วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

j96 บ้านอานองเต

j96 บ้านอานองเต







j96



บ้านอานองเต







ผมกำลังฟังเพลง

Tchaikovsky: Swan Lake - The Kirov Ballet

Tchaikovsky - Waltz of the Flowers

Tennessee Waltz ( 1959 ) - CONNIE FRANCIS - Lyrics



รอสักครู่เรื่องบ้านอานองเตนี้ยังไม่จบ

ยังติดใจ

ยังมีอีกหลายเรื่องในความรู้สึกของผม

และภูมิปัญญาที่คาดว่าพอจะมีพอนับได้อย่างมีสติและความรอบคอบ

ที่จะทำให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาตนเองให้เป็นไปตามยุค

แห่งความทันใจเป็นต้นเหตุ

เหมือนที่เนต และคอมเป็น



ผมเชื่อว่าตนเอง

ยังมีอีกหลายเรื่อง

ที่จะต้องนำมาปรับสมดุลย์ให้กับตนเอง

ในสมัยสังคมวิกฤติทั้งเชิงบวกและเชิงลบ

แบบนี้



ถ้าใครคิดว่าเราประสาทกินหรือเปล่า

อันนี้เป็นเสรีภาพที่ใครๆก็มีสิทธิที่จะคิดที่จะกล่าวขาน

ต่อกัน

ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้เป็นโรคประสาทชำรุดแต่อย่างใด

ง่ายๆ คือคนมีมือมีเท้ามีความคิด

ควรจะทำอะไรบ้าง

เพิ้อทำให้จิตใจตนเองอบอ่นขึ้นและมีเพื่อนคุยตลอดเวลา

อย่างไม่เงียบเหงาและเดียวดาย

จากการรู้จักคิด

รู้จักปลูกจิตสำนึกให้กับตนเอง





ใช่ทุกอย่างมันต้องเดินไปข้างหน้าอย่างมีจิตสำนึก

มิใช่คิดสั้นๆเช่นฆ่าตัวตาย

หรืองอมืองอเท้า

โดยคิดแบบไม่ทำอะไรเลย





แล้ว

ปล่อยให้ชีวิตให้เย็นชาและเฉื่อยเหงาไปกับ

การอความตาย

ที่แม้ว่าความตายจะมาเอาชีวิตเราทุกคนในวันหนึ่งที่เราพลาดไป

ไปเป็นมนุษย์ใหม่เกิดใหม่

อันไปเป็นสัจจนิยมก็ตาม

เาไม่ใช้เหล้าหรือสิ่งมึนเมาหรือยาสเสพติด

เข้ามาแก้ปัญหา







เชื่อว่ามนุษย์ยังมีทางออกอีกมาก

มีเพื่อนและความจริงสายเดี่ยว

อีกมากในโลกนี้ที่รอคอยเราอยู่





มันต้องดำเนินไปจนกว่าจะสิ้นกระแสความ

ผมตั้งใจเอาไว้ว่า

ถ้าผมตายลงก่อนจบ

เรื่องบ้านอานองเตนี้ยุติลง



ผมได้ทำพินัยกรรม

ให้ทนายไปสานต่อให้จบให้ได้ตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์เดิม

ที่เพื่อนมนุษย์บางคนอาจจะรอคอย

และตั้งใจฟังเราอยู่อย่างตั้งใจหรือบังเอิญ

ต้องผิดหวัง



ใช่การทำให้ผู้อื่นผิดหวังนั้นไม่ดีเช่นผิดนัด

ถ้าพ่อค้าหลอกว่าสินค้าที่ขายให้กับเรามีคุณภาพดีจริงเชื่อถือได้

แต่ปรากฎว่าไม่จริงอย่างนี้

มันจะทำให้เราหรือผมในฐานะผู้บริโภคต้องเสียความรู้สึกไปอย่างมากทีเดียว







เอาละ

เพราะอันนี้เรื่องบ้านอานองเตนี้ ตำหนักอานองเตนี้ หรือวังอานองเตนี้

หรือกระท่อมอานองเตนี้

หรือบ้านร้างอานองเตนี้

สุดแท้แต่จะนิยามมัน

บัดนี้มันเข้ามาเป็นนิยาย

หรือวรรณคดีหรือวรรณกรรมอะไรสุดแท้แต่จะนิยามนิยายมัน







เพราะเรื่องอานองเตนี้เป็นเรื่องที่ยาวและมีเรื่องมีราว

เรื่องมีพระเอกมีตัวประกอบ

มีผู้เสียหาย

และผู้ได้รับประโยชน์

คือมีตัวโกงและตัวที่ไม่โกง





ผมพยายามทำให้เป็นอรรถะเพื่อ

มีคนมาพบเจอเข้า

จะได้ไม่เสียเวลาอ่านหรือติดตาม





ที่สำคัญคือสื่อภาษาเป็นภาษาเข้าใจตรงกัน

ว่าสื่ออะไรสำนวนตามที่เกิดเป็น





สรุปมันเป็นเรื่องๆหนึ่งที่

มีองค์ประกอบในตัวมันเอง

และที่สำคัญไม่ทำให้ผู้ใดเสียหาย

นอกจากมุ่งประโยชน์เป็นที่ตั้งให้สอดคล้อง

กับอารมณ์ของธรรมชาติของมนุษย์และของสังคม













และมันอาจจะเป็นวรรณกรรมชนิดแข็งชนิดหนึ่ง

เมื่อแบ่งวรรณกรรมออกเป็นชนิดแข็งชนิดอ่อนขี้นมา

ตามคติของของความเป็นมาในเรื่องราวที่มันมีอยู่เป็นในเรื่องนี้





แต่มันก็เป็นวรรรกรรมในตัวมันเอง



ผมไมคิดว่าจะเขียนมาเพื่อมุ่งผล

แต่เพียงให้ได้เขียนแล้วเบาหวานผมดีขึ้นด้วย

น้ำตาลในเส้นเลือผมลดลง

และลืมความทรงจำทั้งหมดอันแสนสนุกที่พ่อแม่มีต่อเรามา

ที่อดีตมีต่อเรามาให้หมดสิ้นเก็บไว้ในห้องสมุดและบนหิ้ง



แต่เรามาเริ่มชีวิตเสียใหม่

คิดว่าเมื่อทุกอย่างจบลงผมจะเดินทางกลับไปอังกฤษ

แม้ชื่อเมืองนี้มีตัวตนแต่ผมนำมาทำเป็นนิยายด้วย

เพราะดูแล้วไม่ผิดอะไร









ผมมั่นใจว่าผมมีเผ่ากิยองตินอันเลวร้ายตามผมอยู่

เผ่านี้อาจจะเป็นเผ่าในมโนคติของผม

แต่ว่ามันก็เป็นหุ่นกระบอกที่คนสมัยใหม่สามารถ

ทำให้มันมีชีวิตจิตใจขึ้นมาเป็นตัวตนได้

ในอีกมุมมองหนึ่ง





ผมจำได้ว่า

ผมเคยเขียนงานชิ้นหนึ่ง

เมื่อสามสิบปีให้หลังหลังจาหที่ผมจบการศึกษาจากต่างประเทศมาแล้ว

ที่กระท่องข้างบึงใหญ่งหนึ่งปกปิด





เรื่องบ้านทุ่งไร่ละหกล้าน



ผมมุ่งที่ผลว่า

จากการเขียนเรื่องนั้น

เพื่อให้นิตยสารระดับชาติฉบับหนึ่ง

ไปพิมพ์

และได้พิมพ์

ได้ค่าเขียน

ตอนนั้นสามร้อยบาท

ท่าน  บก  นิตยสารฉบับนั้น

 ส่งเงินมาให้ทาง ปณ





พร้อมสำเนาหนังสือที่ขึ้นแท่นที่ปรากฏต่อสาธารณชน

ที่พิมพ์แล้วหนึ่งฉบับ







ผมทำงานเรื่องบ้านอานองเตครั้งนี้มิได้เน้นเหมือนตัวบ้านทุ่งไร่ละหกล้านบาทนั้นนี้







แต่ตอนนี้ผมเน้นให้ตัวผมเองสบายใจ

และเบาหวานได้หายและอีกหลายเรื่อง

ให้ได้ข้อยุติที่แสนดี

เท่านั้น







ผมต้องต่อไปอีก

แต่บางคนอาจจะเบื่อผมจึงหาเพลงมาฟังแทรกด้วย







ก่อนงานเริ่มขึ้น



ผมพบ

กุ้งย่างตัวเดียวงามย่างเสร็จจานละห้าร้อยบาท

ข้างทางหลวงสายเอเซียสาย2

ติดป้ายชวนกินไว้



ผมผ่านมาเห็นแล้วน้ำลายไหล

เอ้ยน้ำลายหก

ก่อนที่กุ้งจะถึงปาก





ทันทีที่ผมเห็นป้ายนี้ขณะชับรถอยู่

ผมหิวขึ้นมาทันที









ใกล้ชายทะเลนะเนี่ย

ชายทะเลห่างทะเลน้ำถึงได้เพียงนิดเดียว

ถ้าพายุมา









ที่บ้านอานองเตกลางป่าหญ้าและไม้รก

รถผมสามคันนอนเรียบร้อยหมด

เพราะมีอุบัติเหตุ



มันเป็นรถมือสองที่ซื้อมาไว้ทุกข์ให้ผีพ่อผีแม่ได้นั่ง



ตอนนี้มันวิ่งไม่ได้ทั้งสามคันแล้ว

เก็บไว้ให้ผีพ่อผีแม่มานั่งเล่น



ก็บอกแล้วนี่มันนิยาย

ก็คิดให้มันเป็นนิยาย

แต่ถ้าหากว่ารู้สึกว่ามันเรื่องจริง

ก็ให้คิเป็นนิยายเสีย



แล้วความดันมันก็จะลด









แต่ให้นึกขำดีอย่าไปเสียใจตามเรื่องราวอย่าไปเศร้าตามตกใจตาม

อะไรทั้งสิ้นจากงานที่ผมเขียน

คนอ่านคือผู้พิพากษา

มิใช่ตัวละคร



เพราะฉะนั้นให้คิดและให้คิด

ว่า

คือทำใจ

และให้คิดสนุกเข้าไว้

ผมเชื่อความดันคงลดผมว่าอย่างนั้น

คือไม่เครียด

เมื่อได้ยินคำว่าอุบัติเหตุ

และเพิ่มอีกนิดเรื่องมีปัญหาทางศาลยังไม่จบ

แต่รถยนต์ของผมจบลงแล้ว

จอดอยู่เฉยๆ

รอต้นเถาวัลย์มาพัน

และกลายเป็นนิเวศน์ต่อไป

ตอนนี้











อ่านเข้าไปนี่มันภาษาหนังสือ

ผสมมา

ถูกกฎไวยากรณ์ภาษา

มีเรื่องราวเชื่อมโยง

ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน

เมื่อเขียนๆไป







ถ้าหากมีรายการอื่นที่จะติดตาม



ก็เปลี่ยนไปช่องอื่น

หรือไม่ต้องไปอ่านมัน

ในสิ่งที่ไม่ชอบ







ถ้ามีงานเขียนชนิดนี้อยู่

อยู่ก็พาไปทิ้งเสียหรือเผาไฟทิ้งเสีย

หรือเก็บให้ห้องสมุดสุด

หรือให้คนเก็บกระดาษพาไปขายให้คนขายกล้วยปิ้งห่อกล้าวปิ้งขายได้



สุดแท้แต่

ความดี ความชั่วจะมีขึ้นมาในจุดนี้

มันจะผลุดมาตัดสินให้เอง



สมมุติให้โลกนี้



มีพ่อครัวแม่ครัวกำลังทำต้มยำให้กิน

เป็นจานต้มยำ

เราก็กินมันให้ยุติธรรมว่าอย่างนั้น



ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก



เพราะสังคมเรามันอย่างนี้

เมื่อมีอย่างนี้คือกินอย่างนี้

เมื่อไม่มีก็ไม่กิน

เมื่อกินแล้วไม่ชอบเราก็เลิกซื้อกินอีก

มีเท่านี้



เราต้องทำใจรับได้

ผมในวัยสนธยานี้รับได้เสมอ

ที่บ้านอานองเต





และบทนี้ผมขอเปลี่ยนชื่อเรื่องราวนี้ว่า

บ้านอานองเต



เพราะฟังดูแล้วมีชีวิตขึ้น



ใช้เจตัวเดียวดูระเบียบจัด

ที่ใช้มาก่อนเพราะสะดวกต่อการเซิร์ค



แต่ผมจะคงเนื้อหาเรื่องราวและสารัตถะไว้ตามเดิม

เท่าที่แจ้งเกิดมา

แต่เรื่องนี้จะเป็นนิยายมากขึ้นและมากขึ้น

และอาจจะมีรูปและเรื่องราวมาประกอบมากขึ้น





ผมมาพบว่าเมื่อ200กว่าปีผ่านไป

เมื่อมาเกิดที่ครอบครองแห่งบ้านอานองเต





ผมพบว่า





รูปย่าทวด

ทวดหญิงเท่านั้นที่มีรูปเหลือมาเป็นภาพวาดด้วยถ่านชาร์โคล

ดำขาวอย่างดีหนึ่งภาพ

และตกทอดมาอยู่มาถึงบัดนี้

เป็นมรดกชิ้นหนึ่งของผม

ผมใส่กรอบเคลือบเรซินให้





มีข้อสังเกตดังนี้





แต่แปลกมากภาพทวดฝ่ายชายไม่มีเลยสักภาพเดียว

ของฝ่ายแม่ผม





ส่วนฝ่ายพ่อผมมีครบหมด

จนเกือบจะไม่มีที่เหมาะแขวนให้ดูเท่ห์อารมณ์



เว้นระดับพ่อของทวดแม่ของทวดฝ่ายพ่อไม่มีเลยเช่นกัน

ในเมืองจีนและที่ในไทยที่ตกทอดมาถึงผม



ทวดฝ่ายตาของผม

และย่าฝ่ายตาก็ไม่มีเหลือมาถึงช่วงผมนี้ไม่มีเลย





จะมี

มีแต่ภาพตาและยายตอนเป็นหนุ่มจนแก่มีมาก

ทอดทิ้งเอาไว้ถึงผม



ผมใส่กรอบเรซินไว้ให้





สรุปว่าปู่ทวดย่าทวดฝ่ายแม่

มีเหลือแต่อัฐิบรรจุไว้ที่เจดีย์ข้างเขาที่สุสานตายายฝ่ายแม่ตั้งอยู่ปัจจุบันที่

บ้านอานองเต ประเทศไทย





นี่แสดงให้เห็นว่า

สมัยย่าทวดปู่ทวดทั้งฝ่ายแม่และฝ่ายพ่อของผม

กล้องถ่ายรูปยังไม่เกิดแน่นอน



สำหรับทางฝ่ายย่าทวดและปู่ทวดนั้น

พบว่ามีเหลือแต่สุสานดินวางต้น

เขาทำไว้บนภูเขาในเมืองจีน

ผมเคยไปเห็นตอนหนีพ่อเข้าไปเยี่ยม

ที่มณฑลกวางตุ้งถ้าให้ผมไปหาอีกผมไปไม่ถูก

เพราะลืมหมดแล้ว

ผมเชื่อว่าระหว่างจีนเก่าและจีนใหม่

นิเวศนืทัศน์และถนนหนทางแผนที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง







ส่วนย่าทวดและปู่ทวดฝ่ายข้างแม่มีแต่ความจำที่ยายแม่ของแม่ผม

เคยเล่าให้ฟัง





อัฐิย่าทวดและปู่ทวดฝ่ายแม่เหลือตกทอดมาถึงผมอยู่ที่เจดีย์ส่วนบุคคล







แต่ภาพวาดที่คนวาดดินสอสีดำถ่านชาร์โคลหรือเทียบคาร์บอนด์

สมัยย่าทวดฝ่ายแม่มีแล้ว

เป็นภาพวาดด้วยมือนักวาดมืออาชีพ







หรืออย่างไรผมคาดเดาเอา

เพราะตอนนี้ไม่มีใครสามารถเท้าความหลังครั้งกระโน้นได้อีก

ยกเว้นวิธีทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น





ผมพบเพียงแค่นี้









ผมเชื่อว่า

โลกเรานี้เจริญมากมาก่อนแล้วอย่าง

สุดขีดแห่งความเจริญในยุคกรีกและยุคโรมันแน่นอน

ในปริทรศน์ที่เป็นมุมมองของผมก่อนตำรามีว่าอย่างนี้

  กล่าวคือ ต้องมีปมขัดแย้งเกิดขึ้นนนอกจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์

ในคนรุ่นเก่าก่อนโน้นมากมายนัก แน่นอนต้องมีปม





แต่ทว่ามนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งตามไม่ทันในความเจริญสุดขีด

หรือมีคนหัวแข็ง

คือไมเชื่อในความเจริญอย่างยิ่งของคนที่เจริญแล้ว





หลังอารยธรรมกรีกและโรมัน

ทอดทิ้งให้เรา

และนับย้อนหลังไปอีก2000ปี

ถึงปัจจุบัน2017





โลกปัจจุบันเจริญมาก

ชนิดสามารถใช้ดีเอ็นเอ

จับอาญากรได้





โดยไม่มีปัญหาหมือนการพบพยานจริงได้

ที่ตามปกติเป็น



แสดงว่าวิทยาการต่างๆจริงๆ

นั้นในปัจจุบันเจริญมากทีเดียว



เชื่อว่ายังมีอะไรอีกที่สนุกและเจริญกว่านี้

แต่ชนบางกลุ่มรับไม่ได้

เหมือนประเทศสองค่ายอะไรก็ตามก็ตาม

ที่สร้างปัญหาขึ้น

เรื่องชาติเผ่าพันธุ์ผิวและการเมืองขึ้นมา





จนอีกฝ่ายรับไม่ได้เลย

ไม่ว่าอะไร

แม้จะดีเลิศหรือเลวสุดอย่างไร





คนบางกลุ่มก็เห็นต่างไปหมด



เราโชคดีมากที่เกิดมาเป็นไทยได้เห็นอะไรทันทีที่เมืองเจริญเห็น

เช่นคอมพิวเตอร์ที่เคยเรียกว่าสมองกลมาก่อน

และเนตมีเดียสืบต่อมา

อีกมากมายมายาการของมัน







สงครามที่แท้จริงผมว่าไม่น่าจะมี

แต่ที่มีสงครามเกิดขึ้นเพราะเหตุการเพื่อกลับไปใช้หนี้

กรรมเวรที่มีต่อสัตว์



อย่างแนวคิดในอุดมคติเวเจตาเรียน"กินเจ"แน่นอน

ที่เชื่อว่างดการฆ่าสัตว์แต่ให้กินผักแทน





เพราะถ้าสงครามมีจริง



อย่างที่พบตามข่าว



ตอนนี้โลกคงสลายไปแล้ว



แต่เหตุที่โลกสลาย  พังพินาศสันตะโรเป็นจุณ

ได้



ที่จริงเกิดจาก

กระแสไฟบวกและลบ เหมือนปรากฏการณ์ที่ฟ้าผ่าเกิดขึ้นเห็น

เป็นปรากฎ



ถ้าสงครามีจริง

ทุกอย่างมันคงพินาศไปหมดแล้ว







ถ้าจะเรียกว่ามีสงคราม

น่าจะเป็นสงครามระหว่างธรรมชาติกับธรรมชาติ

มิใช่สงครามระหว่างมนุษยหรือวัตุที่มนุษย์สร้างแน่นอน



ทำไมก็เพราะว่า

อะไรก็ตามอยู่ที่มนุษย์

อยูที่การตีความของมนุษย์



เหมือนคนในระดับรากหญ้ามอง

และคนในระดับปัญญาชนมอง

ผมว่าย่างนั้น



คนในระดับรากหญ้ามองว่า

คนที่ตีกันเพราะโกรธกันโมโหใส่กันฆ่ากัน

มีปัญหามาก







แต่คนในระดับปัญญาชนกลับมองว่า

ที่เขาตีกัน

มีจากสาเหตุอื่น

เกิดขึ้นมิใช่เรื่องโมโหกันแล้วตีกันอย่างเดียว



คนปัญญาชนมองว่า

มัน

เป็นเพียงความขัดแย้ง

เป็นเรื่องธรรมดาแก้ไขได้





และการตีกันไม่มีปัญหาอะไรมากแก้ไขได้

แต่คนระดับรากหญ้าเมื่อตีกันคือเอาให้สิ้นชาติเกิดเลย

ไม่เหมือนคนระดับปัญญาชนเมื่อตีกัน

ต้อมมีการเจรจาต่อรอง ผ่อนปรน

ใช้วิธีการ

ไม่เน้นการทำลายล้างให้สิ้นสุด

สิ้นชาติในทันที





คนสองชั้นนี้

จะคิดต่าง

และตีความอย่างไรก็ตาม

ตามที่ปรากฏการณ์ปรากฏ





แต่ว่าสิ่งที่ชัดเจน

คือชนชั้นที่คิดต่างกันมีอยู่

จริงในโลกนี้

ซึ่งจะสืบค้นต่อไป



ตามแนวคิดของผม

โลกมนุษย์เจริญขึ้นมานับตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ

มาและเป็นศาสดาในศาสนาพุทธแพร่สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว

สอนปรัชญาให้มนุษย์ได้ทราบว่า

โลกเราควรอยู่อย่างไร







ตามมาด้วยปรัชญาวัตถุนิยม

ที่เป็นสาเหตุให้โลกเจริญเพิ่มขึ้นมาอีก



ต่อมา

ในสมัยกรีกและโรมันจนถึงปัจจุบันถือว่า

โลกนี้สมบูรณ์แล้ว

แต่ผมมั่นใจว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่พบ

อันเนื่องจากความจริงในประวัติศาตร์โลก

เพราะคนไปเน้นที่การแข่งกันทำมาหากินแข่งรวยแข่งมีกัน

จนไม่มีเวลาในการสืบค้นความจริงทางประวัติศาสตร์

ที่ยังมีหลงเหฃลืออยู่อีกมากกว่าที่ปัจจุบันพบแล้วก็ได้









(ขยายความเป็นสังกัปสั้นที่ผมเข้าใจอย่างนี้คือ



โลกเรานี้เคยเจริญมาก่อนกว่ายนี้

แต่เกิดสงครามและล้มสลายและโลกกลับมาเจริญอีกภายในยุคแต่ละยุค

แต่คนปัจจุบันยังไปสืบค้นมาเฉลยให้สาธารณชนรู้ไม่หมด

 เพราะเวลไม่มี

การแข่งกันหาเงิน สร้างความเจริญและอื่น ๆเป็นสาเหตุ)

ผมขอออกตัวว่า

ผมไม่ใช่เจ้าของลัทธิและ

จะมาเผยแพร่แนวความคิดหรือลัทธิ

อะไร



แต่ที่ทำพูดคิดนี้

เป็นการสนองตอบในแนวความคิดที่เกิดขึ้นกับตนเอง





แม้และเสรีภาพทางความคิดนั้นมีอยู่จริง

ขนานกันตลอดกาลเวลาที่เราหายใจ

ผ่านไปอย่างเป็นพลังงานเงียบชนิดหนึ่ง





ผมเชื่อว่า

ก็พลังความคิดมาจากอาหารและไฟธาตุแห่งความพร้อม

มันไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ของมนุษย์แต่ละคนอย่างเดียว



ผมเชื่อว่าอย่างนั้น

อย่างไรก็ตามความคิดของผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งไรก็ตาม

เป็นเพียงความคิดที่ผมคิดเอง

ในคนเพียงคนเดียว





ไม่มีพิษต่อใครหรือแม้จะผ่านสื่อมีเดีย

ไปมีผลให้ทุกคนรู้





แต่ทุกวันนี้คนทุกคน

มีองค์ความรู้เฉพาะตัวแล้วกันทุกคน

 คือทันโลก

ทุกคนมีภูมิต้านทานตนเองในการรับความรู้อย่างมีเหตุผล





และเรื่องนิยายบ้านอานองเต

เป็นนิยาย





และผมถืองานสืบค้นพ่อแม่ผมเป็นจุดกำเนิด

ซึ่งคาดว่า

ยังมีอะไรอีกเพิ่มเติมและในแต่ละบทประกอบ

จึงสรุปมาเป็นนิยายในบทนี้

และต้ังแต่บทนี้เป็นต้ไป

มันจะเป็นเรื่องราวที่กำหนดว่า เป็นเรื่องนิยายบ้านอานองเต



เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผม

ผมสงสัยจึงเป็นนิยายหมดด้วย

เป็นจินตนาการเป็่น

แฟนตาซี

  



เมื่อสารภาพอย่างนี้แล้ว

จึงเพิ่มเสรีภาพให้ผมคิดได้เต็มที่

ซึ่งในหัวข้อแห่งความดี

ที่คิดและคิดเพื่อสิ่งที่ดีและเข้าใจง่ายกว่า

สนุกกว่า

บันเทิงกว่า

เหมือนเบาหวานของผมลดลง

เพราะอำนาจแห่งเสียงเพลงที่ทำให้ผมอารณ์ดี

ผมดี

ผมหายจากโรคนี้ได้

ผมเชื่ออย่างนั้น











ผมขอหยุดเขียนฟังเพลงแทรกต่อก่อน

เดี๋ยวเบาหวานของผมมันร้องให้

แล้วผมจะเป็นอัมพาต

ว่าอย่างนั้น







Franz Liszt: Réminiscences de Don Juan, S.418 - 

Gabriele Baldocci, piano (with score)











The Beatles - Don't Let Me Down



John Lennon - Stand By Me



Mix - Patti Page - Tennessee Waltz (Original Classic with Lyrics)







Patti Page - Tennessee Waltz

Imagedaeus Video Productions



Tchaikovsky : Swan Lake Suite (Лебединое озеро)

Patti Page - Changing Partners - 





Doris Day - Que Sera Sera









Greatest Hits Of The 60's - Best Of 60s Songs







I Went To Your Wedding (1952) - Patti Page

















Patsy Cline ~ Tennessee Waltz







Patti Page - "Changing Partners" (1950s)







Mockin' Bird Hill~ ★Patti Page





Patti Page - Tennessee Waltz









Sad Movies ( Make me cry ) - SUE THOMPSON - With Lyrics







Bonnie Raitt & Norah Jones~Tennessee Waltz







PATTI PAGE - Mockin' Bird Hill(1951)with lyrics









Till We Meet Again ~Patti Page







PATTI PAGE 1927 – 2013

Jaime Vermeulen







Richard Wagner - 

The ride of the Valkyries from "Die Walküre"
























วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

j9 (ปรับแต่งบล็อกและเหตุผล)

j9 (ปรับแต่งบล็อกและเหตุผล)



j91 (ปรับแต่งบล็อกเพื่อเข้าถึงง่ายเร็วขึ้น)




ผมกำลังฟังเพลง



GIOVANNI MARRADI - Selection



 เหตุผลที่ต้องมีหน้านี้



ขออภัยปรับแต่งหน้า  แต่เนื้อหาคงเดิม

เพราะเรื่องมีหลายตอน
ถ้าปรับแล้วทำให้หาง่ายสะดวกขึ้นเร็วขี้นทั้งผู้ส่งและผู้ที่พบเห็น
เรียงตามหมายเลขอาราบิก
ส่วนเนื้อหาคงเดิม
ขออภัยในความไม่สะดวก

บางตอนมันซำ้ซาก
ซำ้หัวข้อที่ส่ง
ผมตามไม่ทัน
เพราะโลกมันเร็วมาก
โลก
หากมีเหตุสับสนขออภัย
เอาส่วนที่ดีแล้วกัน
ถ้าไม่ดีหมด
มิฉะนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
ถ้าไม่สับสนบ้าง
กรณีของผม
ตามนี้ครับ

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

jjy5030

jjy5030jjy5030

ผมกำลังฟังโชแปง

The 21 Nocturnes (recording of the Century : Claudio Arrau)จากยูทูบ

การสืบค้นญาติพบข้อยุติมูลฐานบ้างแล้ว

ว่า

ทำไมถึงเป็นนั้นและเช่นนี้

ชีวิตเกิดทาอย่างนี้เพราะเหตุอะไรและ

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น



มันไม่มีเงื่อนไขว่าหรือเงื่อนไขว่า

คนต้องเกิดมาเหมือนๆกันและที่คิดต่าง

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการยังหายใจอยู่เหมือนกัน

ยังกินยังนอนยังอิ่มอร่อยและมีความสุข

คิดอยากได้อยู่อย่างผาสุกเหมือนกัน

จึงเรียกสิ่งนี้ว่าชีวิต

ผมขอนิยามมันว่าอย่างนี้





แต่ชีวิตนั้นมันคงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้

สืบทอดเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี





จริงอยู่เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะนำมาคิด

แต่ในระดับหนึ่งคิดเรื่องเหล่านี้ไม่น่าจะเสียหายอะไร



และแต่ทว่าถ้าความคิดผุดขึ้นมาจะคิดมันเสียบ้าง

มันไม่น่าเสียหายอะไร

กลับดีเสียอีก

จะได้ทวนความทรงจำให้กับตนเอง





เหมือนการทำความสะอาดที่นอนนานๆครั้ง

ก็ยังดีดีกว่าเสียไม่ได้ทำมัน



ผมจำได้ว่าแม่ชอบทำความสะอาดที่นอนให้ผม

โดยผมมิได้ร้องขอ

และผมก็ไม่เคยขอบคุณ

แต่ว่าผมพอใจเมื่อแม่อยากที่จะทำ



ชีวิตที่ว่านี้เปรียบเหมือนที่นอน

ที่นอนไม่ใช่ที่หาเงินและที่ทำงาน

แต่ที่นอนเป็นที่ตายชั่วคราวที่คนมักจะลืมไป

เพราะหลับสนิทได้ในที่นอนทำ

บางครั้งทำให้เราลืมไปว่าที่นอนคืออะไร



ที่จริงที่นอนสำคัญมาก

ต้องสบาย

นอนแล้วต้องหลับสนิท

เพื่อเช้าวันใหม่

อย่างอิ่มเอิบและมีแรง



ได้มองดูโลกกว้างอีกครั้ง

เมื่อเราตื่นขึ้นมาด้วยความสำเร็จแห่งการนอน

โชคดีที่ยังหายใจเมื่อตื่นชึ้นมา



แต่ถ้าสมมุติว่านอนไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมา

นั่นคือคนตาย

ถ้าตายลงเราไม่ต้องมาพูดกันอีก

ว่าจะพูดคิดอะไรอีก

คือจบสมบูรณ์





เหมือนรถไฟที่หยุดจอดที่สถานีปลายทาง

รถไฟที่หยุดจอดที่สถานีปลายทาง

จะไม่วิ่งสถานีต่อไป





มันจะจอดพักตามหน้าที่ของมัน

และรอวันใหม่เกิดขึ้น

มันจึงจะวิ่งตามคิวการวิ่ง

ของรถไฟในวันถัดไป



อันนี้มันเหมือนความตายของคน

ไม่เหมือนตรงที่ว่า

ตายแล้วไปไหนไปเกิดเป็นอะไรต่อ

หรือไม่มาเกิดอีก





เราเรียกคำนี้โดยนักปราชญ์ท่านเรียกว่า

นิรวัจนีย์คือคำที่อธิบายไม่ได้ว่าอะไร



สรุปคนเราอยากตายมั้ยเป็นคำถาม

ไม่อยากเป็นคำตอบ

ถามว่าอยากเจ็บตัวไหม

คำตอบว่า"ไม่"

ทุกคนต้องตอบว่าอย่างนั้น

นอกจากคนบ้าเท่านที่ตอบว่าชอบตายและชอบเจ็บตัว



แม้แต่หมาแมวที่บ้านอานองเตยัง

กลัวเจ็บตัวและกลัวตาย

ถ้าเรารังแกมันมันจะร้องให้ขอชีวิตในทันที





ผมเดินทางมาถึงจุดนี้

จุดที่ข้อยุติของผมใกล้ที่จะมาถึง





ถามว่าจะหาข้อยุติไปทำไมกัน

จะทำอะไรก็ทำ

จะตายคือตาย

จะมีความสุขก็คือมีความสุข

จะหลับคือหลับ

จะกินคือกิน





หรือว่าเรามีปม

ชีวิตมีปมหรือ

คิดเสียใหม่เลยว่า

ชีวิตคนไม่มีปม





ชีวิตคนเหมือนรถไฟที่กำลังแล่น

มีคนโดยสารมีโปรแกรม

ชีวิตคนก็เช่นกัน

มีความสัมพันธ์กับสิ่งหลากชนิดต่อวันต่อเดือนต่อปี

ที่ผ่านไปในทุกวินาที





และเมื่อรถไฟมันเดินทางถึงสถานีปลายทาง

มันก็หยุดพัก

ชีวิตคนก็เหมือนกันเมื่อมันเดินถึงสถานีปลายทาง

มันก็พัก

คือตายแล้วเมื่อชีวิตที่เชื่อว่า

มีการเกิดใหม่มีจริง

ตามสูตร



ก็วิ่งกันใหม่

ก็เกิดกันใหม่



แต่ที่ต่างกันที่แน่นอนคือ

คนขับรถไฟรู้จักนายสถานีปลายทาง

ที่แจ้งมาแจ้งไปได้





แต่ชีวิตนั้นไม่รู้ว่าหลังการตายเกิดขึ้นแล้ว

นายสถานีของเราเป็นใครอยู่ที่ไหน



ผมขอตอบแทนมันเสียเองว่า

มีสิ่งหนึ่งที่มันเหมือนกับนายสถานีปลายทางของรถไฟเช่นกัน

คำตอบของผม"แต่อะไรไม่รู้"

ผมตอบอย่างนั้น



แล้วไปคิดมันทำอะไรปวดหัวเปล่า

ถ้าอย่างงั้น





คำตอบคือเสรีภาพในความคิด

เมื่อมีแรงมีก็คิดไป

เมื่อคิดแล้วได้ความสุข

ไม่เดือดร้อนคนอื่น





สิ่งสำคัญที่น่าจะนำมาเป็นบรรทัดฐานคือ

อย่าไปคิดอะไรเลยก็ได้

คิดเพียงอย่างเดียวว่า

ชีวิตที่ดีเกิดดีตายดี

คือชีวิตคที่มีคุณธรรม

เกิดอย่างทมีคุณธรรม

ตายอย่างมีคุณธรรมนั้น

คือชีวิตที่ดี



การตายที่ดี

การเกิดที่ดี

ผมไม่ได้แสวงหาเฟมหรือเพื่อนรักหรือคนรักให้กับตนเอง

ในการคิดและเขียนเรื่องทั้งหมดนี้



แต่ว่าผมกำลังวิเคราะห์หาคุณธรรมเพิ่มเติมให้มากขึ้นและดีขึ้น

จากส่วนที่มีอยูแล้วมากกว่า

เพื่อยุติการสืบค้นญาติ

และตัดสินใจทำสุสานพ่อแม่ให้เป็นไปตามที่คิดชอบและคิดว่าดีต่อไป

เมื่อเรื่องนี้จบลง











สิ่งสำคัญคือว่า

เราทำอะไรอยู่และจะต้องทำอะไรอีกบ้าง

ต่อไปคือคำถาม

สมมุติว่า



เราเป็นคนในสังคม

เราพบกฎหมายยคือสิ่งจำเป็นสำหรับสังคม

เราอแยู่ร่วมกันในสังคมด้วย

ความผาสุกและยุติธรรมมีในสังคม

เพราะกฎหมาย



เพราะฉะนั้นเราต้องรู้กฎหมาย

อาทิเช่น



เรื่องนี้ผมพาอ่านและทำความเข้าใจ

ตามตัวอย่างตัวบทกฎหมายไทยตัวหนึ่งที่น่าสนใจ

มีว่า







สำหรับมาตรา 368 ตามประมวลกฎหมายอาญาระบุว่า

 ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจ

 ที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร 

ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท....... 

 http://www.posttoday.com/social/hot/505546



ผมนำมาสำเนามาอ่านเพราะอันนี้

เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพและความถูกต้องและสัญญาประชาคม



ถ้าเรารู้จักตัวเองดีว่า

เรามีสัญญประชาคมหรือไม่

อะไรถูกอะไรผิดอย่างนี้

จึงถือว่ามีชีวิตที่ดีและหาข้อยุติได้

แม้ข้อยุตินั้นอาจจะไม่เลอเลิศ



เหมือคนเรเกิดมาต้องขยัน

และหมั่นทำงานตามวัยที่โลกมอบให้



เราก็เป็นคนดีมีคุณธรรมขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง



แต่ว่าถ้าเราขี้เกียจและไม่ขยันและหมั่นทำงาน

อันนี้ก็คือการมีชีวิต

ที่ขาดคุณธรรม



เพราะในสังคมอารยะปัจจุบันนั้นมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า



ต้องขยัน

ต้องทำงาน

ต้องหมั่นตลอดเวลา

เราจึงจะเกิดดีเจ็บดีตายดีได้

ผมคิดว่าอย่างนั้น





เน้นตรงที่กฎหมายที่ผมกล่าวมามาตะกี้นี้สักนิด

ให้เหตุผลว่าทำไมผมจึงเอาเรื่องวนี้มาแสดงในเรื่องของผม

ซึ่งไม่เกี่ยวกับการสืบค้นญาติของผมสักนิดเดียว



กล่าวคือ

สำหรับตัวกฏหมายนั้นเกิดขึ้นมาในเรื่อง

ตำรวจขัดแย้งกับคนขับรถมีปัญหากัน

ตำรวจสั่งให้แสดงใบขับขี่

คนขับบไม่เห็นด้วยคือไม่แสดง

แต่พอตกลงกันไปมา



ตำรวจตั้งข้อหา

เจ้าตัวพอรู้ว่ามีข้อหา

ก็เปลี่ยนใจ"ยินดีจะแสดง"

ผลคือช้าไป





ตำรวจแจ้งว่ามีข้อหาแล้ว

เมื่อสักครู่บอกให้แสดงกลับปฏิเสธ

แต่เมื่อยยากแสดงอีกเปลี่ยนใจว่าจะทำ

เป็นผลให้โดนข้อหาและถูกจับลงโทษในที่สุด





เรื่องนี้เป็นเรื่องชวนคิด

ผมคิดว่าลองทำความเข้าใจเอาเองว่า

มันคือเรื่องอะไร

และควรจะเป็นเช่นไร

และควรจบอย่างไรไม่จบอย่างไร

ระหว่างตำรวจกับคนขับรถ

มีปัญหาในกรณีนี้





ผมละไว้ฐานทำความเข้าใจเอาเอง





แต่ผมเน้นที่ตัวกฎหมายว่า

คนมีคุณธรรมต้องเคารพกฏหมาย

แต่ผมไม่ได้บอกว่า กรณีนี้ใครถูกใครผิด

อันนี้ตอบไม่ได้ดูกฎหมาย

และจะพบเองและตอบได้

และสัญญาประชาคมในจุดนี้คืออะไร

จึงรู้ได้ว่าใครถูกใครผิด





เพราะฉะนั้นการสืบค้นญาติของผม

ก็คล้ายคลึงกันเป็นแต่เรื่องของผม

เป็นเรื่องความผิดทางทางใจ

และต้องมีมโนธรรม

กล่วคือ



ที่ถ้าหากการคาดคะเนการตัดสินใจของผมผิดพลาดไป

ผลคือข้อยุติที่ผมพบเป็นลบ

และเรื่องของผมจะมีปัญหากับสังคมต่อไป

จริงอยู่เรื่องการสืบค้นญาติของผมเรื่องนิดเดียว

แต่ถ้าหลายนิดมันก็มากเหมือนกัน





ซึ่งผมไม่เห็นด้วย

ถ้าผมพบข้อยุติเป็นลบเช่นที่ว่านี้

จึงต้องร่ายยาวเรื่องการสืบค้นญาติของผม

ดังกล่าวนี้ขึ้น







ผมเคยจำได้ว่า

ในศาสนาหนึ่งกล่าวว่า

ที่ไหนมีร้อนมีเย็นแก้

ที่ไหนมีเย็นมีร้อนแก้

อันนี้เป็นแนวคิดของศาสนาพุทธ

และตอนนี้ผมจึงใช้นิยามให้กับตนเองว่า

ไม่มีอะไรในโลกนี้

ที่แก้ไม่ได้





นั้นคือในความเป็นมนุษย์



และนั้นคือ

มีแต่ได้กับได้และมีเสียกับเสีย

อยู่ที่เราจะเลือกเอาอย่างไหน

อยู่ที่เรา



ในที่้นี้อยู่ที่ผมจะตัดสินใจอย่างไร

จะเอาอย่างไร

กับชีวิตของตัวเอง





เพราะฉะนั้นชีวิตคนเรานี้

ผมเชื่อโดยดุษฎีว่า

ชีวิตคนเรานี้นี้ไม่มีคำว่า "ผิดหวัง"

และไม่มีคำว่าสมหวัง

หรือคาดว่าจะจะผิดหวังสมหวังตลอดกาล

มันขึ้นกับที่เราเลือกปฏิบัติ



เพราะเราเลือกเอาอย่างไร

บางครั้งเราพลาด

อันนี้เป็นความผิดหวังเพราะเจตนาอันแปม่นยำของใจ

ต่างหาก

ไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมหวังตลอดกาลหรือไม่ตลอดกาล

อมตะหรือไม่อมตะ



แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น

ทำอย่างไร

ได้หัวข้อใหม่คือ

ปรัชญาที่ว่า

"อะไรก็ตามต้องแก้ไขได้"



ถ้าคิดอย่างนี้เสียแล้ว

หรือเมื่อมีปรัชญาตัวนี้





คนที่คิดฆ่าตัวตายเพราะผิดหวัง

คือคนมีจิตแปลกออกไปจากจิตธรรมดา

อันนี้เป็นปัจจัยให้ผมตีความ

ให้กับตัวเองเสมอมา





เมื่อผมพบอุปสรรคในชีวิต

จากนิยามที่ว่า

ที่ไหนมีร้อนที่นั่นมีเย็นแก้

ที่ไหนมีเย็นที่นั้นมีร้อนแก้

ฉันใดฉันนั้น



ผมไม่ได้มาสอนศาสนาหรือสอนศีลลธรรมหรือ

แนะแนวอะไร



เป็นแต่เพียงเมื่อเรามาพบกันพบกันครึ่งทาง

จึงแสดงเจตนาเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเรื่องราวอันแสนยาว





ไม่ว่าอะไรก็ตามในเรื่องทั้งหมดทุกบท

ของผมมาจากนิยามข้างต้นดังกล่าว







วันนี้ผมพารูปถ่ายสำเนาและอ้างอิงมา

ที่อยู่อาศัยผมขณะอยูในเมืองออกร์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษเป็นภาพสากล

ผมไม่ได้มากล่าวเรื่องที่อยู่ในอังกฤษมีประสบการณ์มาอย่างไร

เพราะไม่ตรงประเด็นกับหัวข้อของเรื่องสืบค้นญาตินี้

หรือว่าจะจ้างให้ผมอธิบายเรื่องการไปอยู่อังกฤษมาผมคงไม่รับ

เพราะผมลืมทุกอย่างหมดแล้ว

ถ้าจะให้ผมคิดอะไรอีกตอนนี้

ก็คงช้ามาก

แต่ผมยอมรับว่าผมพบชีวิตคุณธรรมที่นี้อย่างสมบูรณ์





แต่อยบ่างไรก็ตามขณะผมอยู่ที่อังกฤษ

ผมได้พบปรัชญาตัวหนึ่งของศาสนาหนึ่งอีกเช่นกัน

นั้นคือความรักคือพระเจ้า

ผมติดใจคำนี้





เพราะเดิมทีผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไร

เมื่อมีคำตอบว่า"พระเจ้า"

คำว่พระเจ้านี้ไม่จำเป็นว่าจะสื่อถึงศาสนาหนึ่งศาสนาใดเสมอไปในที่นี้





แต่คำว่าพระเจ้าตรงจุดนี้

จึงยุติการคิดต่อไปในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ที่พอใจ

ในเรื่องของความรัก





ความรักคือพระเจ้า

แนวคิดของศาสนานั้นคือศาสนาคริสต์





และมาวันหนึ่ง

ผมได้ไปโบสถ์คริสต์กับเพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่งเป็นนักเรียนห้องเดียวกันที่นั่น

ผมเลยกินแผ่นขนมปังและเหล้าไวน์หนึ่งจิบ

และขอพระพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์





เพื่อนผมคนนั้นไม่ได้ชวนผมไปเข้าศาสนาคริสต์

แต่ท้ายสุดผมได้ไปที่โบสถ์อีกในนัดต่อมา

และผมได้เข้าศาาคริสต์นิกายแองลิกันที่นั่น

อันเป็นนิกายของกษัตริย์อังกฤษ





ผมมีหัวนิยมกษัตรย์และเป็นอนุรักษ์นิยม

โดยพื้นฐานอยู่แล้ว





สืบต่อมาผม



ผมได้เรียนวัฒนธรรม

และรู้จักตนเองเพิ่มขึ้น

แต่ก็ไม่ได้หลงไหลอะไร





ในเรื่องของศาสนาที่คนเราส่วนใหญ่มีอยู่เท่าไหร่นัก

เป็นแต่ว่่า

การเป็นคนน่าจะมีศาสนาของตนเอง

เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อชีวิตเหงา

ศาสนาคงจะเป็นที่พึ่งทางใจได้สำหรับคน

ผมคิดว่าอย่างนั้น



เอาละละตรงนี้ไว้เท่านี้

ไปเรื่องการสืบค้นญาติต่อว่า

ปมและสาเหตุมันสืบเนื่องมาจากอะไร



โชคดีที่พ่อแม่ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ผมบ้าง



เมื่อผมกลับมาเมืองไทยแล้ว

และได้มากอดพิษไข้และกอดศพพ่อและแม่ก่อนตาย

จนพ่อและแม่ตายในที่สุด





แม้ท่านทั้งสองตายลงโดยไม่ได้ทิ้งเงินติดตัวไว้ให้ผมเลย

ผมพอใจในสิ่งที่มีอยู่

และสิ่งที่พ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้แม้จะเหลือน้อยนิด



กล่าวคือต่อมา

ผมมาพบเรื่องหนี้สูญของพ่อแม่จำนวนมาก

และยังหาข้อยุติไม่ได้

แต่ผมไม่ติดใจ

ตามเรื่องนี้หรืออุทธรณ์ต่อสังคมผ่านสื่อมีเดียนี้

แต่อย่างใด

ดังได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน





ผมตัดสินใจทำอย่างไรดี

กับเรื่องเชิงลบของพ่อแม่ที่ทอดทิ้งไว้แล้ว

ไว้ให้ผมนำไปคิดเป็นการบ้านตลอดเวลาที่บ้านอานองเตที่ผมกำลังมีอยู่เป็นในขณะนี้





แต่ตอนนี้

ผมตัดสินใจงดสังคมงดออกงาน

และงดทุกอย่ง

ยกเว้นไม่งดกินและงดนอนเท่านั้น



กล่าวคือการงดของผม

จะมีต่อไปจนกว่า

ผมจะรื้อฟื้นตนเองสู่สภาวะที่เคยเป็นเหมือน

สมัยที่พ่อและแม่เคยมีชีวิตอยู่



เพราะถ้าไม่งดทุกอย่าง

ก็จะมีคำถามตามมามากมายเพื่อให้ผมตอบ

ในเรื่องเชิงลบที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ผมมาแก้ไข



ซึ่งคำตอบเชิงลบนั้นไม่มีใครพอใจแน่นอน

และจะมีปัญหา



ผมจึงตัดสินใจงดทุกอย่าง

เพื่อพัฒนาตนเองให้เข้าสู่หลักเดิม

ที่พอ่แม่เคยมีเคยเป็น

ที่เคยเอื้อเฟื้อและเคยให้ทุกอย่างกับทุกคน

จนผมรู้สึกว่า

ที่บ้านอานองเตนั้นพ่อและแม่ผมเคยให้

ทุกคนจนอิ่มตัวแล้ว





สรุปเป็นมีทัศนคติเป็นเชิงบวกทั้งหมดแล้ว





ผมจะเปิดตนเองสู่โลกกว้างและโลกเชิงบวกอีกครั้ง

ถ้าไม่ตายเสียก่อน

คือไม่งดอะไรทั้งหมดเหมือนอย่างช่วงการไว้ทุกข์ละทีนี่







อย่างไรก็ตามเนติในสังคมพ่อแไม่ผมได้สร้างฐานไว้ที่บ้านอานองเตไว้อย่างดี

ฐานเหล่านี้ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย

ผมก็ยังมีสิทธิเก็บกิน

อย่างสุขุมและเป็นคนดี

ก็คงใช้ฐานที่พ่อแม่สร้างไว้ให้

ไม่หมดกับสังคมบ้านอานองเต

อย่างแน่นอน



คือ

ที่มันเป็น







เท่ากับว่า ผมจะอยู่อย่างไรตอนนี้

งดอย่างไงในตอนนี้



กับตนเองและสังคมรอบข้างที่บ้านอานองเต

ของตนเองนี้

ก็ไม่เสียหายอะไร

กับผมและกับใครทั้งสิ้นเลย







คือไม่ทำให้ภาพพจน์ของบ้านอานองเตและผมเสียไปแม้แต่น้อย

เมื่อผมประกาศงดทุกอย่างที่เกิดขึ้น



ดูแล้วมันเป็นโลกมืดและเงียบเหงา

ในมุมมอง

เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม

แต่ว่ามนุษย์ทุกคนก็ไม่สิทธิเลือกได้

เมื่อวาระแห่งความไม่พร้อมหรือเจ็บป่วยของคนๆหนึ่ง

เกิดขึ้นเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ





การสังคมก็ต้องเป็นอันยุติไปโดยธรรมชาติของมันเอง

แต่เราก็ขอมีขอเป็มนุษย์ประเภทสัตว์สังคมทางใจได้

ผมคิดกับตนเองเสมอมาว่า

ว่าจะเอาอย่างไหน



และก็ไปเรื่อยๆจนกว่าจะจบสิ้น

มันจะจบลงอย่างไร

อันนี้รอจนกว่าบทต่อไป

จะเสร็จสิ้นและเรื่องนี้ปิดฉากลง

นั่นคือข้อยุติ





ที่ผมถือว่าดีที่สุด

ที่ผมคิดตัดสินใจให้กับตนเองได้อย่างแน่นอน

และมันต้องไม่

และไม่เป็นลบ



จากข้อเชื่อของผมและปรัชญาที่ทำให้ผมพบตัวเองได้ดังนี้

คือ





เมื่อร้อนที่ไหนมีเย็นแก้ที่นั้น

เมื่อเย็นที่ไหนมีร้อนแก้ที่นั้น

ความรักคือพระเจ้า

เนื่องจากรักกันกับคนรัก

ได้มาพบกันได้

เพราะเหตุบังเอิญ





เพราะบังเอิญจึงได้รักกัน

ผมเริ่มพบตนเอง



ฐานปรัชญาของพ่อ

มีว่าที่ไหนไม่ทำที่นั่นมีกินช่วยบอกพ่อด้วย

นี่คือฐานปรัชญาของพ่อที่ผมจับได้



ถามว่าแล้วทำไม

พ่อไมรวยเหมือนคนจีนคนอื่นที่เข้ามาเมืองไทย

แล้วรวยกัน





พ่อตอบว่า

วาสนาๆเป็นคำตอบและทางออกของพ่อ

เมื่อผมถามอย่างนี้



ที่พ่อเป็น





ส่วนฐานปรัชญาของแม่คืออะไร

"รักและความรับผิดชอบในหน้าที่ความเป็นแม่และความเป็นลูก

"ลูก"



แม่ไม่เคยทอดทิ้งลูก

แม่มีความรับผิดชอบในตัวบุตรที่เกิดมาจากอุทร

อันนี้นี่คือฐานปรัชญาของแม่ที่มีต่อลูกของแม่

ที่ผมพบ



เพื่อลูกแม่เสียสละชีวิตให้แทนลูกได้

มิใช่แม่ไม่เคยตีผมเลยนับแต่เกิดมา

ผมจึงยกผลประโยบชน์แม่มากกว่าพ่อ

ในความรักที่มีในตัวผมในฐานะเป็นความรักที่แม่มีให้ลูก





นอกนั้นที่แม่มี





แม่รักเพื่อนและจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเสมอ





กรณีแม่รักเพื่อน

มีตอนหนึ่งลูกชายของเพื่อนรักของแม่คนหนึ่ง

เรียนวิชาป่าไม้ชั้นหนึ่งใน

มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ





แต่บังเอิญจะกลับบ้านในวันหนึ่ง

ประสบอุบัติเหตุกลับบ้านไม่ได้ไม่มีเงิน

และเดินไม่ได้

ต้องใช้เงินเร่งด่วน





เพื่อมารับตัวมาพักรักษาที่บ้าน

ขณะที่อาชีพพ่อแม่ของเขาเป็นครู



การเงินของเพื่อนรักแม่ตอนนี้มีปัญหา

เขาจึงมาหยิบยืมเงินที่แม่ผม





แม้แม่ผมก็ไม่มีเงินสำรอง

เพราะไม่ได้รับราชการมีเงินเดือนมั่นคงประจำเหมือนครูที่เป็นเพื่อน

ตกลง

แม่ให้เพือนที่เป็นครูมีปัญหาการเงินท่านนั้น

เพื่อรับลูกชายมารักษาตัวต่อที่บ้าน

เพราะประสบอุบัติเหตุขาหักที่กรุงเทพฯ





เขายืมเงินไปเพื่อรับลูกลับมาพักรักษาตัวต่อ

ที่บ้านห่างไกล400กม.





แม่ผมยอมให้เงินเพื่อนยืมไป

แต่ตนเองคือแม่ผมนั้นตอนนั้น

นับว่าไม่มีเลย

เพราะที่บ้านอานองเตพ่อควบคุมและเก็บแต่ผู้เดียว

แม่ผมจะมีบ้างคือการฝากขายส่งพลู

ที่ตลาดนัดเท่านั้น





อย่างนี้เรียกว่า

แม่ผมรักเพื่อน





เพราะเงินยืมในลักษณะนี้

แม้กับลูกแม่จะไม่ยอมและทำอย่างนี้



ถ้าเป็นลูกคือผม

เมื่อมีความจำเป็นอย่างนี้บ้าง

ปกติแม่จะทำอย่างไร





แม่จะให้ลูกคือผมนั้นงดใช้เงินที่จะใช้

 แต่เอาเท่าที่จำเป็นที่สุด

เพราะเงินแม่ไม่มี





อันนี้แสดงว่าแม่รักเพื่อน

จึงทำอย่างนี้



 เพื่อนผู้นี้เคยเป็นนักเรียนประชาบาล

สมัยเดียวกับแม่ห้องเดียวกัน

 และต่อมาเป็นอาชีพครูทั้งสามีภริยา





แม่มีปรัชญาตัวหนึ่งคือ

รับผิดชอบในความเป็นลูก

เช่นตอนหนึ่งที่ผมทราบว่า





มีข้อมูล

เผ่ากิยองตินแนะแม่ให้

ตัดมรดกลูก แม่ไม่รับคำแนะนำจากเผ่ากิยองตินตัวนี้

คือแต่แม่ตอบปฏิเสธว่า

ทำไม่ได้เด็ดขาด

อันนี้แสดงว่า

แม่มีความรับผิดชอบในตัวบุตรที่เกิดมา





มีเผ่ากิยองตินแนะให้ลูกคือผม

รีบแต่งงาน

แม่ก็ไม่ทำ



แม่ตอบไปว่ากับเผ่ากิยองตินนั้นว่า



"อันนี้สุดแท้แต่ลูกจะรักใครชอบใครเป็นเรื่องของลูก"





และจะแต่งงานให้

ถ้าลูกปลงใจที่รักใครแล้ว





อันนี้แม่ให้สิทธิเสรีภภาพในตัวลูก

อย่างไรก็ตาม





แม่ผมมีปรัชญาฐานนี้

คือรับผิดชอบในบุตรที่เกิดจากอุทร

กล่าวคือ



ในฐานปรัชญาตัวนี้ของแม่



จะเป็นตายร้ายดีอย่างไง

แม่ไม่เพิกเฉยในหน้าที่ความเป็นแม่ของผมคือลูกที่เกิดมาจากอุทรของตนเอง

โดยเด็ดขาด







แล้วตากับยายละมีฐานปรัชญาเช่นไรกับตัวผม





ผมไม่กล้าไปไกลถึงตากับยาย

เพราะเอาเพียงพ่อกับแม่พอแล้วในการสืบค้นญาติ



แต่ว่าถ้าจะให้พูดถึงปรัชญาของตาและยาย

ต่อผมผู้เป็นหลานในไส้แล้ว





คำตอบสั้นๆ



ที่ผมพอจะนำมากล่าวได้  คือ



ท่านทั้งสองให้ผมทำความดีเท่านั้น

และไม่เอาเปรียบเพื่อน

และเชื่อฟังท่านเมื่ออยู่กับท่าน





ฐานปรัชญาของตาและยายสำหรับผม

ผมมีแจ้งให้ทราบเพียงเท่านั้น



ต่อไปมีอะไรอีก

เพื่อให้ตรงประเด็นการสืบค้นญาติและประเด็นหัวข้อต่างประเทศ

และอนุทินบันทึก





ซึ่งผมจะกล่าวอีก

เมื่อว่างลงจากการปลูกพลู

ไว้ขายเพื่อยังชีพก่อนตายต่อไป





ก่อนเรื่องนี้จะได้ยุติลงเสียที

ตอนนี้ผมกำลังฟังฮันเดล

และไฮเดิน ( Joseph Haydn)

youtube

The Best of Händel

28/07/17