่นป่วนต่อรัฐ ถ้ารัฐใดอ่อนแอก็จะล้ม ถ้ามีจลาจลเกิดขึ้น
           เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด
ว่ามีการใช้อำนาจสีเทาต่อกันจนกลา
ย เป็นดลายเป็นการเดินขบวนและเกิดกบฎรัฐประหารอันรุนแรงของบางรัฐ
      จากชนวนเหตุที่เกิดเชิงสีเทาแบบนี้ในจุดปฐมฐานมาก่อน
      ที่เมืองจินี่จึงมีกฎหมายขี้นมาว่า
การลักขโมยมิใช่การเอาของคนอื่นซึ่งหน้าและจับได้เท่านั้น
        แต่การลักขโมยอาจจะเกิดจากองค์ประกอบอื่นๆที่เป็นการขโมยแบบ"สีเทา" หรือฟอกเงิน" คือมีเจตนาทำ
        แต่ผลคนที่ถูกลักขโมยก็ถูกขโมยของไปหมดอย่างน่าเกลียด
ที่มีฟิเวอร์(fever)คนดีถูกทำที่มีองค์ประกอบในปริบทแบบชิลๆ
คือปริทรรศน์ของวิธีที่การที่คนถูกขโมยสิ่งของ ทั้งที่จับได้แต่คลายไม่ออกและก็ถูกโจษจันว่าเป็นขโมย
       
         และทั้งจริงไม่จริงใกล้เความจริงเช่นกัน จนบางครั้งตำรวจนำไปทำจับเท็จกับเครื่องๆยังเหนียมอายจะจับเท็จก็ยังไม่อยากจะพูดด้วยเลย กัลคนขี้ขโมยททั้งหลายที่แสดงบทเป็นผู้ชำนาญการขโมยในโลกเชิงลบ
แล้วยังมีขโมยชนิด"อนาคิชต์"=(อนาธิปัต์ เป็นปรัชญา อย่าตีความตามตัวอักษรเกินไปแล้วจะเข้าใจดีว่าพวกเขาคืออะไร)เนฟเคยเรียนปรัชญาปรูดอนท่านผู้นี้ ตอนเรียนหน่วยกิตทางรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบลนดิสกี
ก็มีพวกมั่วนิ่มโมเมใช้ ปรัชญาอนาธิปัตย์เพืนอประโยชน์ส่วนตนที่เขายืมแม่บทปรัชญาอนาคิชต์มาใช้บังหน้าลักสิ่งของไป"เนฟเข้าใจอย่างนั้น"
       ซึ่งเป็นขโมยแบบการเมือง คือคนมีปรัชญาขโมยแบบนี้"เขาถือว่าทรัพบ์สิน เป็นของทุกคน"และลัทธิ อนาธิปไตยตามแนวคิดลัทธิแนวคิดนี้ของ"pr u d o n g" -Pierre-Joseph Proudhon- (1840)  =Ana r c h i s t  นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส
"จนนิสัยขี้ลักมั่วนิ่ม"ไม่รู้ว่าขโมยจริงหรือขโมยการเมือง ชีวิตสับสน
และกัญชาเป็นได้เป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนพวกที่คิดมากและสับสนได้มาที่"เมืองจิ"มาหลบซ่อน
แต่ไม่เปิดเผยความจริงว่าสาเหตุหลักๆคืออะไร แต่เมืองจิก็ปฏิเสธว่าไม่ต้อนรับคนมาหาสูบกัญชาที่เมืองจิ
และมาหลบซ่อน แต่เป็นที่แอบตายแอบสงบเห็นจะได้ "และเมืองจิไม่รับนักท่องเที่ยว เพราะกำลังตำรวจไม่เพียงพอและกลัวลัทธิสีเทาและลัทธิฟอกเงิน
     แต่ในโลกความจริงกฎสากล"ลักของ" การละเมิด นั้นมันผิดจับหมดมันมีมาแล้วตั้งแค่ยุคสมัยฮัมมูรามี
อดีตกษัตริย์โบราณ"อาหรับ"

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

ตอนที่5"เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"

 ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(6000)

      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา

อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ

มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก

    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม

    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ

เนฟไม่สนใจถามจุดนี้

อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง

ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?

           เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
"ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี"

       วันอาทิตย์ ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้

และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ

และค่าปรับที่ตรวจคน
     ตอนที่5" เมคะนอไม่กล้าชอบผู้หญิง"ภาค3เรื่องเบลนดิสกี(8978)




      แต่ตาของเนฟจ้องอย่างพิศวงวงสงสัยว่า เมคะนออเขาดูดกัญชา
อย่างไรกินใบกระท่อมอย่างไร?

    เขาดูเหมือนจะมีกระปุกน้ำ
มีฟองนิดๆมมันเป็นน้ำตำและต้มกระท่อมมีสีคล้ายน้ำใบบัวบก
    มีในขวดแม่โขงพร้อมดื่ม
    มันคงถูกต้มจนดือดกลั่นออกมาเป็นน้ำหรือไม่ต้องตำโขลกกับน้ำ
เนฟไม่สนใจถามจุดนี้
อยากรู้เพียงพฤติกรรมคนเสพส้อง
ไม่ต้องการรู้วิธีทำตามหัวข้อวิจัยที่ขอมา

       เนฟพอมองเห็นเขาทำงัยก็พอใจแล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเขาสูบกัญชาเสพใบกระท่อมนั้นที่แท้จริงเขาทำอย่างไร?
 เนฟหันมาพูดกัลซูกิว่าวันนี้
ต้องไปธนาคารเคมีระหว่างประเทศเพื่อไปแลกเช็คเงินทุนที่ได้รับมาจากทุนวิจัยที่นายทุนเสนอให้ปานมาทางมหาวิทยาลัยเบลนดิสกี วันอาทิตย์
ธนาคารเปิดทำการมี่เมืองจินี้
และพอดีได้งวดจ่ายค่าล่ามให้ซูกิ
และค่าปรับที่ตรวจคนเข้าเมืองๆจินี้
นี่ด้วยเพราะเนฟติดวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางเข้ามาพักอยู่เมืองจินี่นานเกินกำหนด
"ซูกิอมยยิ้มตอบรับ"

เนฟสนใจที่จะฟัง"เมคะนอพู
ดที่ทางดูเหมือนคนจะ"เมากัญช
า"พร่ำเพ้อไปพลางดูดกัญชาไปพลางกินใบกระท่อมไปพลาง 
และเมคะนอเขาสารภาพว่า
     เขาไม่ต้องกินข้าวตามเวลาทั้งวันๆนี้เพราะ2สิ่งนี้
"เมคะนอ"เล่าต่อว่า 
"เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้งเขาอกหัก
เพราะตนเองเป็นเด็กบ้านนอก
แต่แฟนคนนี้เป็นชาวเมืองหลวงเมืองโหราอิน แต่นั่นมาเขาไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหนอีกเลย 
       และเมคะนอทราบว่าแฟนคนนั้นต่อมาตาย เธอตายขณะไปเล่นปีนเขาสูงผา"คองวา"นั่นเองกับแฟนใหม่ของเธอ

      เมคะนอมิได้ไปงานศพเธอแต่ปักดอกธูป2ดอกอาลัยเธอที่บ้านเช่าในเมืองโหราอินนั่นเอง
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง
เนฟมองตา"เมคะนอ"และเฉยๆ
เพราะตนเองไม่ใช่กระเทย
และไม่สนว่าลูกค้า(ปกติจะถือว่าข้อมูลเป้าหมายคือลูกค้าของงาน)เพื่อการวิจัยของเขาจะยืนยันว่าเกลียดเพศหญิง นับจากที่เมคะนออกหักครั้งแรกกับแฟนที่ชื่อดิวเธอคนนั้น

      เขาเล่าต่อไปอีกว่าใบกระท่อมนี้เขาเคยถูกตำรวขจับปรับมันที่
สถานี"เบลาดอฟ"ขณะเขารอขึ้น
รถไฟ ในเช้าตรู่วันหนึ่ง
เพราะที่เมืองโหราอินพืชกระท่อมและกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายมีโทษหนัก แต่วันนั้นเขาถูกปรับครอบครองใบดระท่อมและเพราะเคี้ยวกินใบกระท่อมสดที่สถานีรถไฟ ค่าปรับนับตามจำนวนใบที่ครอบครอง

       หลายคนตำกินแบบผงแบบแห้งสำหรับกินมัน ที่ตำเป็นผงเพราะสะดวกพกพา
      แต่มิใช่เป็นวัฒนธรรมการกินกระท่อมๆแบบผงๆ
       การกินกระท่อมของชาวโหราอินคือเคี้ยวใบสดแบบวัวเคี้ยวเอื้อง คือเขารูดกินแต่ใบและหวนตามด้วยน้ำดื่มที่เมืองโหราอินแปลกมาก
พอเปลี่ยนรัฐบาลทีก็เปลี่บนกฎกมายยาเสพติดที จนชาวบ้านงงแต่เป็นอย่างนั้น และคนที่โหราอินไม่ต่อต้าน
หากผิดหวังในการปกครอง แต่เขาสาปแช่งแทน บางกนณีมีการลอบสังหารตัวการแต่น้อยมากเพราะที่โหราอินตำรวจไวเท่ามือถือเป็น

ในสมัยรัฐบาลที่มีกฎกมายตัวนี้เข็มงวด
    ทางเมืองโหราอินจะกวาดล้างทำลายเผาหรือตัดทิ้งต้นกระท่อม
มทิ้งหมดที่ปลูกตามบ้านที่มีปลูกทั่ว
ประเทศ




ดีผยาจับำด้เปสดียเป็นพีนๆำร่เลยทีเดียว
      คนถูกจับติดคุกกันมากแต่พอเปลี่ยนรัฐบาลทีกฎหมายยาเสพติด
ก็ถูกเปลี่ยนทุกครั้ง คนที่ติดคุกก็ถูกปล่อยออกจากคุก เขาเลือกตั้งกันทุก10ปีที่เมืองโหรนาอิน
"เนฟขัดจังหวะนิดนึง"
     แล้วเมือง"เหราอิค"ล่ะ"เนฟถาม"
อ๋อ!
มันเป็นพี่เมืองน้องกัน มีแระวัติศาสตร์อันยาวนานก่อนสมัยถังของจีนเสียอีก "ถ้าจะขุด""
     "ไช่" แต่ว่ามันไม่ถูีกกันมี
สงครามตลอดเวลา มันเหมือนหมากับแมวฟัดกัน "ผมไม่อยากจะพูดถึงเมืองนี้
       เพราะน้องชายผมคนหนึ่งตายที่นั่นตอนคนที่นั่นเขาเดินขบวน การ"เดินขบวนเป็นประเพณีที่นั่น"
         น้องผมโดนลูกหลงคือโดนกระสุนฝ่ายปฏิวัติปราบปรามตาย. เพราะน้องมีนิสัย"ไทมุง"นั่นเอง"เมคะนอพูดที่สุด"
         อาคนหนึ่งของ"เมคะนอ" อดีตคนเลี้ยงควายฝูงที่ประสบความสำเร็จและต่อมาเป็นนักการเมืองและได้เป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีในกระทรวงใบยาสูบ และลูกพี่ลูกน้องของท่านผู้นี้เคยค้ากัญชาเถื่อนจนรวยเลยสละเงินทำบบุญแบบเล่นการเมือง 
ต่อมาชนะเลือกตั้งแต่ทว่าถูกหัวบฎลอบสังหารตายคาที่ด้วยปืนลูกดรด"เหตุผลสาเหตุการตายขิงท่านไม่ชัด" ว่าทำไมเป็นอย่างงั้น

    ถ้าเขารอดเขาจะได้เป็นถึงรองนายกแห่งเมือง"เหราอิค"=(Heraik)ทีเดียว












      เนฟพบว่า   หลังเขาหืดควันกัญชาเข้าปอด เขาจะแสดงอาการได้ผ่อนคลาย แทนการมวนดูด คือเอาแต่ควันและรสกลิ่นกัญชามันส์ๆนั่นเอง เขาพูดออกมาด้วยเสียงกึ่งหัวเราะว่า"มันเป็นยาครับท่าน"



     ทีนี้"เมคะนอ" จะทาบทามให้เนฟ
เล่นกัญชาบ้าง เพืาอให้การสนทนามีราชาติ ชนิดดูดเอาแต่ลมและควันกัญชาในกระปุก "กัญชาหลอดฟันแก้ว""
     ทำทีเล่นควันไฟจุดเล่นแล้ว สูบควันใช้ปอดหืดขึ้นสมอง
เซียนกัญชาที่มีเวลาว่างชอบวิธีนี้เพราะได้อารมณ์ดี โดยเฉพาะหลังเก็บองุ่นในไร่องุ่นของเมืองจิ

คุณท่านจะลองดูบ้างมั้ย!   "if you like to try s ir""เมคะนอเสนอ""
เขาชวนเนฟผู้เดียงสา ตาสีฟ้าผมสีทองปากแดดแจ้ดเหมือนตูดกัง
"อ๋อ!ไม่ๆครับ"
เนฟพลันตอบรับทันทีว่า"ผมแพ้มันครับคุณ" แต่ชอบดูมันสนุกดี
แต่"เนฟกล่าวต่อ"
ผมชอบควันมันเพราะควันมันเหมือนตอนหอมกลิ่นธูปกัญชาตอนเข้าโบสถ์
       ที่มีในโบสถ์จะที่จะมีควันกัญชาแทนกลิ่นธูปที่เขาใช้ทำพลีกรรมเทพเจ้าครับ!ที่เมืองเบล็นด์ของผม"เนฟกล่าวในที่สุด""
  
      เมคะนอพูดต่อว่า"ตัวเขาเองไม่ชอบผู้หญิง"" มิใช่สันดานแต่มีปมครับและเมคะนอเพ้อต่อไปว่า
อันนี้รวมถึงหมายถึงผู้หญิงที่ปกติไม่ชอบกินใบกระท่อมแต่ผู้หญิงชอบดูดกัญชานะจะมีประปราย

    คือมีเรื่องหนึ่ง  เพศผู้หญิงทำให้ผมเสียใจเว่อร์ในอดีต
      ผมไม่ชอบผู้หญิงเพศทั้งแบบเอกซ์และแบบวายๆน่ะ!
        เพราะกลิ้ยผู้หญิงมันเคยทำให้ผมเป็นไข้และผมเคยมีสภาพเหมือนคนติดคุกเมื่อติดและหลงรักผู้หญิง

       ผม"เมคะนอ" ผู้พบาดพลั้งผมเคยอกหัก2ครั้งครับในชีวิต
       ผมจึงตัดสินใจทำตามสิ่งที่ผมสัญญากับตนเองและเคยพูดมาบ้างเมื่อตะกี้
     "ทันทีที่ฉากสนทนาฉากนี้เขากล่าวจบเนฟอมยิ้ม เพราะเนฟเคยมี
ปมความรักที่ซ้อนเร้นอยู่ในใจเช่นกัน
 

    " เมคะนอ"เขาจะพักการกล่าวต่อเพื่ออยากให้เนฟคุยบ้าง
แต่เนฟก็ไม่รู้จะคุยอะไร นอกจากปริบทที่สันติบาลสัญญาเมือวจิทำสัญญามาว่าห้ามเวอร์คุย" (ที่เมืองจิเขามีอะไรที่ไนอย่างไร กะใครคอนเทนจ์อะไรดรามาอะไร แม้เข้ากินกาแฟที่ร้านโรงเตี้ยมกาแฟเขาต้อง
เซ็นชื่อสัญญาก่อนจึงจะกินกสแฟที่ร้านได้ สรุปไม่ว่าอะไร 
เขาจะทำเป็นหนังสือสัญญาหมด)

       เนฟรู้จักดีแต่อมยิ้มรับอย่างเดียว
เนฟเมื่อคิดอยู่ต่อมาพบว่าเมคะนอคนนี้ว่า"ผู้ชายคนนี้แปลก"เท่าที่เข้ามาที่จิเพื่อการวิจัย

     จากจุดสนทนาจุดนี้
ทำให้เนฟคิดว่าอยากจะเปลี่ยนหัว
ข้อวิจัยจากเรื่องกัญ
ชาเป็น"เรื่องแนวสังคมวิกฤต"
เพราะเนฟสนใจอ่าน"เเอมิล-เดอไคม์(Emile Derkeim)นักปรัชญาสังคมชาวฝรั่งเศ สตอนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาชั้นสูงที่มหาวิทยาลัยเบล็นดิสกี

และเนฟพบว่าตนเอง
คิดว่าปรัชญาที่เป็นแม่แบบของศาสตร์ทั้งปวงตามแผนคลาสสิคกรีซเก่า
      แต่มาพบว่าสีงคมต่างหากเป็นแบบแผนใหม่แทนที่ระบบคลาสสิค
ที่ตนเองเห็นจะเป็น
      ก็!สังคมมนุษย์เกิดจากคนสองคนคุยกันสรรพสิ่งจึงเกิดม นี่คือการเริ่มต้นของปัญญา
"การตบมือแบบมือข้างเดียวตบไม่ดังถ้าตบสองข้างตบดังฉันใด"
ฉันนั้นแนวคิดของเนฟจึงได้กระนั้น
      แต่ต้องยื่นเรื่องขอเปลี่ยนหัวข้อที่ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะผ่านการอนุมัติหรือไม่อนุมัตินี้ได้ในภาวะเศรษฐกิจสังคมและการเมืองเฉกเช่นปัจจุบันนี้เมื่อจะทำอะไรสักอย่าง