วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566

ลอร์ดลิเทล"ปราสาทคูเซอร์และค่ำคืนแห่งความหลัง"รวมบทที่678910-อาจซ้ำซ้อนป้องกันเนตล้ม-งานวรรณกรรมสูญหาย/ขอภัย

ลิเทล10(7927)=35309(5-10)sectors
รวมบทที่67890/10เข้าด้วยกัน
                          ลิเทล9(6899)
"ปราสาทคูเซอร์และค่ำคืนแห่งความหลัง"
 ลิเทล8(6573)"สายลับแห่งมโนธรรม""
ลิเทล7(6250)ทบทวนกันใหม่"
ลิเทล6(6671)
"ลอร์ดนิรนามแห่งมิคาน"
        "ทันใดนั้น""
         เธอนั่งก้มกองยองแล้วค่อยๆพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา ดั่งคนรักกระซิบความลับที่ปกปิดเฉพาะให้ใครคนหนึ่งที่ตนเองชอบมาก ที่มี เจตนาให้ "ใครคนนั้น"ได้ยินที่หู
 และเธอค่อย ๆ พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือและ
จับมือสองข้างของลอร์ดมิคานไว้
ตอนนั้น"มิคาน"อยู่ในท่ายืนและสวมชุดเตรียมนอนหลับ
       
         หน้าของเธอตอนนี้อยู่ตรงหน้าอวัยวะเพศที่เรียกว่า"ควย ศัพท์แสลง=cock= a g ust u s -orgy =pinius)ของลอร์ดมิคานพอดี
         มิคานคิดอยู่ในใจว่า"เธอคงจะไม่มีมุขตลกอะไรเกินไปกว่าจับมือแน่นอนนะ่ เพราะมิคานมนใจไม่ชอบอะไรที่ไปไกลกว่านี้นอกจากเมียบนเตียงนอน" แต่เปล่าหรอกมิคานคิดมากไปเอง เธอมิได้มีเจตนาคิดอะไรลึกถึงขนาดนั้น
     และแล้วก็จริง  ที่เธอไม่คิดทำอะไร?  จริงๆแล้วลอร์ดมิคานกลั้วกลัวแทบตาย คือกลัวว่าเหตุประหลาดทางเพศจะเกิดขึ้น มิใช่เหตุฆาตกรรมลับๆอะไรที่กลัว แต่ถ้าเกิดมีจริงมิคานจะวิ่งเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆแล้วปิดประตูเอาไว้ ใครจะไปรู้เพราะเกิดอาการผีผเช้าหล่อนขึ้นมาแบบวรรณกรรมในหนังเรื่องเอดโซซิส(exorcist)
    
       แต่เดชะบุญไม่เกิด"มโนธรรมนั้นมีจริง""มิคานคิดพึมพำอยู่ในใจ สรุปเป็นที่โชคดีไปที่ไม่มีอะไรเกิดนอกจากที่บอก และท้ายที่สุดได้ผลสรุปว่า
"ลอร์ดน้อยๆชื่อว่ามิคานคิดมากไปเอง"
ก็คิดว่าถ้าเกิดมันคงมห้พวกทาสได้พาไปทำเป็น
        การบ้านแบบอาหารทางความคิดเป็นซีรีส์(series)  หนังทำให้พวกเขาที่เกิดมาม่มีมี
เทวสิทธิ์(theological s n ook) อันเป็นสิทธิในเทวนิยมธรรมชาติที่เกิดมามีขึ้นทันที  เหมือนที่จะทำให้พวกเขาพวกทาสและกรรมกร ป๊ทำงารแลกกันกับเงินเพื่อยังชีพ ขณะที่เราเกิดมามีทันที ไม่ต้องไปทำงานอะไรเพื่อแลกมา
      "ใช่" ทางด้านจิตวิทยาที่พอประเมินได้ และพวกเขาจะได้ลืม  แผนการต่อต้านนายจ้างและนายทุน และตามมาด้วยอีปปิโสด(episode) ใหม่ชนิดหนึ่ง คือการเดินขบวนเรียกร้องค่าเเรงงาน และต้านเศรษฐกิจที่แปรปรวนมนฐานของภาวะเงินเฟ้อและฝืด ที่มันจัญไรต่อสังคมพวกเขาสุดๆ
         ที่นับว่ามีอันเป็นกระแสนิยมในตอนนี้ และลอร์ดมิคานเชื่อว่า "สิ่งนี้อาจจะลามปาม ไปสู่การล้มล้างระบบเทวสิทธิ์เช่นระบบกษัตริย์นิยม การนิยมเจ้าทั้งมวลของโลกได้"
       การคิดไปวิเคราะห์ไป แล้วลอร์ดมิคานก็เก็บไว้ในใจเงียบและปดปิดเสียไม่ไปตีแผ่เพื่อหลีกเลี่ยง
        ความอื้อฉาวแลละอาจจะนำมาสู่การหมิ่นประมาทชนิดหนึ่งได้ที่ ทนายมืออาชีพอาจจะพาไปขยายความขายพวกสื่อพาดหัวข่าวทำธุรกิจ
ชนิดนึงขึ้นมาได้อย่างไม่มีเจตนา
      "ลอร์ดมิคานคิดมากไป  แต่มันไม่เสียหายอะไร
        ในเมื่อคิดแล้วก็ลบทิ้งแต่มัน ทำให้มันเป็นอาหารทางความคิด(the  food  of thoughts )ที่เชื่อว่ามันคงมี"มโนธรรม"ซ่อนเร้น อยู่ในตัวมันเองอีกด้วย
" ลอร์ดมิคานคิด"
           จากภายใต้นอกสามศอกเหมือนเราๆ  ได้ร่างเขียนคิดขึ้น  จนทุกคนถูกใจที่ลอร์ดมิคทนสมญานามให้ใหม่ว่าเป็นลัทธิเทวนิยมใหม่(n e -theology plot)ขึ้นมาภายใต้หัวข้อเทวสิทธิ์อันเป็นเทวสิทธิ์ใหม่ ที่ชื่อว่าสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญ ดั่งที่ทุกฉบับอันเป็นบทของมนุษยชาติที่รู้จักเสรีภาพและสิทธิในการป้องกันตนเอวเอาไว้  ที่ได้มีเจตจำนงร่วมในการตราขึ้น  จนเป็นแฟชั่น(fashions show) ในยุคนี้แล้ว
        "นี่"   เป็นการก้าวย่างสู่ยุคขุนนางใหม่ ยุคกษัตริย์ใหม่ในหมู่ชนอย่างใหม่ อย่างไปได้อีกช้อต(shot) นึงเป็นแน่ อย่างเป็นที่ถูกอกถูกใจกันแม้ท้องของทุกคนชีวิต  จะยังคงโอดหิวข้าวทุกมื้อต่อไปเหมือนเดิมก็ตามทีเถิด
    ลอร์ด มิคานโดยส่วนตัวนั้น  อ่อนโลกและไม่เป็นคนซาดิสต์(sadistic-bugler) ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ  นับจากวัยที่มิคาน มีเค้านมที่ตั้งพานขึ้นแล้วมา  จวบจนและแล้ว  แม้ตนเองจะถูกเพาะเลี้ยงมาจากระบบเด็กในพานทองก็ตาม
      และแม้การเป็นเด็กในพานทองก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องเป็นซาดิสซ์(sadist)เสมอไปเมื่อโตขึ้น  และต่อมา:-
         แต่แล้วเธอก็พูดพึมพำไปว่า:-
"ถ้าเธอยอมรัยฉันเป็ยเพพื่อนของฉัน ๆ
จะยกและตั้งให้ให้เธอเป็นลอร์ดชนิดไม่ทรงกรมผู้ที่ไม่อาภัพอีกต่อไป
      
     "เธอว่างัยจะเอามั้ย" หล่อนถามด้วยเสียงผู้ดีโบราณนิดๆ
"เคาเตสสโลเนียถามมิคาน"
       และฉันจะตตั้งให้เธอเป็นเจ้าชายในดวงใจฉัน โดยที่เราไม่ต้องมีอะไรต่อกันในทางชู้สาว แต่ขออย่างเดียวเราเป็นเพื่อนรักกันเท่านั้นพอ"
ว่างัยถ้าคุณไม่ถือ "หล่อนกล่าวในที่สุด"
          "ลอร์ดมิคานคิดอยู่ในใจแล้วว่า  ตนเองก็มีเชื้อลอร์ดอยู่ แล้ว  แต่งดใข้ด้วยเหตุผลอันอุกฤษฎ์บางอย่าง  แล้วจู่ๆเธอหญิงผู้สูงศักดินาและมีอำนาจ  มาเสนอตั้งและยกใป้ตนเอง ขึ้นให้โอกาสเป็นลอรร์ดนิรนามจขึ้นมาอีก  แต่มิคานคิดแล้วก็เลิกคิด  แต่ฟังเธอพูดดีกว่า  เพราะเธอ้ป็นผู้หญิงและอ่อนโยน" 
         มีอะไรก็ว่าๆไปสนุกดี  ลองดูซิว่า
:-ว่าจะเป็นอย่างไวต่อไป  ลอร์ดมิคาน
พยายามจะอธิบายตนเองด้วยตนเอง และรับฟัง
ฟังเธอพูดอย่างเดียว  เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
        มันเป็นเวลาที่ไม่มีใครจะอยากทำเสียงให้เกิดขึ้นในช่วงดึกๆ เช่นนี้ นอกจาก  เกิดการกบฎ การปฏิวัติ และเกิดสงคราม หรือโจรสลัดมาปล้น เพราะส่วนหลังนี้ไม่มีใครห้ามได้ "ก็เท่านั้น""
         เธอพูดจบแล้วขู่แล้วกระโจมเข้าหอมแก้มดังจุ๊บๆ ที่หน้าผากมิคานหนึ่งทีทันที  ด้วยสายตาเกรี้ยวกราดดังแม่มด
         และจูบย้ำเขาให้1ทีและอีกทีด้วยรอยลิปปลายปากของหล่อนอย่างแผ่วเบา  ประกบแน่นเข้าไปอีกครั้ง มีเสียงดัง"ฝอดๆ"
       ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างแผ่วเบา ในท่ามกลางรัติกาลเช่นนี้  บรนจงหอมลงไปที่แก้มข้างขวาของมิคานอีกด้าน   เหมือนการหอมแก้มแมวจูบจมูกแมวตัวโปรดยังงั้น มิคานหน้าแดงก่ำ
เพราะตนเอวไม่เคยโดนใครทำแบบนี้มาก่อนนอกจากแม่นมของมิคานเอง  พร้อมความตกกระใจไปหมดเลย
          และมิคานเอามือตัวเองมาลูบแก้มรอยจากจูบของหล่อนและอึ้งคิดไปพลาง
       
           และลอร์ดมิคานพลางคิดอบู่ในใจว่า
"ลอร์ดลิเทลมิได้พาเรามางานราตรีสโมสรคืนนี้เพื่อสิ่งนี้แน่นอน!"  แต่นี่เป็นเหตุบังเอิญแน่ๆ และจริงแท้
           และบัดเดี๋ยวนั้นต่อมา
        แล้วเธอก็รีบผละออกจากตัวมิคานเดินลงบันไดไปจากหน้าห้องนอนที่รับแขกแห่งปราสาทที่คืนนี้คือห้องรับรองของมิคานนั่นเอง
              ตอนนั้นเชื่อว่า "ลอร์ดลิเทล"ยังไม่ตื่น และไม่ได้ยินแอบดูงี่ยหูฟังแม้ห้องของลิเทลจะอยู่ไม่ติดกันพลางคิดอย่างไม่ทัรตั้งสติว่า  "อาจจะมีฆาตกรรมพิสดารอะไรในคืนนี้"
          และมันอาจจะเกิดขึ้นในคืนนี้กับมิคานหรือไม่เท่านั่น เพราะตนเองเพิ่งจะมาเจอมนุษย์กิาน้ำค้างเป็นรายแรกในขีวิต ที่เทือกเขาโอเฟ ติดถนนทางไปสวรรค์ที่เป็นจุดกำเนิดแรกที่บังเอิญเกิดขึ้น โดยที่ลอร์ดลิเทลไม่ได้คาดคิดมาก่อน
         ถ้าการแอบดูคนอื่น นั้นเพราะปกติการแอบดูมันมิใช่วิสัยของลอร์ดที่จะทำ
         แต่ว่าอาจจะเกรงกลัวว่า"ทำอะไรกันที่ไหนอย่างไร""เป็นเชิงมีเหตุฆาตกรรมพิสดารอะไร ถ้ามีการกระทำจริง  ตนเองจะได้หาทางออกที่ดีต่อไป
      ลอร์ดลิเทลก็ตั้งใจจะดูอะไร  ก็จะเปิดเผยตนเองแบบไม่ต้อง"แอบ"นี้คือวิสัยของคนมีศักดินาเป็นท่านลอร์ด
        ส่วนลอร์ดลิเทลคาดว่าวันพรุ่งคงจะต้องนอนตื่นสายเพราะอดนอนจนหนังตาปิด  ให้ตื่นแต่วันตามปกติวิสัย
        และเพราะลอร์ดลิเทลไม่ชอบและ"ไม่ชอบทำอะไรที่ฝืนตนเอง"และจวบกับที่เหนื่อยมากกับค่ำคืนของราตรีสโมสรที่ผ่านไป
       การชมธรรมชาติในยามเช้าตลอดถึงภูเขาเขียวที่ริมปราสาทคูเซอร์
        ธรรมชาติของผีเสื้อและนกป่าจำนวนมากและหงส์ฟ้าคู่ตัวชอนเล่นน้ำกอดกันกลางสระหย่อมในปราสาท คูเซอร์ ลอร์ดลิเทลก็ไม่สนใจ
สิ่วเหล่านี้"นกยามเช้าที่มิคานสุดชอบ"แต่ลอร์ลิเทลกลับชอบบรรยากาศ การอาสาช่วยพวกทาสและสมทบช่วยกันทำความสะอาดปราสาทคูเซอร์ หลังเสร็จงานราตรีสโมสรวิทวัสเสร็จ เสียมากกว่า
        และไม่ชอบจะไปขอเอาแรงจากลอร์ดมิคานมาช่วยอีกด้วย เพราะอยากให้เกิดขี้นเองแบบสมัครใจ นั่นคือธาตุแท้ของลอร์ดลิเทล จากจุเด่นนี้ของลิเทล  จึงเกิดปมเชิงบวกของเรื่องหนึ่งนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยต่อๆมา  จนยาวต่อมาเป็นประวัติศาสตร์ของลิเทลที่ได้จารึกไว้ว่า  "หลังจากที่ลอร์ดลิเทลตายลง  จึงเกิดลัทธิลิเทล(litellism)ขึ้นมาให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ท่าน พร้อมอนุสาวรีย์ไว้ที่หน้าเมืองและหน้ามหาวิทยาลัย  และหน้าปราสาทคูเซอร์" ในยุคสมัยต่อมา
        ลัทธิลิเทลคือ การมีชีวิตอันบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดใดเมื่อทำกับใครใครมา และการกระทำนั้นต้องไม่ขัดเจคนารมณ์ หรือฝืนใจใครอื่
นมาช่วยทำทั้งสิ้น  เป็นหลักการทำงานและเป็นธรรมาภิบาลของ"ลัทธิลิเทล"นี้สืบต่อๆมา
        และในการที่ลอร์ดลิเทลจะไปถ้ำมองหรือสงสัยอะไรและจะไปแอบบดูใครมี"ซัมซิ่งรอง" (something wrong) กันนั่น"มันผิด"
          สำหรับลอร์ดลิเทล "เว้นการร้องไห้ การขอความช่วยเหลือเกิดขึ้น การเอะอะโวบวายเกินเหตุมีการบาดเจ็บ และการตายเกิดขึ้นซึ่งหน้าลอร์ดลิเทลจึงจะหันมามอง และที่สำคัญคือมีอาวุธปืนยาวมิใข่เพื่อแก้เผ็ดหรือการฆ่า แบบจะฆ่าเสือโคร่งดุกระโจนมาจะกินคน"
       แต่ลอร์ดลิเทลมีปืนลูกซองคู่ชีวิตก็เพื่อไว้ป้องกันตนเองเท่านั้น  นั่นคือธรรมชาติที่ลอร์ดลิเทล"เป็น"และ"มี"
        และสืบต่อมาก็เชื่อกันว่าคุกทุกวันนี้ที่"เมืองโนวา" ก็มีไว้ทีเรียกว่า เป็นอย่างเปลือภาษีของรัฐและประชาชน ก็เพี่อมีไว้เพื่อที่จะจองจำคนที่ไม่มี
นิสัยเหมืแน"ลอร์ดลิเทล"เท่านั่นเอง
พวกชาวเมืองโนวาจึงคิดที่มีคุกตะรางนั้นไว้
         ลอน์ดลิเทลไม่ชอบนอนตื่นสาย และ ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ก็จะไม่สนใจที่จะได้ยินเสียงนกพูดกัน เหมือนกับตอนนอนแล้วได้ตื่นมาแต่วันแต่ละวันแต่เชิญ"นกร้องตามใจชอบ" 
        ที่ลอร์ดลิเทลไม่ชอบฟังเสียงนกนอกจากงานจิตอาสาเพื่อพลเรือน(civic) ผาสุกใจ เท่านั้นเป็นบรรทัดฐานชีวิต เพราะมีสมาธิ"จิตอาสา"เป็นคุณสมบัติ  ที่คุกกรุ่นอยู่ในใจของลิเทลตลอดเวลาอย่างบ้าคลั่งต่างหากเท่านั้น  และลอร์ดลิเทลก็มุ่งคิดแต่จะเก็งกำไรจากความดีสากลชนิดซุมมุม-โบนุม(Summum bonum)ที่มีและมีมากกว่า นั่นคือความดีสูงสุดนี้ต่างหาก อย่างจริงแท้
แม้ใครจะหมั่นไส้ก็ไม่กลัวแต่ไม่มี'สีเทา""
       ในทุกฉากบทไม่ว่า จะเป็นกับหญิงสาวหญิงแก่แม่หม้ายคนหนุ่มอกหักหรือคนพิการใด ๆ เอย่างเป็นบริบท  และจาก"คุณ"อันนี้หลังท่านตายไปแล้วนักปฏิมากรๆด้ปั้นร๊ปท่านมีลอร์ดมิคานยืนเกาะขาท่าน(ตัวลอร์ดลิเทลสูงใหญ่อย่างไกิ้ง(Viking)และอายุมาก 
         แต่ตัวลอร์ดมิคานนักปฏิมากรที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทางปฏิมากรรมศาสตร์  เขาได้ดำริปั้นเป็นตัวเตี้ยให้สูงเพียงเอวท่านลิเทล) ตั้งเป็น อนุสาวรีย์อนุญาตไว้หลายต่อแห่งเป็นอนุสรณ์  สำหรับลอร์ดมิคานเพียงช่วยไปเป็นเพื่อนลอร์ดลิเทลผู้ชรา ในงานราตรีวิทวัสคืนนั้นที่เทือกเขาโอเฟ และได้พากันไปที่ปราสาทครูเซอร์ที่ซึ่งจัดงานตามประวัติศาสตร์
         ก็ได้รับเกียรตินี้จากปฏิมากร(ชั้นเยี่ยมสอบระดับ"Bona-fide=ชั้นสูงสุดของรางวัลได้")
ซึ่งปฏิมากรหนุ่มนั้นจาก เหตุเพราะว่าลอร์ดลิเทลรักลอร์ดมิคานน้อยนี้มาก  คือรักดุจบุตรจากอุทรเลยทีเดียวและลิเทลเองไม่มีทายาท
        หลังจากที่ลอร์ลิเทลและลอร์ดมิคานคายไปแล้วเป็นเวลาเนิ่นนาน
    " เสียง"  ที่มันมากลบเกลื่อนความชอบ จากเสียงนกร้องตอนเช้า ให้หมดไป จากการหยุดฟังเสียนกและการสงบสติอารมณ์กับการสัมผัสกับเสียงและน้ำของฝนร่วงพรำโปรยในตอนเข้าตรู่
เหตุกาณ์นั้นๆไปหมดสิ้น"ก็เท่านั้นเองเป็นเหตุผล"
         
            และตัวนกกรงหัวจุกเขา ที่มี ชื่อปรากฏทางอนุกรมแมกโซโนมี"taxonomy" ว่า(Pycnonotus jocosus=นกปรอด=นกกรงหัวจุก)ที่นกชนิดนี้
          ที่เป็นนกชอบปลุกคนตื่นในตอนเช้าบนต้นไม้ ด้วยเสียงนิ้มนิ่ม! นั่นคือช่วงเวลาที่ลอร์ดมิคานชอบที่สุด และก็ไม่ว่าอะไรหรือถือโทษอะไรกับ"นกปลุกตื่น=นกกรงหัวจุกเขา"ชนิดนี้มาทำกวนใจอะไรก็ไม่
        เพราะจะได้เสพธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่จะทำให้ร่างกาย  มีกำลังและอ่บอุ่นและอายุยืนไม่เจ็บป่วย
          และที่ดีมากคือ  ธรรมชาติเหล่านี้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปแลกซื้อมา สิ่งแบบนี้เมื่อได้มันแล้วได้เลยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เพราะทรัพย์เหล่านี้มันเป็นทรัพย์สากลที่ไม่ทมีใครหวงและสงวนลิขสิทธิ์มันได้
        ลอร์ดมิคานเริ่มมาคิดทบทวนใหม่ เพราะจากเหตุการณ์เมื่อตะกี้  ที่ทำให้ตนเองมีสติ-สตังค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมดเกลี้ยง"สาบานได้""
จึงคิดว่า
        เมื่อสักครู่ท่านเคาน์เตสพูดอะไรกับเราไปบ้าง เพราะประสาทตื่นตัวไม่ไว  เนื่องจากตนมีนิสัยอ่อนเลข  แต่ประสาทตนเองตอนนั้น มีสมาธิกัลการงัวเวียกับความหลับเสียมากกว่า
ที่หลับๆตื่นๆที่ยังไม่ค่อยจะเต็มอิ่มเป็นสำคัญหรอก! 
"มิใช่อะไร"
          อ๋อ!  คิดได้แล้วก่อนเธอจะผละไปอย่างฉับไว
     มิคานจึงได้ถามที่อยู่เธอว่า "เธออยู่ที่ไหนแล้วถ้าว่างในวันของช่วงใดผมมิคานจะไปหา หรือแวะชวนไปหา"กินน้ำค้างกันที่เทือกเขาโอเฟอัน
แสนสนุกกัน
มิคานกำลังทบทวนความคิด
อีกสักครู่ต่อมา
    
        จึงคิดได้ว่า
"แต่เปล่าามิคานไม่ได้ถามหรือเสนออะไรเธออย่างนั้น""
        "แม้ชื่อเล่นของเธอ มิคานก็ไม่ได้ถาม""
เพราะโลกของลอร์ดมันไม่ได้อยูกับเฟส(facebook) หรือไลน์(line)อะไรกัน ดังที่ชาวโลกนิยมเป็นกัน ฉะนั้นจะรู้อะไรอย่างไร ก็ครั้งเดียวรู้เรื่อง "ชั่วเพียงแป๊ปเดียวที่พบกัน"และกัแล้วก็หมดกันไป ทำนอง จากกันไปแล้วไปเลย
   
           จะพบกันอีกที่ไหน คงไม่มีอีกอาจจะเป็นชาติต่อไปก็ได้สำหรับพวกเรา
 เพราะธรรมดาลอร์ด  จะไม่ยินดียินร้ายกับโลกภายนอก  นอกจากที่อยู่ที่กินนื่นอนที่เรียน
ที่อ่านหนังสือ หรือที่เป็นอันเป็นส่วนเฉพาะตัว
ที่สืบสายโลหิตกันมาแต่บรรพบุรุษโป้น!
         แต่ชื่อเล่นที่เห็นตรงคอเสื้อ คล้ายเสื้อติดเหรียญของ"เกสตาโป"(gestapo= Geheime Staatspolizei=ตำรวจลับตั้งเมื่อค.ศ.1933=Prinz-Albrecht-Straße 8, Berlin)รัฐชั้นผู้นำ ในสมัยสงครามโลกยุคฮิตเลอร์(Hitler) เสื้อดำนี้จะคลุมทับด้วยสีดำขนสัตว์กันหนาว  ขนหมีคงจะเป็นขนหมีป่า 
        มันจะกำหนดปักเป็นชื่อที่ชัดเจนที่ปักที่น่าอกเป็นอักษรโรมันสำหรับชาย  และตัวอักษรเกอธิคสำหรับหญิง  สำหรับสีตัวอักษรสีขาว ทั้งของชายและหญิง มีตราสวัสติกะคล้าบของนาซีแต่รูปสวัติกะเวียนไปทางซ้าย  ปรากฏทั้งของชายและหญิง  ทั้งหมดนี้ที่ถูกออกแบบโดย"ลอน์ดกีชชาร์(lord gRIsha) "ท่านเป็นลอร์ดในยุคกลาง
        
             ที่งานราตรีวิทววัส  ทุกคนที่มางานนี้  ต้องมีชื่อจริงติดอกอีกด้วย. ทางปราสาทต้องทำติดให้ทุกคนเมื่อย่างเข้าประตูปราสาทคูเซอร์ในคืนจัดงานประจำปี อีกอย่างติดที่น่าทุกคนแต่มิคานจำไม่ได้  ที่ทำแบบนี้เพื่อกันมีเหตุร้ายจะได้รู้ว่าใคร เป็นใคร เพื่อนำศพส่งกลังวังเดิมได้ถูกและไม่สับสนและสร้างปัญหากับพวกทาสรับใช้
    
            "แต่ก็ไม่เคยทีเหตุร้ายทที่ปราสาท"คู
เซอร์แม้ในยามสงคราม" แต่ทุกครั้งที่มีงานต้องมีการเฝ้าระวังป้องกันเสมอ เพราะตามประวัติที่นี่เคยมีผีดุและเป็นรังแม่มดดุจรังต่อหลุมมาก่อน
ในสมับโบราณตอนนี้ที่มีอันศิริวิไลซ์มากสุด
        "นั่นก็คือ"ตัวผีเสื้อยักษ์มีตานางพญาผีไฟที่ปีกและผีเสื้อแคระตัวปีกสีหลืองธรรมดาและกระแตหางดำเท่านั้น
         กระแตหางดำมันเป็นสัตว์น่ารัก ตัวเล็กกว่ากระรอก และกระจ้อน  มิคานพบว่ามันเหมือนกับกระแตในภาพวสดของจีนโบราณ
    
           คนที่ไม่มีชชื่อติดที่หน้าอกแสดงว่าเป็นคนเถื่อนหรือคนแอบเข้ามา  ถ้าพบห้ามิให้ใครคบและพูดด้วย หากผิดสังเกตมาให้จับตัวออกไปนอกปราสาททันที หรือให้ตำรวจลับที่ติด
อาวุธจัดการออกไปทันทีและห้ามมิให้มีเสียง
รบกวนงานนี้เด็ดขาด ส่วนงานให้เป็นปกติแม้จะมีเหตุร้ายอะไรกิดขึ้นใรคืนวิทวัสนี้ มีตำรวจลับพร้อมอาวุธเก็บเสียงคอยรักษาปราสาทอย่าง
แน่นหนา
         นอกงานบริเวณปราสาท พร้อมหมาเอลเซเซียยแสนรรู้1ตัวต่อตำรวจลับ1นาย และห้ามตำรวตลับที่ประจำการเข้ามาร่วมงานวิทวัสนี้เด็ดขาดทุกกรณี มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ 
           และห้ามเงยหน้าหรือสบตาคุยกับผู้มาร่วมงานนี้เด็ดขาด มีเหตุต้องก้มหน้าคุยกันและไม่ต้องแสดงความเคารพ
อะไรโดยประการใดททั้งงสิ้น"เพียงยืนก้มหน้าพอ""เป็นกฎ  มันแปลกแต่มันเป็นกติกาที่ใช้มา2,000 ปีแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ และทางปราสาทจ่ายเงินพิเศษพร้อมเหล้าวิสกี้และวอดก้าอย่างแรงรสร้อยปีหมักบ่มให้คนละขวดหลังเลิกงานให้พาไปกินที่บ้านทุกคนสำหรับตำรวจลับเหล่านี้ พร้อมซองรางวัล
      
           และก็ลอร์ดมิคาน  หนึ่งคนในจำนวนนั้นและลอร์ดลิเทลอเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นไม่มีชื่อติดที่หน้าอกในคืนนั้นในงานนี้
เพราะทุกคนในงานรู้จักลอร์ดลิเทลดี
      อาหารเช่นเนิ้อแฮมเนื้อวัวย่างเนิ้อแกะเนื้อแพะและไวน์มีมากมายมีไว้โดยมีบริการไว้อย่างดี
พร้อมผลองุ่นสีทองและสีม่วงดำเสริฟ์พิเศษอีกด้วย ครับรับใช้บริการในงานเป็นกระเทยและ"ขันที"(คนไม่มีอวัยวะเพศ)เท่านั้นทั้งหมดที่ทำหน้าที่  นางบริการงานนี้เป็นแบบหญิงหูกระต่าย  ชนิดแต่งตัวแบบในนิตยสารเพลย์บอย(playboy) 
    
            ทุกคนต้องทำตัวแบบช่วยตนเองสุดๆ แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกลับไปหฃังเลิกงาน
ไม่มีการจูบลาอย่างดูดดื่มต่อกัน และไม่มี"เมียบริการ"หรือมีเมียครึ่งทาง ทีนี่เป็นสวรรค์ของคนมีพรหมจรรย์จริงๆเท่านั้น  อาจจะเข้มงวดมากเกินสามัญและแปลกมาก  เหตุผลเพราะงานวิทวัวนี้ต้องการไว้อาลัยทหารในอดีตและอดีตของข้าทาสที่ตายในสมรภูมิสงครามในอดีตทุกสมัย 
         ซึ่งมากมายนับไม่ถ้วนนั้นเอง "ขอให้วิญญาณพวกเขาจงสู่สุคติ" ด้วยการทีราตรีวิทวัสนี้ที่มีระเบียบฝืนโลกมากดังที่ปรากฏนี้เป็นสัญลักษณ์ในการไว้ทุกข์และไว้อาลัย  และสดุดี  เพื่อนพลีชีพเพื่อแผ่นดินทั้งหลายนั่นเอง
          และหลังงานนี้เสร็จลอร์ลิเทลก็จะพาลอร์ดมิคานมาที่บ้านที่ปราสาทโนวาต่อไป แม้มิคานอย่กกลับไปทีททุ่งโอเฟเพื่อหาดื่มน้ำค้างต่อจากจถดที่ลแร์ดลิเทลพบกันที่เมือกเขาโอเฟทางหลวงสายใหญ่ทีทชิ่อทางสวรรค์
แต่ลอร์ดลิเทลไม่ค่อาจะเห็นด้วย
    
           ลอร์ดมิคานมิสุดทานความประสงค์ของลอร์ลิเทลได้  มิคานจึงยอมไปกับลอร์ดลิเทล
โดยดีเพื่อไปปราสาทโนวาของลอน์ลิเทล
และท่านลอร์ดลิเทลสัญญาว่าจะให้นกเขาสวยหายาก1คู่เป็นรางวัลแด่ลอร์ดมิคานอีกด้วย และถ้าลิเทลให้นกสวยจริง ร้องเสียงเพราะะจริง มิคานก็จะนำนกเขาคู่นี้ไปให้ โดยจะมอบให้ท่านเคาน์เตสสโลดอเนีย ต่อไป ถ้าลิเทลพบกันอีกในครั้งต่อไป
      ลอร์ดมิคาน
หลังจากถูกยกให้เป็นลอร์ดนิรนาม(the lord of pretender) ในเคาน์เตสสะโลเนีย(countess of S L o d o n i a )แล้วในค่ำคืนงานราตรีสโมสรวิทวัสนั้น(คำว่าวิทวัสเป็นนิคแนมของงานราตรีสโมสรครั้งนี้ และยกให้เป็นเกียรติแด่ลอร์ดลิเทลที่พาลอดร์ดแปลกหน้าและเป็นลอร์ดนิรนามมาด้วยเท่านั้น 
     
           เสนอชื่อคำว่าวิทวัสต่อสร้อยคำว่าราตรีสโมรสรนี้โดยลอร์ครูเชผู้อาวุโสท่าน"
โดยงานครั้งให้ทุกคนถือว่าคือวันนี้นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์แรก ที่สมาชิกท่าหนึ่งของงานได้นำคนแปลกหน้าเข้ามาในงาน ของปราสาทคูเซอร์นับมา2,000ปีที่มีการกำหนดจัดงานราตรีนี้เป็นที่ทำเป็นประจำปี)
        
           ความตั้งใจจริงของท่านคือ
เพื่อมิคานจะได้เป็นเอกลักษณ์แห่งความเมตตาจากขุนนางผู้อ่อนโยนแต่เถนตรง  อย่างท่าน
ที่พวกทาสน้อยคนจะเข้าใจได้ดีในเรื่องนี้
"มันเป็นวิชาสปิริตของลอร์ด คำว่าสปอริตในที่นี้มิไดสื่อว่าเป็นเห้ลารสแรง  แต่สื่อว่าสปิริตคือคำที่สื่อเป็นพลังมโนธรรมในใจที่คนอย่างลอร์ดมี" 
         ไปกว่าท่านเคาน์เตสส์แห่งสะโลดอเนีย และความเข้าใจของลอร์ดมิคานเอง  ที่เข้าใจในตัวท่าน มิใช่เพราะว่าท่านสวยและเลอสรวง ขาว และสะโอดสะองค์และเป็นเลดีชิป(ladyship  )อย่างสง่างาม  และผิวเนื้อนั้นนุ่มปานสำลี
            ลอร์ดมิคานจึงชมเชยท่าน  มิใช่ใคร่ในตัวท่านหญิงแต่อย่างใด เมื่อพบพานสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจริง "ที่มิได้มโนเอาเอง"
     
 
         และทางฝั่งมิคานหรือก็ใช่ว่า ที่ถูกนิรนามให้เป็นลอร์ดเพราะสาเหตุที่ลอร์มิคานรูปหล่อ สมาร์มใหมู่ชนเมื่อออกสังคมน้อยใหญ่
   
          และกอร์ปกับเป็นคนเงียบและเป็นมนุษย์มีความจริงใจต่อความจริงปรากฏ  และเป็นคนมีธรรมชาติที่ขยันซื่อสัยย์ต่อหน้าที่  ไม่ละเว้นหรือละเลยสิ่งที่ตนเองต้องรับผิดชอบ อันมีสถานะชั่วและดี  และความขาวขาวดำๆ อื่นใดๆทั้งสิ้นที่ประชิดมาเสนอให้ตนเอง นอกจากข้าวบาร์เลย์ที่สุกแล้วต้องกินมันเมื่อหิว แต่มิคาาสามารถอดได้
       
         เมื่อการมีภารกิจสำคัญมาถึง เช่นในสงครามหรือวันมีนัดกับแเฟน(fan -f c =friend club)และเพื่อนรักสุดๆใด
ที่ลอร์ดมิคานได้มีโอกาส ก็จะรับผิดชอบอย่างสุดใจขาดดิ้นแต่ละมุนและไม่แสดงออกเป็นอาการของมนุษย์ปกติ
   
           การ  ที่จะแสวงหาปรัชญาธรรมอันล้ำลึก และลอร์ดมิคานนั้นรูปทรงสวย  และก็สวย มีทรงจมูกโด่ง  คิ้วงามเหมือนกระเทยที่แต่งตัวลักเพศใดๆ แต่ที่จริงลอร์ดมิคานเป็นเช่นนั้นเองโดยธรรมชาติคือเป็นผู้ช่ายเต็มตัวมีความเป็นแมนแฃะเลดี้เฟิร์ท(man&lady first styl i s t i c )  แม้ว่ามิคานดูแต่จะคล้ายๆกับผู้หญิงเท่านั้นที่น่าจะเรียกลอร์ดมิคานว่าเป็น "เอกลักษณ์ของเอกบุรุษ"
จริงๆ
    
            และที่สำคัญที่สุดคือลอร์ดมิคานไม่เป็นคนพิกลพิการอะไร เช่น ตาบอดหูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียแขนขา ฟันขาวสะอาดสมบูรณ์ทุกซี่เป็น
และที่สำคัญในบทบาทเพศวิถีวิสัยระหว่างเพศ
      
         ถ้าท่านลอร์ดมิคานสามารถมีโอกาสทำอะไรที่ต้องใช้อวัยวเพศเป็นสื่อพลกำลังชายทีทถาโถมไปข้างหน้าอย่าง อาทิ เช่น
        วัวกระทิงทำเมื่อถึงวาระจำเป็น  แม้มิคามมีสิ่งนี้ แต่ก็แอบปกปิดและซ่อนเร้นเอาไว้เสมอ ดุจดาบในฝักของอัศวินและปัญญา
         " ใช่"  ก็จะทำหน้าที่นี้ได้ดีบนเตียงนอนกับเพศหญิงได้ดีที่สุดทุกเมื่อ  เมื่อทุกอย่างลงตัว แม้ทาสหลายคนในกลุ่มผู้รับใช้แห่ง"สะโลดาเนีย"จะสงสัยและต่างก็ไม่เชื่อว่าทั้งสองไม่เคยมีอะไรกัน" เช่น"สีสงคา"ทาสผู้ใกล้ชิดประจำตัวในท่านเคาเตสคนหนึ่งละ!
          ที่ไม่อยากจงใจเชื่อในเรื่องนี้ เพราะเธอพบว่าลอร์ดมิคานกับท่านเคาเตสแห่งสะโลดอเนียชอบใช้ชีวิตลับอยู่กับลอร์ดมิคานเสมอ ด้วยกันสองต่อสอง เมิ่อได้มีโอกาสพบกันเป็นเวลา3ถึง4ชั่วโมงในห้องส่วนตัวของท่านหญิง และมิหนำซ้ำทั้งสองยังปิดประตูใส่ลงกลอนอีกด้วย ยามได้พบกัน
           "ที่นางทาสหญิงชื่อว่า"สีงสงคา=ทาสผู้รับใช้วัยเอ๊าะๆวัยกำดัด แต่มิใช้ให้ใช้เป็นเพศวัตถุ" เคยเห็นและตั้งข้อสังเกตไว้แต่เธอก็จงใจปกปิดมิให้ใครรู้ เพราะเป็นธรรมเนียมอันดีงามของทาสประจำวัง
            แม้ว่าสีสงคาจะมีปรัชญาว่า "มนุษย์ก็คือมนุษย์  มันเหมือนกันหมดในเรื่องความต้องการในรสแห่งกามคุณ เพราะสีสงคาเชื่อว่า กามคุณไม่มีเชื้อชาติ ศาสนาและชนชั้นและพรมแดน
อันเป็นปรัขญาแม่บทของ"สิงสังคา "ทาสผู้โง่เขลา
          แต่สำหรับลอร์ดมิคานและลอร์ดอื่นและขุนนางกลับคิดตรงกันข้ามในปรัชญาแม่วทขงสิงสงคา โดยเฉพาะสำหรับท่านหญิง"สโลดอเนีย""
        "ใช่"   มันเป็นมรรยาทที่ทาสแห่งสะโลดอเนีย ที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นนิสัยสมบัติแม้ไม่จำเป็นต้องฝึกพร่ำสอนและติเตียนและดุด่าอย่างเป็นกฎหมาย แต่มันก็เป็นทั้งวัฒนธรรมและทั้งประเพณี (c u st o m s )
ของทาสและควรจะเป็นเอกลักษณ์ประจำตีวของมนุษย์
         ทาสหญิงที่ชื่อว่า"สิงสังคาสะกี=s i n g s ankasky" จึงไม่รู้ความจริงและความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์พิเศษคู่นี้ไป แต่ทาสรายอื่ยสงสัยเหมือนกันแต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด คือเป็นยี่ภู่(ทาสเรียงหมอนปูทำที่นอนปนะจำตัวทำให้ขุนนาง)และเป็นต้นห้องให้ท่านหญิงนั่นเอง
        ถามว่าชายกับหญิงเข้าในห้องส่วนตัวมีความเป็นสองต่อสอง ใน ห้องที่ปิดมิดชิดใส่ลงกลอนทำอะไรกันต่อจากนั้น
       " เทพเจ้าแห่งความลับ"ขอเสียนิสัยตอบและตอบแทนข้อสงสัยว่า "ทั้งคู่ใช้เวลานวดเฟ้นให้แก่กันและกันด้วยร่างเปลือยเปล่า ชนิดมิใช่ผลัดกันนวดและผลัดกันนาบแต่ประการใด
และเรือนร่างของทั้งสองมันเต่งตึง ใหม่เอี่ยม
         ในทั้งคู่อยู่ในสภาวะ และในสถานะวัยเบญจเพศของมนุษย์เป็นเครื่องยืนยัน คือเปรียบสเหมือนคืนที่คู่สมรสแรกแห่งคืนส่งตัวเข้าเรือนหอเป็นแต่ เป็นแค่ทว่าสองคนนี้ไม่เคย
มีเพศสัมพันธ์กันเลยมนทุกๆกรณี
อย่างที่ปกติมนุษย์จะเป็นและ"ไม่มีเหลือ"
          และไม่มีใครจะอดเสียมิได้เมื่อหญิงกับชาย
มีโอกาสอยู่ด้วยกันลักษณะและสภาพนี้
อยู่ในสภาพนี้และในสถานการณ์เช่นนี้นี้
คือถ้าไม่ร่วมเพศกันก็มีฆาตกรรมเกิดขึ้นเป็นโศลกเท่านั้น
         ถามว่า"เชื่อหรือไม่เขื่อ" เมื่อถูกเทพเจ้าแห่งความสงสัยเฉลยแบบนี้
         คำตอบมีว่า"ถ้ามีค่าแห่งความสงสัยเกิดต่อไปอีกกะใครๆ!
         คำตอบมีอีกมิใช่ไม่มี!
คือไม่อยากคอยข้อสรุปอื่นใดอีก
นั่นคิอมีคำตอบว่า
"สุดแท้แต่จะคิดกัน"
         หรือมีผีให้ตำรวจมาพิสูจน์การตายถ้ามีสาเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงในวันพรุ่งเท่านั้นเป็รคำตอบหรือรอเวลาระยะหนุ่งฝ่ายหญิงจะท้องโตพุงป่องขึ้นมา แต่กรณีนี้มียาคุม แต่มีมโนคจิอย่างหนึ่งปรจำ"ปราสาทสะโลดอเนีย" คือว่าที่บ้านและวังของท่านขุนนางท่านนี้ผู้ใดก็ตามยกเว้นทาส"ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดหลังภารกิจหรือเสร็จกิจทาวเพศเด็ดขาดและมีข้อบังคับห้ามใข้ถุงยางสำหรับเพศขายอีกด้วยเป็นบรรทัดฐานที่
ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
       ลอร์ดมิคานเชื่อว่าเท่าที่ลอร์ดผู้เฒ่าลิเทลได้นำตนมางานในราตรีสโมสรวิทวัสในคืนนี้ เมื่อได้พบเห็นปราสาทคูเซอร์ด้วยตาตนเอง  เป็นครั้งแรกในชีวิต จึงประเมิณได้ว่า:
       ถ้าพระอาทิตย์เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ล้านปีแล้วจริง  ตามนักวิทย์ยืนยันแล้ว  ปราสาทคูเซอร์นี้น่าที่จะเปรียบเทียบเท่าเวลา  ที่พระอาทิตย์เกิดแม้ปราสาทเป็นสรรพสิ่งในโลกที่มิใช่พระอาทิตย์
      และมองว่าปราสาทคูเซอร์นี้ช่างเป็นเหมือนโลกสวรรค์ของมนุษย์  และเป็นนรกของคนที่ตายไปแล้วเนื่องจากว่า  คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถจะมาพบเห็นงานราตรีวิทวัสนี้ในร่างของมนุษย์ผู้มีสิทธิ์เสพสุขอีก  ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย์ที่เสพอากาศโโซน(ozone)ได้อยู่
และปราสาทคูเซอร์นี้คือ  หอกำหนดโทษของทาสผู้ทรยศตนเอง และปราสาทนี้นี้คือมโนธรรมของมวลมนุษย์
แล้ว
   ใครละเมิดมีโทษถึงประหารชีวิต หรือถูกทหารนำไปปล่อยลงทะเลให้ว่ายไปตามเกาะหรือเนรเทศออกจากแอ
ว่นแคว้นอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
ทุกอย่างก็บบลวไม่มีมครกบ้าสวายอีกต่อไปนั่นเอง
เลย
         เพราะสนิทสนมกันมาก
      คือมีน้ำหอมชั้นเยี่ยมและไวน์แดงชั้นดีคั่วไปกับด้วยเพื่อกิจกรรมคู่บนเตียงอันสุจสมภิรมย์หมาย
        และที่สำคัญ"ท่านเคาเตสสะโลดอเนีย" แม้ยังสาวอายุน้อยกว่า ลอร์ดมิคานอีกดวย ที่สำคัญท่านเคาเตสฯ ยังไม่เคยมีชีวิตสมรสและเป็นหญิงพรมจรรย์
       มีวัฒนธรรมการสมรสแบบ"วิกตอเรียน"(Victorian=ของอังกฤษ)(ไม่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้แต่งงาน) และพร้อมที่เสพสมบ่มิสมกับลอร์ดมิคานยาม"ว้าเหว่ อ้างว้าง และเดียวดายชีวิต"ของท่าน
       มิคานยอมรับว่าท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย  แม้ขอให้มิคานได้หอมแก้มหล่อนท่านเคาเตสนั้นท่านนี้  และลอร์มิคาน ก็ไม่ขวนขวายในเรื่องเพศสัมพันธ์กับท่าเลยแม้สักนิดเดียว
          เช่นกัน !เว้นแต่พระเจ้าทรงบันดาลนั่น  ไม่ทราบ!  แต่เริ่อง"บัดสีบัดเถลิง' นอกจากความรักความอบอุ่นใจ ความพึงพอใจ  ตามสูตรของศาสนาดังกล่าวนี้นั้นนั้น   ลอดร์มิคานและท่านเคาน์เตสสยังไม่เคยปรากฏเกิดขึ้นเลย
         แม้การคบหาจากที่ลอร์ดมิคานเกิดมีเป็นกับท่านเคาน์เตสนับจากงานราตรีวิทวัสที่ปราสาทครูเซอร์ ฮิลล์ได้เกิดขึ้น จนเป็นเพื่อนรักทางใจมานับจน10 ปีผ่านไปแล้วหลังจากนั้น
       อันนี้เป็นความบริสุทธิ์อันศักเสิทธิ์
ที่ลอร์ดมิคาน มีจิตสำนึกสำรองไว้ด้วยกัน
ตลอดมา
           สรุปจึงความเป็นมิตรภาพในคู่นี้ จึงจัดว่า"สมน้ำสมเนื้อ" ดีเหมาะเจาะและลงตัว
         ที่"ท่านหญิงเคาน์เตสแห่งสะโลดาเนีย"ตั้งให้มิคานเป็นลอร์ดนิรนาม ด้วยประการฉะนี้
          กล่าวคือนักสาธยายวิทยา จะขออธิบายใน"ปริ้นส์"  "prince " princely prince  ในราชวังที่สมมุติเทพที่เป็นเนติเกิดมีในสังคมกษัตริย์
อันเป็นบริบทนี้สักนิดนึง เพื่อกันความสับสนและการเข้าใจผิด  ในหมู่มวลมนุษยชาติที่อาจจะมีอุทาหรณ์ในทางนิตินัยสัมพันธ์ใดๆ
    กล่าวคือ
ใน ระหว่างสนทนาที่งานราตรีวิทวัสในคืนประวัติศาสตร์นั้น
      บังเอิญมีประโยคหนึ่งพลุ่งปรี้ด ออกมาระหว่างการสนทนากันด้วยปาก  แต่มือทุกคนถือแก้วไวน์แดง อย่างเป็น "ปัจเจกสรณะ"ของทุกคน(คือการยืนกอดแก้วไวน์แดงดื่มไปพลางคุยกันไปพลาง"
และเกิดสะดุดพูดกัรขึ้นมาว่า
       ลอน์ดมิคานเป็นใคร มาจากไหน และอย่างไร และเป็นขุนนางสายใดหรือไม่ เพราะลอร์ดมิคานมีความเป็น"ลอร์ดลี่"ความเป็นลอร์_ลี่(lordly)
ในตัวของมันเองเป็นพรสวรรค์อบู่แล้วแม้จะมาในร่างของสามัญขนในคืนราตรีวิทวัสนี้
       ตอนนั้น มีท่านหญิงท่านนึงสายต่อจ่อมาที่ลอร์ดมิคาน  และจึงพวยพลุ่งปากออกจากจากปากท่านเคาน์เตสหญิงท่านนึง เกิดดังมากมาด้วยเสียงอันอมตะ(เสียงเปล่งมีสกุลจำเพาะ=special dialogue) จากปากท่านเคาน์เตสหญิงนั้นเอง
       จากที่มิคานถือว่าตนเอง"มีสายเลือดขุนนางมาเช่นกัน " ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  กล่าวคือมันเกิดจากปาก"พ่อยก" ท่านหนึ่งของมิคาน ที่บอกเล่าให้มิคานรู้ ตอนที่ลอร์ดมิคานระหกระเหินชีวิตไปเข้าเรียนชั้นประถมวัย  ที่เป็นพับลิค-สกูล =โรงเรียนราษฎร=ที่ต้องจ่ายค่าเรียนเอง(public school)ในสมัยวัยเด็ก
    จึงในคืนนี้ลอร์ดมิคมนจึงรับ ยืนยันว่าและ ว่ากล่าวตนเองนั้น
     "มิคานก็เป็นขุนนางเหมือนกัน"
แต่ไม่ได้"คราวน์=crown " คือ (u n-crown)   ๆคำนี้สื่อถึง คือไม่ติดอันดับขึ้นทะเบียนเรียกขานเป็นสากลเหมือนดังที่ทุกคนในสังคมมี มีที่ขี้นทะเบียนและรับเงินภาคหลวง หนทอเคยมีแต่ถูกคณะปฏิวัติรัฐประหารยึดล้มล้างระบบกษัตริย์ไปหมดแล้ว
      จะเหลือก็แต่ที่พูดได้ในนกลุ่มจำเพาะที่รับรองกันเอง และแต่งตั้งเงินเดือนกันเอง หรือที่เก็บสะสมมามาเป็นเงินเดือนรับรองตนเอง
หรือมีเงินชดใช้จากกระทรวงคลัง  ด้วยกฎหมายพระราชบัญัติ หรือพระราชกกฤษฎีกาหรือข้อกำหนดอื่นใดๆ  กำหนดขึ้นมาให้มีผลประโยชน์ได้จากความเป็นเลือดสกุลเจ้านั้นด้วยบริบทของกรี๊ปเลือดและดี.เอ็น.เอ. ทางชีวโมเลกุลพิสูจน์ได้
        สรุปคือเป็นเจ้า แต่ในที่นี้ ลอน์ดมิคาน จะสื่อคือสื่อถึงเจ้าที่ล้มไปแล้ว และตนเองเหลือแต่ปูชนียวัตถุรำลึก ที่มีแต่นักพงศาวลีวิทยาอ้างอิงขึ้นมาได้  จึงจะรู้กันได้ในทางประวัติศาสตี์บริสุทธิ์(pure historical note)เท่านั้น
   ต่อมา
ท่านหญิงสโลดอร์เนีย  เลยตอบว่า
"โอเค"ฉันจะคราวน์(crown)ให้ท่านลอร์ดมิคานเอง จึงเป็น(crowned prince =ในที่นี้ คือสื่อถึงว่าฃอร์ดมิคานจะได้  ท่านหญิงสโลดอเนียร์ พาไปเพื่อจะขึ้นทะเบียนรับเงินเดือนภาคหลวง  เหมือนที่ตนเป็น เพื่อให้ลอร์ดมิคานได้สิทธิที่จะมากินไวน์แดงในงานราตรีวิทวัสในปีต่อๆไปได้
อย่างสมใจนึกต่อไปได้ อย่าสง่าผ่าเผยและสมเกียรติ
   อันนี้   ที่ท่านหญิงอ้างขึ้นใรคำว่า นักตีความวิทยาจ่ออธิบาย ว่า( crown prince) ในที่นี้คือ
เป็นได้ในคำพูดแต่มิได้หมายความว่า
      คือแต่มิได้เป็น"มกุฎราชกุมาร" ตามคำสื่อจำเพาะทางภูมิศาสตร์ของระบบกษัตริย์สากล
อะไรที่แผนสังคมนั้นกำหนดจัดไว้ก็หาไม่)

     คืนคืนงานราตรีวิทวัสคืนนั้น  ถ้าท่านหญิงไม่ทำเช่นนั้นงานราตรีสโมสรวิทวัสคืนวันนั้นนี้
ก็หาไม่ แต่มันคงจะกร่อยหมดรสชาติไป 
       
        
         เพราะที่เห็นนั่นเหมือนมีการสรัาง
คนไร้สัญชาติ ขากความเป็นลอร์ดมิคานที่ร่อนเร่พเนจรเป็นะฤตินัยก่อนทางตำรวจสันติบาลจะขบายผลและจะยืนยีน  เมื่ออถูกใครใดๆร้องขอให้ทำ ซึ่งในคืนนี้ลอร์ดมิคานแปลกกับทุกคน  ที่ เพิ่มเข้ามาหนึ่งตัวเลือกที่น่าสงสัยในคืนวิทวัสนี้นั่นเอง
     แม้จะเป็นความจริงของลอร์ดมิคานผู้พลัดพรากอและตกหล่น แต่คืนวิทวัสคืนนี้นี้ ทุกคนถือว่ามีลอึ์ใหม่อันเป็นแขกพิเศษของท่านลอร์เลิเทลๆผู้เป็นเพื่อนเก่าแก่ของปราสาทครูเซอร์(ฮิล
ล์)
นั่นเอง   และในการนี้ก็เพื่อเพื่อที่จะทำให้ " ทุกสรรพสิ่งอย่างในตัวบุคคลเคลียร์ปมสงสัย
มันจึงเป็นแนวคิดก่ารต้องมีค่า  การเทียมทันเท่าหรือความเท่ากันเสียก่อนๆที่งนนี้จึงสนุกได้อย่างสดุดี  เหมือนการจะได้ตอบโจทย์เลขซับซ้อน มันต้องมีการหา(ห.ร.ม และค.ร.น.=คูณร่วมน้อย)
กันเสียก่อน
    
       นั่นตือสิ่งก่อนอื่น สิ่งแรกต้อวมาก่อน คิดก่อนจึงจะตอบโจทย์บวกลบเลขเศษส่วนซับซ้อนหลายจำนวนได้ลงตัวกระนั้น
       ตามประวัติท่านเคาสน์เตสผู้นี้ นั้น สมัยเด็กเคยเรียนในมหาวิทยาลัย(ที่รับเฉะาะสำหรับสตรีเพศ=!single sex university )มา
         จึงมีภูมิรู้ทั้งทางนิตินัยและ รู้สิทธิเสรีภาพ  รู้มโนธรรมและคุณธรรม รู้รับปิดชอบชั่วดี ควรมิควรรู้จักตีความในหลักเกฯฑ์ในหน่งยเหนือที่สั่งมาได้ลงตัว ไม่เกิดการย้อนแย้งในภายหลัง
  
        และรู้หลักนิติธรรมมาอย่างดี  ตามวิสัยของปัญญาชนผู้มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทั่วไปท่านหญิวท่านนุี้จึงกล้าพูดกล้าทำ  กล้าคิดกล้าแสดงออก   ที่จะมีผลออกมาเป็นที่สากลอันเป็นที่ทุกคนยอมรับได้ "ว่างั้น"
       และสรุปแล้ว เมื่อโทปิก  (topic) เปิดใจเคลียร์(clear) บุคคลสถานะจบลงแล้ว
      การจะคุยสังสรรค์คือจะคุยอะไรกันต่อไปก็
สนุกต่อไปได้
    เพราะว่าได้พบว่า เราเป็นกลุ่มสีเดียวกัน สีเดียวกัน  (ถ้าไม่เป็นกลุ่มสีเดียวกันแล้วมันจะขัดลำกล้องแห่งการสนทนา เหมือนราววะกะว่า
"ฝูงสัตว์ฝูงหนึ่งอะไรก็ได้  เช่น งานๆหนึ่งมีแต่ห่าน แต่มีบังเอิฐมีหงส์(หงส์มิใช่ห่านแต่ตัวคล้ายห่านๆชอบเล่นน้ำเหมือนกัน  ส่วนหงส์นั้นมีพฤติกรรมพิเศษกว่าคือ ชอบกอดคลอเคลียกัน  เอาใจกันพบส่วนมากในสระน้ำ มองเห็นเป็นคู่ๆจูบกันเสม
อ)
        เป็นมาคู่หนึ่งแทรกมารวมกัน 
มันก็จะต่างกัน ของการจัดกลุ่มสีไป
        หรือเหมือนดังตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
คือเหมือน ว่า:-ถ้าหากว่ามีแมวฝูงหนึ่งรววมตัวกันสงบๆ แต่มีหมาหนึ่งตัวที่แปลกแทรกเข้ามาอยู่ร่วมวงกัน "อะไรจะเกิดขึ้น"ใครลองวาดภาพดู" 
       ถ้ามียาฉีดให้มันรักกลมกลืนกัน  เรื่องนี้งดพูดเพราะมันเป็นธรรมชาติทที้ต้องเปลืองเวลาควบคุม  ส่วนที่เราต้องการคือแบบธรรมชาติของพระอาทิตย์และพระจันทร์มี  ที่ไม่ต้องควบคุมและต้องซื้อหา
เมื่อเราเลือกไม่ได้
      กลับมามองเรื่องกลุ่มสีสาเหตุแห่งความสามัคคีธรรมต่อ  คือมาที่ลอร์ดมิคานในคืนงานวิทวัสราตรี  แล้วมันจะดูอย่างงัย
        "ลองคิดดู "ในระบบสังคมปริทรรศน์) 
ฉะนั้นการจัดกลุ่มสีของสังคมจึงสำคัญ  การนี้มิใช่การแบ่งชนชั้น วรรณะ เพศ วัย เชื้อชาติ
ภาษา และพรหมแดน  อะไรที่ท่านหญิงเคาสน์เตสสะโลดอเนียหมายถึง
        ต่อไปถึงฉากที่
หลังเสร็จภารกิจที่ท่านหญิงได้หลุดปากและรับปากจะคราวน์-ปรินส์(crown -prince)ให้ลอร์ดมิคาน  ท่านหญิงสโลดอร์เนีย(countess of slodonia) ก็จึงสมมุติตนขึ้นมาทันที   และตนเองมีสิทธิที่จะทำได้  ตามกฎมณเฑียรบาลแห่งเทวสิทธินิยม ในร่างของฝูงชนในหมู่มวลแห่งโลกของมนุษย์
     
          ตอนนี้มาที่สาเหตุว่าทำไม? และทำเช่นไรมันจึงเป็นเช่นนั้น
          เรื่องการสถาปนายศขุนนางให้ใหม่เป็นปัจเจกโพธินี้เสร็จสิ้นลงแล้วใรคืนราตรีสโมสรวิทวัทนี้)
           
          ทั้งนี้ด้วยนิติเหตุ และโดยนิติประกาศสมยอมและนิติผลเท่านั้น  มิใช่เกิดจาก เรื่องการเมืองเพื่อข้างใด(take side politics  )ใดๆด้วยสาเหตุที่ ท่านหญิงสะโลดอร์เนีย เกิดรักแนกพบแล้วหลงไหลพิศวาทและรักๆใคร่ๆในตัวลอร์ดมิคาน  แบบรักแรกพบ  หรือจะด้วยเหตุผลทางการเมืองอื่นใดในสังคม จริงๆ มในทุกด้านและในทุกมุมมอง
     
         ด้วยอันนี้แท้จริง  ลอร์ดมิคานไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของท่านหญิง และมิคานเองไม่สนใจมันคืออะไรล่ะตอนนี้!
       ลอร์ดมิคาน มีแต่การเคารพและการยอมรับในสิ่งที่เธอพูดออกมาจากปากและใจและเจตนาอบ่างเดียว แต่ถ้าเป็น ๆสงครามอารมณ์หรือสงครามอาวุธ ลอร์ดมิคานขอเป็นฝ่ายแพ้เพื่อสันติภาพสถานเดียว

          แต่ตอนนี้ลอร์ดมิคานจะตั้งตัวตั้งอารมณ์เป็นฝ่ายรับอย่างเดียวให้สนุกและปิติดีใจให้ที่สุด
ให้มีรสดีดกว่ารสไวน์แดงที่มีฝ่ายหญิงให้ความหวังที่ไม่คาดคิดมาก่อนแด่ตนเอง

           เพราะตนเองคือผู้ที่ได้ชื่อสมญานามว่า "ลอร์ดมิคานผู้พลัดพรากเสมอมา"ไม่ได้สนใจเรื่องจักรๆวงศ์นี้เลย นอกจากความสนใจในความเป็นมนุษย์ที่อยากปลือยกายอาบแดดแล้ว
ไม่มีอะไรมาขวางกั้น  และนอกจากนั้นขอให้ได้กินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟทุกวัน  ในชีวิตนี้ก็เป็นที่พอใจแล้วสมใจสุดๆแล้วในเรื่องชีวิตมิตินี้

          และลอร์ดมิคานไม่เคยสนใจความเป็นขุนนาง ที่ทุกคนมีหรอก  เว้นธรรมชาติเทวสิทธิ์ประทานมา  หรือความเป็นทาสที่อาจจะปรากฏตามสภาพที่ตนเองเห็นและสังคมมนุษย์ที่ลำบากชาติชั่วโสมม อันไม่น่าใยดีนัก หรือความเป็นการเมืองที่อาจจะผ่านเลยมา 
         และผ่านเลยไปกับ
สังคมมิติที่หน้าหนึ่งข่าวสังคมภาคเช้า  ของหนังสือพิมพ์ประกาศชัดว่า  คนทุกคนกำลังมีมติอะไรกัน
         หรืออาจจะเป็นเพราะการประโคมข่าว เพื่อช่วยกันสร้างเอารายได้ และกุข่าวบังหน้าทำนองเล่นหนังตะลุงกัน  และมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังดังกล่าว
          แต่สำหรับลอร์ดมิคาน  มิได่สนใจคิด  แต่จะมองทุกๆอย่าง เป็นปรัขญาทั้งหมดเมื่อได้เห็นอะไรมา โดยยึดคุณสมบัติพิเศษที่ตนเองมี
           คือไม่วิจารณ์ และจะคุมสติอารมณ์คือ เงียบ อมยยิ้ม สถานเดียวและว่างเว้นจากการ
สนทนาทางการเมืองทุกชนิด


         แต่จะสนใจว่า  ได่กินหยาดย้ำค้างเย็นสวยสะอาดใส ที่เทือกเขาโอเฟ ที่มีสนามหญ้าและไม่มีวัว แพะแกะแทะเล็ม และห้ามสัตว์เคี้ยวเอื้องเช้ามาเลี้ยงปะปน บนหญ้าในสนามหญ้าอันมีนะเบียบธรรมชาติเหล่านั้น ข้อหวงห้ามนี้เกิดมา1,000กว่าปีแล้ว
         ถ้าถามว่า!  แล้วหน้าที่ในระบบพลเมืองล่พลอร์ดมิคานมีอะไรบ้าง?
 คำตอบคือ "ก็นี่คืองัยหน้าที่ในระบบการเมือง
คือการอุตสาห์ลุกขึ้นและหอบสังขารไปกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟและไม่เดือเร้อนใครและมิได้นอนงอมืองอเท้ารอตายไร้สาระอะไรเนี่ย!
เป็นคำตอบสุนฟิน(final)  ของลอร์ดมิคาน
ทันจะดีกว่าการไปแย่งงานพวกทาสทีะวกืาสหวงอย่างกระไรดีตอนนี้""
         เทือกเขาโอเฟเเละ นี้คือหน้าที่ทางพลเมืองอันชอบธรรม  "ทำไมรึ"
        ก็เพราะว่าาความสงบสุขสันติ ความเสรี
และไม่เดือดร้อนใครเป็นภักษาหารงัย!
        แต่มันกลับเป็นสุนทรีย์รส นี่คือหลักสุนทรีย์ศาสตร์ของการได้พบมุมมองที่ดีที่ถูกต้องได้
ในมุมมองหนึ่ง  ส่วนที่เห็นต่างนั่นมันก็เรื่องของเขาน่ะ!  มันก็เหมือนไปทำงานเสี่ยงและเปลืองหมดเปลืองยาโรงพยาบาล เราควรจะมีทางเลือก
อื่นที่ไม่เปลืองอะไรใครน่ะ"เพื่อนมนุษย์"
ลอร์ดมิคานยืนยัน "มีในที่สุด""

   " ดูๆแล้ว"     มัน เป็นเชิงล้อเล่นกัน  แต่มันก็สมจริงสมจังดั่งกะนิยายของสงครามชีวิตชนิดหนึ่ง
      และในต่อมาอีกว่า  นี่คือสาเหตุ การเกิ
ด ดับสำหรับลอร์ดนิรนามมิคานที่เกิดขึ้นมาในโลกของขุนนางตกยาก ที่มีแต่เป็นดุจนาฎนาคราชผู้ฟ้อนรำ (นาฏนาคราชคือการฟ้อนรำของผู้เป็นเจ้าชนิดหนึ่ง ที่ฝูงชนหนึ่งเชื่อว่า  มีสัจธรรมอันล้ำค่า และได้พวกเขาได้ปั้นเป็นรูปปฏิมากรรมทองเหลืองไว้บูชามากมายนักส่วนคตินิยมอืานของเขาลอร์ดมิคทนหลักเลี่ยงการ
    ตีความ แต่ประทับมจรูปปั้นทองเหลืองในท่าการฟ้อนรำเต้น ที่ทำให้คนเหห็น  แล้วมีความคิดและมีความสุขเท่านั้น)ประกอบเสียงเพลงชีวิตกระนั้น"
       นี่เป็นการทดแทนความเป็นลอร์ดโดยบัญชีที่มิคานทำหายไปในกลีบเมฆ เหมือนบัญชีลับที่มิคานเคยทำไว้ทีธนาคารสวิสที่ลอร์ดมิคานเปิดไว้และลืมมันไป เพราะพ่อบุญธรรมคนหนึ่วของมิคานสัญญาว่า จะโอนเงินมาให้เพื่อเข้าบัญชีลับที่ประเทศสวิสนี้เพื่อนการนี้มิคานจะได้ไปเที่ยวกับคนรักคนหนึ่งตามใจชอบ  แต่บังเอิญท่ามมาด่วนตายไปเสียก่อน  ท่านขื่อว่าลอร์ดกุกี ยิวผู้มั่งคั่งใต้ดินชนิดเงียบสายสัมมาอาขีพชนิดหนึ่งแต่ท่านไม่มีบุตร
         ความคิด"อปกติ"(ไม่ธรรมดา)ในสายตาของทาสผู้กระหายเลือดบางคนแห่งสังคมเจ้าหรือสังคมอารยะและสังคมชั้นสูงที่มีธรรมชาติที่น่าอิจฉาในอดีตและมีอดีตอันหรูหราและสมบูรณ์ด้วยความยิ่งยั้งยืนยง และคงกระพันและมีอ
นาคตสดใส แน่นอน
        แต่สำหรับลอร์ดมิคานไม่เคยคิดอหังการ ว่าเกิดมามีวาสนาดีหรือเกิดแล้วไม่ต้องทำเกิดมามีเงินละเล่นกับชีวิตจริงที่ไม่ต้องทำต้องขวนขวาย
        หรือเพราะว่าตนเองทรนงตนเองโดยคิดว่า
ตัวเองเป็นลอร์ด  เกิดมีมรดกและเงินรองรับ มีความมั่นคงและมีเงินสะพัดหมุนเวียนติดตัวเสมอประจำตระกูล โดยไม่ต้องเหนื่อยเมื่อยล้า ดั่งเช่นทาสกับแรงงานชาวนาชาวไร่ หรือดั่งเช่นทาสทั่วไป อะไรเลย
         แต่ตนเองคิดถึงความยากจนอยู่ทุกเช้าค่ำตลอดเวลา และคิดถึงแต่ความไม่แน่นอน  คิด
ถึงแต่ความตาย ทุกย่างก้าว  และในทุกบริบท
เกือบทุกเวลาที่มีลมหายใจ "นี่เป็นปณิธานของอลอร์ดมิคาน"
          เมื่อตนเองได้เกิดมามีโชค
ดีกว่าเพื่อนมนุษย์ในหมู่ชน

      และในมุมมองหนึ่ง  ตรงจุดนี้ลอร์ดมิคานขอตอบว่าตนเอง"พอมีบ้าง""
เะื่อใข้และพอเะื่อจะนักษาหน้าและธำรวเกียรติได้พอเหทาะพอคสรมนคาน
ผู้มีชีวิตแสนเศร้าและเปื่อยเน่า และอดมีแต่ผิดหวัง
       
            ระหว่างการปฏิสัมพันธ์กันในเมืองมนุษย์
คืออาทิ เช่น มีในระหว่างชนขั้นขุนนางและคนชั้นทาสและคนสามัญชนผู้อาภัพที่ไม่ที่ไม่มีแรงเพื่อเดินขบวนหรือเรี่ยวแรงเพื่อเป็นทาส  และที่เกิดมาเป็นเพียงคนธรรมดา และเป็นเศษขยะของแผ่นดินที่สวรรค์ทรงโปรดน้อย แต่ยังคงทรงโปรดให้เป็น
         กรณีนี้ มันดูดีกว่าที่ไปเกิดเป็นหมูและควายน่ะ!เพราะเกิดเป็นหมูและควายท้ายสุด
จะถูกฆ่าเพื่อนคนได้กินมัน  กินกันไปตายไปเป็นภักษาหารของมนุษย์ โดยถูกฆ่าตายเปล่า ที่ไม่ต้องมีคำสั่งประหารชีวิตจากศาลใด ถ้าเกิดเป็นมนุษย์การประหารชีวิตต้องมีเป็น คำตัดสิน
ของศาลเท่านนั้นจึงทำได้  อันนี้จึงเป็นหลักประกันคงามมั่นคงในการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่วิเศษไปดีไปกว่าสัตว์เดรฉาน
       

       ลอร์ด มิคานจึงขอภาวนาให้ทุกคนมีมโนธรรม เสมอ เมื่อตายไปจะจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ดี ที่จะเป็นสัตว์ที่จะประเสริฐกว่าที่ไม่ต้องเกิดเป็นภักษาหารของมนุษย์ในทุกภพภาวะและทุกชาติเกิด และกล่าวว่า
       "แม้ข้าพเจ้าจะไม่ใช่เทพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็มีมโนธรรมเพียงพอที่จะกล่าวคำนี้ได้ เพื่อความสวัสดีของมวลชีวิตทุกถ้วนหน้าเทอญ"
 "ขอเดชะ แด่องค์ทวยเทพทั้งมวล ด้วย พระอาญามิพ้นเก้ลา""

        จึงมีแต่ความมึดมิดเท่านั้น ที่จะช่วยทะนุบำรุงสังคมวิปลาศเหล่านี้ให้พ้นภัยไปได่ในเมืองมนุษย์ ด้วยความฝันและความศรัทธาอันทรนงต่อพระเจ้า เช่นกรณีฝันคือในใจว่าจะถูกหวย

         ศรัทธาในเทพ และการลงองค์ของพระเจ้า เช่น การบูชาในสิ่งเคารพ  เพราะมันทำให้อุ่นใจและกำลังใจเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ในช่วงที่ชีวิตตนเองยังเอาตัวไม่รอด

        ถ้ารอดแล้วเขื่อว่าเขาคงจะยังไม่ทอดทิ้งอดีตนี้ไปเสีย เพ่าะถ้าเป็นเช่นนั้น ถือว่าเขาเป็นคน"อกตัญญู"และ"เนรคุณ"นั่นเอง


        ในร่างของคนเดินดินกินขนมปังก้อน  เพื่อการอยู่รอด  ปล่อยวางสมถะลอร์ด และไม่คิดอะไร  แต่มีพลังชีวิตและมีน้ำใจดีสดใสและมี น้ำดื่มชนิดร้อนเย็น  และมีเนยเเข็งกินเป็นอาหารก็พอใจแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง
         ลอร์ดมิคานคิดเสมอว่านายทุนมันต้องดี
และทาสมันต้องไม่เลวทรามเสมอ
แม้กระนั้นลอร์ด มิคานเชื่อก็ยังเชื่อว่า เพราะการไม่ไว้วางใจกันระหว่างตำรวจและอาญากรรมและระหว่างนายทุนกับแรงงานและระหว่างขุนนางและทาส
          สังคมใบนี้นี้จึงเกิดว่าที่สงคราม หรือสง
ครามนิรนาม  หรือสงครามนอมินี(nominee )ชนิดหนึ่งแหกของการสงสัยนำสู่การจารกรรม หรือสากลรู้จักกันว่า "เอสปิโอนาส"กำลังในระหว่างชนชั้นของฝ่ายบวกและฝ่ายลบใดๆขึ้นมา  จากเหตุไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเพราะสังคมมันมี"ซิมตอม"(symptom) แห่งการแข่งขันกันเป็นเหตุผลสู่สงครามจชน(espionage  warfare =สงครามจารชน) ภายใต้หัวข้อสันติภาพใหม่(n e o- p a c I f i c)  มันเหมือนการไม่ไว้วางใจกันระหว่างคนรักหรือผัวเมียกันและนำสู่การหย่าร้างในที่สุด
          อันนนี้ก็เช่นกัน  นั้นมันคงมีอันเกิดขึ้นแบบกินกันไปพลาง"เอากันไปพลาง"  แต่มจส่วนลึกในใจของคน นั่นใครคิดอะไรอยู่  ไม่สามารถ
หยั่งรู้ได้  แม้เป็นเมียผัวหรือคนรักระหว่า
กันปกติ
         อย่างไรก็ตาม จะมี สันติภาพหรือในภาวะสงคราม ที่ตนเองเชื่อว่าเรื่อของ"สิ่งในบริบทของการจารกรรม"นี้ มันกำลังมาแรงและมีพลังมาแรง ในโลกใบใหม่นี้
        จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามชนิดโดยไม่เรียกว่าสงคราม และไม่เกิดขึ้นมาด้วยการประกาศว่า
เป็นสงครามก็ได้ 

         ในสมัยหนึ่งลอร์ดลิคานจำได้ว่า
โดยเขาสงสัยมิคมนว่า "เป็นสายลับขุนนางเพราะเกิดมาดีแต่ไปใช้ชีวิตสมถะในดงพวกทาส
         แต่มาอีกสมันหนึ่งก็ชวนถูกสงสัยว่าเป็นสายลับพวกทาส เมื่อมาในดงขุนนาง 
"แต่ความจริงก็คือความจริง"
มิคานมีปรัชญาแลไม่มีอะไรให้พิสูจน์ได้ว่า
ลอร์ดมิคานเป็นสายลับสองหัว  แต่อย่างใด
ไม่
        และตัดสินใจอยากอยู่ปลอดภัยจากข้อสงสัยต่างๆเสมอมาด้วยทางออกหลากวิธี
        มิคานท้อมากเมื่อถูกสงายทั้งๆที่ตนเองไม่มีอะไร
ต้องใฟ้สงสัย
ในที่สุดมิคานจึงตัดสินใจ คือจึงชอบใช้ขีวิตดื่ทหยาดน้ำค้าง ที่เเทือกเขาโอเฟนั่นเอง
ตั้งแต้นนั้นมา และมันเป็นความสุข
    
          แม้จะถูกสังคมมองว่ามิคานเป็นคนบ้า
อันนี้คำตอบของมิคานคิอ"สุดแท้แต่จะคิด"
เป็นเหตุผล จนพบลอร์ดลิเทลทีททางไปสวรรค์
สายหนึ่งและไปงานราตรีวิทวัสก็เพราะเร่คุบกันลวตัวมัฝีธรรมชาติเป็น"เอกเซนตริก"(eccentricity )เหมือนกัน คือลอร์ดลิเทลเกิดมาดีกว่าหมู่ชน แต่มีจิตสาธารณะเป็นต้น
ทั้งสองจึงมั่วสุมเข้าในสังคมทุกฝ่ายอย่างเลือดเย็นไม่อายตนเอง จนหลายฝ่ายคิดว่าเป็นสายลับ
อาชีพรับเงินที่ลิเทลเคยทำคือคนขับรถไฟ
อาชีพที่มิคานเคยทำทำคือนักวาดรูป นักร้องฟรีสไตล์

       สืบต่อ ๆมาจากการวิพากษ์วิธี(critical thinking )  ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้น  จนเป็นเหตุให้เกิดมุมมองใหม่ว่ามีเป็น 2 แฟกเตอร์(factors )ว่า
"นี่คือการกระทำแบบจารชนและนี่ไม่ใช่การกระทำแบบจารชนขึ้นมา ในทางการเมือง การเป็น
"จารชน" (s py ) นี้โทษนักมาก

       เพราะจารชนสองค่ายคือมิคานนิยามว่ามีค่ายบวกและค่ายลบนี้ โดยสภาพมันดูเหมือนกัน
ยากต่อการจะตีความ อันนี้ จึงกิดสิ่งที่เรียกว่า"วิกฤติการณ์แห่งเชาว์ปัญญา("  critique of intelligence )มาวินิจฉัยว่าใครเป็นจารชนจริงหรือเท็จ  เป็นตัวช่วยขึ้นมาเพื่อได้เข้ามาแก้ไข และมันก็ไม่พ้นวิสัยมนุษย์ ที่จะไม่พบความจริงได้
ว่าใครคือผู้ไร้เดียงสา
 ว่าใครคือผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหา


      ลัทธิเชาว์ปัญญาสากล (inter-intellectualism)ในมุมมองอันเป็นปริทรรศน=ของมิคมนเองมันแก้ปัญหาสรรพสิ่งที่
สงสัยได้  เพราะง่ายคิดได้สะดวก 
ไม่มีเสี่ยงบาดเจ็บ เสี่ยงการรบ และสงครามะเบิดใส่กันที่หนวกหูจากแรงปะทะของอาวุธสงคราม และไม่เพราะเกิดในทุกเมือง ที่สงครามกำหนด

         หรือในฉากอี่นๆเช่นเป็นอาจจะเป็นแฟชั่นชนิด"ผู้ร้ายอยากสวมบทเป็นตำรวจ และในขณะเดียวกัน ตำรวจก็อยากสวมบทเป็นผู้ร้าย" ที่มนุษย์กระหายจะเป็นจารชนอยู่ด้วย คืออยากดังอยากมีข่าวหน้าหนึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นโรคจิตขนิดหนึ่งได้  ถ้ายกเรื่องบ้าบอแบบนี้ไปให้นักวิทยาศาสตร์ด้านจิตวิทยาตีความให้ไว้ว่า

    ลอร์ดมิคานคิดว่าตนเองน่าจะเป็นจำเลย
สังคมในการที่  ตนเองชอบเดินไปหาหยาดน้ำค้างดื่มเป็นอาหารที่เทือกเขาโอเฟ
 แค่นั่นแล้วซึ่งมนุษย์ทุกคนมองว่า"แปลก""

       แต่ลอร์ดมิคานทิ้งความรู้สึกไว้
เพื่อจะได้ตอบโจทย์ได้มีเอาไว้ว่า

"สุดแท้แต่สังคมใครใดๆจะคิด"
แต่ตนเองคิดว่า

    คือมีเทพเจ้าแห่ง"สิทธิ"
อันชอบธรรมเป็นองค์ประธานให้ในเรื่องนี้
ที่ตนเองฝินใจทำอย่างนี้!
บทหลักของตนเองในเรื่อง"สิทธิ"คือคือไม่เดือดร้อนใครใดๆอื่นจึงจะใช้คำว่า"สิทธิ"นี้ได้"

       แม้หลายคนคิดว่าลอร์ดมิคาน
สบายมากกับน้ำค้าง ที่ไม่ต้อวทำอะไรก็มีกินตามธรรมชาติเหมือนตัวเขื้อรา และเชื้อไวรัสและเชื้อบักเตรีที่"ไม้ต้องทำงานก็มีกิน""

        ธรรมชาติ จากหยาดฟ้าที่ตกลงมาเพื่อตน
ในส่วนลึกทำไมถึงเป็นเช่นนั้นกับลอน์ดมิคาน
"ก็เพราะว่า" คือแต่ที่แท้จริงลอร์ดมิคานทำอาหารกินเองไม่เป็น  ตนเองจึงต้องมาหากินหยาดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟแทน  และตนเองจะได้ติดต่อกับและดูคอยดูแลและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
กันกับเจ้าตัว"แปลกประหลาด"ที่ทุกคนสนใจ
นัก  คือระหว่างตัว"เอเลียน"(alien)มนุษย์ต่างดาวจะมาทำอะไรกับโลกเราบ้าง ตังเอเลียนก็ชอบกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขา"โอเฟ"เช่นกัน"
เพราะลอร์ดมิคานเชื่อว่า เอเลียนมนุษย์ต่างดาวก็มาหากินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเช่นกัน

       ก็สุดแม้แต่ะพวกทาสจะอยากจะมีความ
อันเป็นอย่างที่ลอร์ดมิคานเป็นและมิคานควรใข้ชีวิตเงียบ

          หรือแบบปิดหูปากปากปิดจมูกแบบพระเครื่องหรือพระจริงชนิดปิดทวารทั้ง9แบบพระอมูเลมต( a mu l e t) ภควัมพ์ พระอรหันต์-อมิตาพุทธะผู้ทรงคุณประเสริฐเจ้า
         
          นับแต่ความต้องการและตัณหาความ
อยาก ความสงสัยใด ในแดนมนุษย์ทุกชนชั้นมี มันคงต้องมีความอยากเหมือนกันหมด
เว้นแต่ว่า "ขุนนางผู้กำหนดใจตนเองได้ และพระเซนต์(sents  ) พระอรหัรต์เท่านั้น จึงรอดภัยตลอดมา
          แม้กระนั่นแท้ก็จริง สืบต่อๆมามีจึงได้เกิดมีท่านเซอร์กูชชี  (sir g u s hci)และฮอนเนอน์ (H o n = ยศท้ายสุดของระบบขุนนางชนิดหนึ่งที่มียศนำหน้าชื่อแต่เป็นสายเลือดขุนนาง)
ฮอน.มิเดา(H o n. midow) 
         มาขช่วยเป็นเพื่อนคุยเพราะสงสารลอน์ดมิคานและลอร์ดลิเทลที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับความเป็นจริงมามาก ท่านทั้งสองนี้จึงกลัวง่าลอร์ดมิคานและลอร์ดลิเทลจะตายเสียก่อน  ก่อนที่จะได้ทำความดีสูงสุดได้
สำเร็จลงได้ ก่อนจะสะดุดหยุดอยู่
และเพื่อทำให้ขีวิตดั่งนิยายของมิคานและลิเทล
ได้มีเพื่อนคุย  ในระดับเบาสมอง วำหรับคนชมที่เป็นคนกำเนิดที่เป็นผีปีศาจ รากษส ผีน้ำ ผีป่าที่ทุ่งโอเฟ และมนุษย์และมวลอมนุษย์ และผีที่เกิดจากแรงของแรงแห่งความโนมถ่วง (momentum ghost forces  ) ที่ลอร์ดมิคานเชื่อว่า ต้องมีและพวกเขาทั้งทีลอร์ดมิคานเชื่อว่า"น่าจะติดตามอยู่"

        เพราะว่ามีแผนการแย่งแบ่งแย่งแผนและแย่งผีของลอร์ดลิเทลหลังการตายของท่านผู้นี้ เพื่อ ไปบูชากัน  หลังจากที่ลอร์ดลิเทลตายลง
มาเกิดมีกันหลายฝ่าย หลายฝ่าย เกิดกันอย่างโกลาหลและอลหม่านจน ตาปัญญายังมองไม่ออกว่า"ใครบ้างที่จะมาดีและใครบ้างที่จะมาร้าย

        เป็นผลให้ลอร์ดมิคานตั่งความปรารถนา และตั้งเป็นปณิธานเอาไว้ว่า:-

      เมื่อตนเองตายลงชอให้ซ่อนศพตนเองไว้
มิให้ใครรู้ ใครเห็น
       เพราะตนเองอยากตายตาปิดหลับสนิทหลับและมีสมาธิเหมือน "ซากศพที่นอนเพื่อนดิน"ปราศจากคนมาเห็นอีก คนกล่าวถึงอีก คือลอร์ดมิคานกลัวว่า"ตนเองเมื่อตายลงแล้ว จะมีคนวางแผนมาแย่งศพไปบูชากันเหมือนลอร์ดลิเทลเช่นกัน

          ลอร์ดมิคานกลัวที่สุดว่า"ตนเองกลัวศพตนเองถูกเทิดทูนให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  กลัวการถูกกราบไหว้และเซ่นสรวงหลังการตายของตนเองเหมือนดังที่คนทั่งทาสและขุนนาง วางแผนไว้ล่วงหน้ากับลอร์ดลิเทลหลังการตาย"
อยากให้คนเหฌนตนเองเหมือนตาเห็นแล้ว
ตนเองน่ารักเหมือนตุ๊กตาไขลานแล้วเดินได้เป็นพอ""

แต่อนุญาตให้มีพิธีกรรมการตายที่ถูกต้องเกิดขึ้นได้ ลอร์ดมิคานทำเป็นพินัยกรรมเป็นหนังสือเอาไว้


          โดยพวกทาสกลุ่มรุนแรงกลุ่มหนึ่งและเหล่าสามัญชนที่มากมายนักที่คอยเฝ้าคอยสังเกตพฤติการณ์มโนธรรมอันทรนงและมีพลัง อั
น จะส่งผลให้คลื่นมหาชนที่อาจจะ"คลื่นไส้"เมื่อพบเห็น"เและหมดอารมณ์และเป็นชนวนทำให้ ลอร์ลิเทลเร่งตายไวไปเสียก่อน  เพราะควาเมื้อยล้าและมีเป็นคนมีมโนธรรมจัดจ้านจนหมดชีวิตธรรมดาไป และโดนเยาะเย้ยถากถางจากมารผู้ริษยาในความดีงานของท่านอีกด้วย


         แนวเนื้อความที่อาจจะตกหล่นน่าสนใจในโลกแห่งความเป็นจริง นี้
         จึงมีเซอร์กุชชี(sir g us h i i )และ ฮอน.มิเดา(H on. mid owa)เกิดขึ้นมาเป็นตัวประกอบเแนจุดสนใจขึ้นมา  ดั่งมาเป็นตัวเชิดประกอบนิยายเพื่อแทนงานรบหนักในทุกบทบาทที่ลอน์ดมิคานและลอร์ลิเทลเคนแสดงเอาไว้ในชีวิต
จริงเอาเสียเลยทีเดียว หลังจากที่พวกทาสได้มองว่าลอร์ดมิคานและลอร์ดลิเทลเป็นจารชนชนิดหนึ่งในคราบของคนมีมโนธรรม


ที่ท่านททั้งสองคนหลังนี้
ได้มาเป็นเพื่อนในบทบาทจำลองชนิดด่วนสรุป
และเป็นฉากให่วาระหนึ่งในวริบทนี้ได้มีความหมายขึ้นมาอักฉากหนึ่ง"อิปิโสต"นึง(episode) ขึ้นมาในวันหนึ่ง

       ที่มิคานจะชวนท่านทั่งสองถ้าว่าง
คือทัทงท่านหญิงมิเดา และท่านเซอร์กูชิไปกินหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเช่นกัน
ความเป็นมาของท่านื่งสองรายการหลังนี้
ฃอร์ดมิคาน
จะเปิดเผยตอนว่างเว้นจากงานสวนครัว(l ot ment)หลังกระท่อมเล็กๆที่ปลายปราสาทมิคาโน
สืบต่อไปในภายภาคหน้า

 "ดูซิว่ท่านืวสองจะไปด้วยมั้ยจะยอมบ้าไปกับบอร์ดมิคทนรึไม่" เร่บะดูกันต่อไป"



          เขามนุษย์เริ่มที่จะ " ไม่สนใจสงครามตามตรรกะ "ลอร์ดมิคานคิด
       เพราะในโลกแห่งตรรกะ มันถูกล็อกและเพี้ยนไปเสียแล้วตอนนี้แม้ส๊ตรคณิตศาสตร์ทุกขนิด มันยังคงถูกใช้ได้ดี

       คือ" คนเริ่มอยากทำความดีในนามของความชั่วที่ชั่วและชั่วชั่ว และคนอยากทำชั่วในนามของสิ่งดีงามที่ดี๊ดีนี้กันนั่นเอง" เพราะเหนื่อยและพลั้งไป
      กล่าวคือ คนหลายคนและเกือบทุกคนทั่ง
ทาสและขุนนางและสามัญชน มันอาจจะถูกล็อกอัตโนมัติด้วยพรหมแดนของสรรพสิ่งเอาไว้ 

       ที่มีปรัชญาว่าคลื่นของความดีความชั่วที่เกิดมีขึ้นมากมายนัก แต่มนุษย์ทำไม่ได้เข้าถึงมันไม่ได้นั่นเอง เช่นคนจะทำดีแต่เวลามากำหนดเสียมิให่เข้าถึงความดีที่ตนจะทำ ความชั่วคนก็อยากทำแต่กฎหมายมันมาขวางกันไม่ให้ถึงความขั่วไปเสียเป็นต้นดังนี้ จึงเกิดมิติใหม่มารองรับสิ่งนี้

        มิตินั้นลอร์ดมิคานเชื่อว่า มันคือ"อุบัติเหตุและหรือสงคราม"ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

        ด้วยกฎหมายใต้ดินและสากลระหว่างเมืองในจักรวาลหมดแล้ว "ลอร์ด มิคานเดาเอา""


     

ลอร์ดเทล5"(34133)รวม12345- รวงข้าวบาร์เลย์สีเหลืองทอง"อาจซ้ำซ้อนบ้างกันเนตล้ม"งานวรรณกรรมสูญหาย"ขออภัย

 OK(30274)1-5sectora 3 error
       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
    
lord l i te l
 OK
       ปราสาท7แห่งที่คิมาน-ศิยาเม(K i m a n-S i y a me &S i a m ) ไปนอนหลับมา
      ชีวิตคิมานอาจจะบัดซบและเฮงซวยในสายตาของนักท่าทีและนักปรากฏการณ์มองดูอย่างพินิจ แต่ตัวคิมานเองมันสนุกมากปานภาพวาดที่น้ำหนักสีกำหนดได้หรือเดินบนสวรรค์ที่ไม่ต้องใช้และมีบันใ
ดเลื่อนนำไปมันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
      พ่อลิเติล(Lit l e )เป็นคนขับรถไฟสายมหัศจรรย์ชื่อว่าว่าสาย"ไคลด์แอนด์รุกส์"
มันเป็นหัวรถจักรพ่อบอกแต่มันวิ่งเร็วมาก พ่อเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมเชิงแข็งเกร่งและเด็ดขาด แต่นั้นหมายความว่าท่านคือหัวรุนแรงรักชาติและป้องสิทธิ์อย่างแข็งขันและน่ากลัว ท่านไม่รับสินบนอะไรเลยนอกจากกินแต่อุดมคติและมโนธรรมของตนเองเท่านั้น
          แม้แต่ ผู้มีอิทธิพลแม่มดผีสิงหรือใครเอาผู้หญิงสวยพราวกามอรรถรสแจ่มใสเลอทรวงสักเพียงใดมาเพื่อที่จะหลอกล่อท่านท่านเพื่อแลกซื้อกับอุดมการณ์ทางการเมืองและส่วนตัวอันเกรียวไกรของท่านเฉพาะตัวท่านลอร์ดลิเทล(Lord Litel )ก็จะปฏิเสธไปสิ้นไปทันที ไร้ความปราณีต่ออธรรมและสิ่งมัวๆและมัวหมองแห่งจริธรรมของกามตัณหาในตัวมนุษย์
        ท่านจึง ถูกขนานนามว่าพ่อพระแห่งแฟรงเกนสไตน์ อันทรนงและน่ากลัวที่น่ากลัวกว่าปีศาจแห่งภูเขามหึมาแห่งเบตา(County of  Beta)เอาทีเดียว
ท่านคือเหล็กกล้าที่ยังไม่มีโรงเหล็กใดที่เมืองเหล็กแห่งเบตาได้มาประมูลไปหลอมทำมีดหรือขวาน ตามปกติทำเพื่อเป็นสินค้าส่งออกและอาวุธของเทพเจ้า
แห่งสวรรค์ชั้นไตรทสและชาวเหมือง
ดำถ่านหินชื่อว่าย่านดำเกิงที่นิยมใช้เหล็กที่นี่เป็นชีวิตจิตใจเพราะถือว่าเหล็กที่นี่ศักดิ์สิทธิ์และทนและไม่เป็นสนิมและอมตะทุกชิ้น ที่ผลิตออกมา
      รถไฟสายไคลด์และรุก(Clyde &Rooks) ที่พ่อลิเติลขับ มันเป็นรถขนถ่านหิน
เมื่อพ่อมดเทพเจ้าทะเลาะกัน เพราะค่าแรงงานตกลงกันไม่ได้ และเกิดสงครามรักหักสวาทอุบัติขึ้น มีการนัดหยุดงานเพื่อต่อรองเพิ่มเงินค่าแรงเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งความพอใจและความชนะ การนัดหยุดงานที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นสไตรค์(Strikes  & peace)และสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น
       ทุกๆปราสาท(chateaux )ที่คิมานไปพำนักได้พบกับเจ้าหญิงงามสะพรั่งและเลอศักดิ์ และได้ลิ้มลองความรักอันละมุนอันไม่น่าอิจฉามาแล้ว
ด้วยการจุมพิตเพียงที่ด้วยเพียงแค่จิตน้อมประทับบนอีกฝั่งของใจ โดยปราศจากการจับต้องกายเนื้อต่อกันและกัน เพราะต่างเคารพในความรัก แต่ถ้าเพื่อเพื่อจะไกลเถิดไปมุมลับต่อการเสพรสแห่งกามได้นั้นต้องแต่งงานเสร็จก่อนเป็นฉันท์
        เพียงราตรีผิวเผินที่มิคานได้คบกันกับหญิงเลอศักดิ์อันหอมหวนมาและไปพรอมนาด(promenades )กับคิมาน ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเห็นเข้าแล้วจะไม่กล้าอิจฉา เพราะตาคนสามัญอาจะมองไม่เห็น และประสาททุกๆแห่งที่คิมานไปเยือนและพำนักมา มันแข็งเกร่งและทนทาน มันใหญ่โตและ
คลาสสิค และพร้อมสรรพ์
มีนกและแมว หมาอัลเซเชียลและหงส์ประจำปราสาททุกๆหลัง ยากจะพรรณาเพราะมันสวยและวิจิตรพิสดารกว่าภาพวาดจากสรวงสวรรค์ทีเดียว "มิคานขออนุญาตชม"
      บนถนนคืนราตรีทวัสอันแสนสนุกมากและบันเทิงสุด
คิมานตอนนั้นยังเด็กได้พบกับ
ลิติลผู้น่ารักและอ่อนโยน
แล้วแต่นั่นมาก็รักคิมานเป็นลูกดังดวงใจกันมาเพราะเติลมีรักแรกทั้งลูกและเมีแรกื่ชื่อว่าเคาน์เตสและลอดร์ลิมาได้ตายไปเสียก่อน จนลิเติลได้พบรักใหม่กับเจ้าหญิงกรีเด้หรือกีดาร์แห่งราชวงศ์ปรูเซฟ์(pru sef)หรือราชวงศ์ปราฟด้า(Prafda )ที่ล้มไปแล้ว
          ท่านลิเติลกับเจ้าหญิงปรูเซรักกันมากและแต่งานกัน แต่ไม่มีบุตรด้วยกันเหตุนี้ท่านจึงรับคิเมน(Jk i m a n or ki m e n เป็นบุตรบุญธรรม ๆนี้ซึ่งคิมานเป็นเจ้าชายผู้เร่ร่อนกำพร้าพ่อและแม่และพบกันกับลิ้ติลยนงานที่ถนนอันเป็นทางสู่สวรรค์ของชาวเบตาในคืนงานรังสรรค์สโมสรของทวยเทพและเทตาพธิดาสรรค์ชั้นฟ้าในเทศกาล
อันแสนสนุกแห่งปี
            เพราะเหตุบังเอิญที่สวรรค์ให้มาทำให้"ลิเติลและคิมานจึงรักกันมากโดยปราศจากเงื่อนไข และเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสืบๆมา" จนเป็นวรรณคดีในหมู่ชนชาวเบตายิ่งนัก
            ตามประวัตินั้นพ่อบิเทลเป็นเจ้าชายแต่ใช้ยศเพียงท่านลอร์ดเพื่อเสรีภาพในการออกสังคม
และการใช้ชีวิตสามัญ แต่ชอบให้คิมานเรียกว่าพ่อลิเทล หลายคนคิดว่า ลิเทลเป็นพระนักบวชในนิกาย
บางอย่าง แต่เปล่าท่านชื่อจริงว่าลอร์ดลิเทล
       และหลังจากที่ลิเทลได้มี
การปรับลาตนเองจากฐานันดรศักดิ์เดิมคือจากเจ้าชายแห่งราชวงศ์โนเวพีลด้วยเหตุผลตนเองอยากใกล้โลกคนสามัญและชอบใช้ชีวิตติดดิน เว้นความจำเป็นเกิดขึ้นจริงๆลอร์ดลิเทลจึงจะแสดงตัว
ว่าตนเองเป็นเจ้าชายมาก่อน และเป็นท่านลอร์ด
        ส่วนคิมานก็เช่นกันตังจริงเป็นลอร์ดและเคยเป็นเจ้าชายมาก่อนในราชวงศ์เตนาทิน แต่ที่ทั้งสองมารักชอบกันนับถือกันมาก
เหมือนพ่อกับลูกจริงๆ เพราะเชื่อว่ามีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันนั่นเอง ส  ำหรับเมียของลิเทลคือกีดาร์ ก็อดีตเป็นเจ้าหญิงได้ลาฐานันดรศักดิ์แห่งราชวงศ์ปราฟด้า มาเป็นคนธรรมดาสามัญทั้งสองไม่มีบุตร
       เพราะกีด้า(Gidar) โดนวางยาพิษโดยกบฎขณะเธอถูกคุมขังและถูกทำหมันมนคุกปราฟด้าเหตุเกิดในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ปราฟด้า และราชวงศ์ปราฟด้าแพ้ และเธอลี้ภัยไปยีงประเทศที่สามและพบรักกับ
ลิเทลต่อมาหลังลิเทลตายลง เจ้าหญิงกีดาร์ยังไม่พบหลักฐานการตายและขาดการติดต่อกับคิมาน
อย่างไรก็ตามคิมานไม่เคยได้พูดคุยกัยกีดาร์เลย
ช่วงความสัมพันธ์ฉันลูกกับลิเทลและคิมาน
        ต่อมาทราบจากเพื่อนของลิเทลที่เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์แห่งชาติชื่อโรเบนนีด(Robe n n e e d) บอกว่า
เธอได้หายตัวไปจากบ้านและไม่มีร่องรอยการกลับมา
บ้านโนเวอีกและต่อมามีทนายผู้มีอำนจจเต็มประกาศขายเรือนรักที่เป็นมรดกของลิเทลตามพินัยกรรมไปเธอได้เงินมหาศาล
      และข่าวว่าเธอตัดขาดกับสังคมแต่นั้น
จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่หนใด
แต่คิมานเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
 พอดีเป็นช่วงสงครามจารชนของโลก2ค่าย
(Two Espionage World War fair the 5th ) กำลังคุกรุ่นต่างฝ่ายจึงต้องปลีกตัวออกไปจน(แต่มิใช่เป็นสายลับในมุมมอ
งทางจารกรรมหรือการเมืองใดเลยเพียงแต่เป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั้นเอง
ที่เป็นปริทรรศน์ของวิถีชีวิตปกติ และเป็นนิยายในตัวมันเองเท่านั้น"ส่วนจะคิดมากอะไรไปอีกก็สุดแท้แต่จะคิดกันเอาเอง")
จนต่อมากลายเป็นว่า
"ทุกชีวิตกลายเป็นคนตัดญาติกันไปหมดตั้งแต่สงคราม หลังการตีความได้ถูกแตกแยกออกไป ด้วยปัญญาอันสุขุมของ"คนขึ้สงสัย คนอ่อนเลข และเป็นคนชอบคิดมาก ชอบไร้สมาธิแห่งความเป็นคน ที่ชอบมีมิติที่วกวน  คิดมากไร้สาระ เกิดขึ้นมาเสมอในชีวิตประจำวัน
 
      ใช่" แต่นั้นมา ก็ได้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจนเป็นการเริ่มต้น ที่เป็นที่ตั้ง และไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ เหมือนหิวข้าวแล้วต้องกินทุกวัน และทุกวันก็ไม่เคยหายหิวไปเลยแบบกินเพียงมื้อเดียวแล้วจะอิ่มไปตลอดกาล "นั่นคงเป็นไปไม่ได้" เพื่อนเอ๋ย
       และต่อไปสิ่งสำคัญที่จะไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้ลงตัวเลย  นอกจากบริบทของความตายเท่านั้นที่เป็นอมตะที่ก็แก้ตกไปชั่วชาติเดียวเท่านั้น 
        มันก็เป็น "เซตาดีย"=ces- t a-idea(สำนวน=ฝรั่งเศสว่า"อีกความคิดหนึ่งอักอันหนึ่ง)อันหนึ่ง
      ที่จะคิดเปรียบเหมือนราวกับและกับว่าทุกคน"มองและเข้าใจมันถึงเรื่องาของ"แรงโน้มถ่วง =(พลังงานจำนวนมากที่คนไม่สามารถมองเห็ได้ด้วยตาเปล่า ให้ละเอียดได้ คือตาเห็นข้าวทีทจะกินบนโต๊ะอาหารตนเอง และใครจะเห็นได้ดีนอกจากคนเรียนดีเรียนเก่ง ที่มีมติว่าการเรียนการรู้ได้และการสอบได้คือสันติภาพถาวร หรือจะเรียกว่า"ความรู้คิอสันติภาพ"ของโลกและของตนเอง 
       หรือเหมือนการมองท้องทะเลที่สุดสายตาออกไป ที่ไกลสุดลูกหูลูกตาไกลไปแล้ว ๆมา เข้าใจผิดว่า"มันมีแต่หมอกและเส้นสุดขอบฟ้าเท่านนั้น  แต่ที่จริงถ้าเดินกลางทะเลด้วเรือหาปลาหรทอเรือรบออกไปดู  และจะพบว่าถ้าไปเรื่อยๆ  มันกลับพบว่า"ไม่ใช่หมอกที่เป็นมายา  แต่มันมีเมือง มีเกาะมีโขดหินมีอะไรอีกมากมาย มีนกมีหญ้ามีสัตว์ร้ายฯลฯ
นอกจากหมอกฉันใดก็ฉันนั้น)
) ลอร์ดมิคานคิดว่าคนที่ไปดวงจันทร์เขาก็หวังจะได้พบสิ่งใหม่เขาจึงทำกัน เพราะ"อินฟินิตี้"=การสิ้นสุดของการแสวงหามันนั่น"มันไม่มี"
และ
"ที่คนตาถั่วจะมองไม่ออกว่า "มันคืออะไรและอะไรกำลังเกิดขึ้น" ในอนาคต
ที่นักพยากรณ์ศาสตร์ทุกชนิดไม่สามารถข้ามพ้นมายาตัวนี้ได้ เพราะแรงโน้มถ่วงมันอนันต์มันเกินกว่าต่าของไพน์
เพื่อหาค่าขิงวงศ์กลมที่จะคิดให้เป็นแบบอุปนัยหรือนิรนัยใดๆ(แนวคิดจากมากไปน้อยจากน้อยไปมาก)
     ต่อมา  ทุกคนจะปลงตกและยอมรับว่าชีวิตและชะตากรรมนั้น"มีอยู่จริง"มิใช่มายา
       คือสรุปเป็นแบบไม่ตรรกะ(เหตุ
ผล)อุบาทว์หรือวิบัติได้ว่า
     ถ้าสรรพสิ่งในโลกนี้ถ้า"ใครร้อนใช้ก็ให้ใช้ไม้พัดหรือแอร์เย็นและพัดลมเฉล
ยเพื่อแก้ทุกข์สุขที่ตนประสบ
ในส่วนที่เกิดมีขึ้น ที่ธรรมชาติมอบส่วนเกินให้มา
        ส่วนใครถ้าความหนาวจากหิมะเย็น
มารังควาญ ยื่นส่วนเกินให้มาเป็นส่วนเกินนี้เมื่อใด
          ใครนั้นที่ประสบภาวะหนาวเย็นจากน้ำแข็งแห่งธรรมชาตินี้ก็ใช้"ฮีตเตอร์=heater  "=(เครื่องทำความร้อนแก้หนาวชนิดหนึ่ง)เข้าแก้  จนคนสองกลุ่มนี้ได้สบายใจ  นอกจากปกติ เมื่ออิ่มก็นอน เมื่อหิวก็กิน เมื่อเหนื่อยก็พัก
            ส่วนถ้าน้ำท่วมพายุใหญ่มหันตภัยเพีบงใด  อันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ
" ลอร์มิคาน"ไม่ได้นับและนำมาคิด เพราะมันมิได้เป็นสามัญเหตุ "จะไม่คิดเป็นส่วนสาระจะมีก็ส่วนอื่นค่อยๆว่าไป"
      แต่ช่วงภัยทุกอย่างมีขึ้น
สำหรับส่วนที่ปดติเสมอ
คือคนขายของได้ คนที่นับเงินขายของก็นับเงินกันไปกอบโกยกันไป จนเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีสงคราม ว่ากันไปส่วน
คนที่จะตายก็ตายกันไป
        มาคิดจริงๆ"ลอร์ดมิคานได้มงเป็นอย่างนั้นไปหมด
         ที่คิดอย่างนี้"มันมิใช่คนบ้าแห่งบ้าน"หลังคาแดง(ที่คุมขังนักโทษเทียม ทางจิตวิทยาชนิดหนึ่ง)อาจจะมองกัน"
แต่นี้ก็ขอเป็นมุมมองของปัจเจกโพธิ ของอภิมหาอมตะนิยายที่อยากจะมอง"ก็เท่านั่นเอง"
     มันอาจจะเป็น"ฉาก" ที่ไม่ต้องจัด
ที่ได้พูดมันขึ้นมาอย่างเป็นวรรณกรรมนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะว่า
      ก็เพื่อเป็ยการลับสมองให้กับ
ตนเองว่า"ตนเองมีหลักยึดเหนี่ยว"เมื่อใครอยู่ในสภาวะ
        ที่กำลังจะตายถ้ารู้อย่างนี้แล้ว จะไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ความจริง ว่าอะไรเกิดๆได้อย่างไร แล้วพอตายลงสุดจะทรมาน  และได้ข้อสรุปที่สำคัญคือ "เมื่อจะเจ็บจะตายลงก็จะไม่เดือดร้อนคนอื่นเขาที่ยังไม่ตายอยู่นั่นเอง"
สรุป หลายคนบอกว่าการจารกรรมคงมีและมีระหว่างคนชั้นขุนนางและทาสและกรรมกรทำต่อกันด้วยเงินทุนตนเอง
     แต่ลอร์ดมิคานมอง  นี่มันว่า"ไม่ใช่" แต่ นี่มันกลับเป็นธรรมชาติของมันเป็นเช่นนั่นเอง"
     เพราะมิได้หาประโยชน์ทางจารกรรมอะไร การทำจารกรรมมันต้องหวังผลประโยชน์และเงินเดือน  ส่วนที่ไม่ทำจารกรรมคือ ทำเพื่อสากล ทำเพื่อยังชีพทำอะไรเพื่อการอยู่รอดได้
      อันนี้ลอร์ดมิคานไม่ถือว่าเป็นจารกรรมข้อมูลต่อกันอะไร ระหว่างคณะขุนนางและคณะทาส ด้วยประการฉะนี้แล
       

                        ลอร์ด ลิเทล
                           ตอนที่2
        "คิมานไปดื่นน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟ"OK
              วันนั้นเป็นฤดูหนาว คิมานเดินด้วยเท้าบูทหนังสัตว์แต่งตัวดี รูปสมาร์ทใครเห็นจะอดมองไม่ได้ ไปบนเส้นทางไปสวรรค์ บนเส้นทางสายนี้มีรถมากมาย ในจำนนนั้นมีรถของลอร์ลิเทลด้วยกำลังวิ่งไปงานรังสรรค์ราตรีวิทวัสที่ปราสาทเบตา
      สำหรับคิมานกำลังเดินทางไกลบังเอิญบนเส้นทางเดียวกัน โดยมิได้นัดหมาย จุดประสงค์ของคิมานกำลังเดินทางเพื่อไปหาคลำหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าที่ทุ่งโอเฟ ๆ ติดกับเส้นทางสวรรค์สายนี้พอดี
        คิมานชอบกินน้ำค้างจากหยอดหญ้าเพราะเทพวิเกสอนมาตอนที่คิมานไปพักผ่อนกับ
ท่านเพื่อเรียนศาสตร์วิเศษหายตัวได้และอยู่ยงคงกระพันในสมัยวัยเยาว์
      "ท่านวิเก"เป็นสามัญชนและเป็นลูกทาสในครอบครัวที่ดูแลคอกควายเผือกแห่งฟาร์มใหญ่ที่ชื่อว่า"มอนเน"
มีท่านเทพ"มอนเน"เป็นเจ้าของ
        หลายคนรู้จักพฤติกรรมประหลาดๆของคิมานและลอร์ดลิเทลดี
และก็ตำกนิว่าขุนนางเดิดมาดีแค่ทำไมชอบทำชีวิตติดดินที่จริงควรอยู่บนท้องฟ้าและอยู่แต่ในประสาท
บนโลกแห่งแผ่นดินใต้สวรรค์ที่ท่านจุติเดิดมาเป็นเจ้าในร่างมนุษย์
           
          หลายคนไม่รู้ความเป็นมาแต่มีปราชญ์แสนรู้เรียนสูงบางคนเท่านั้นบางคนเท่านั้นที่รู้ความจริงนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนวิชาเทววิทยา
   
          คำอธิบายมีอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง"ศาสนามิลานา"อันศักดิ์สิทธิ์และสุดขมังเวทย์ในอวกาศและโลกมนุษย์น้อยคนนักมีความสามารถที่จะนับถือศาสนานี้
  
            กล่าวคือทั้งลอร์ดลิเทลและลอร์ดคิมานนั่นถูกอาญาสิทธิ์ให้แปลงร่าง
มาในรูปมนุษย์เพื่อตรวจตรา ความลำบากของทาสและขุนนาง
ในการดำรงชีวิตและการสูญเสียแรงงานเพื่อทำกินและมีชีวิตรอด
    
            และลอร์ดลิเทลเองนั้นในพระคัมภีร์ของศาสนามิลานาบอกว่าในชาติก่อนเคยเกิดเป็นกบทองคำอยู่รวมกันในบึงมิเชอันเงียบเหงา
และต่อมาหลังจาก กบทองคำเพืาอนกันทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อจับไปทอดกินแกล้มในฤูกาลฤดูที่ฝนตกหนัก เพราะเสียงร้องอันเพราะพริ้งสะเทือนฟ้ายามฝนมาตอนนั้นกำลังผสมพันธุ์โดยลอร์ดคิมานเป็นกบตัวผู้ส่วนลอร์ดลิเทลเป็นกบทองคำสาวตัวเมีย
            เมื่อกบทองคำทั้งสองถูกพรานล่าเนื้อพาไปย่างและทอดกินแกล้มเหล้าฤทธิ์แรงเสร็จ ขณะตายกบทั่งสองได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ขณะเกิดได้รับโองการจากเทพอสูรผู้คุมขะตากรรทสัตว์โลกบนพื้นปฐพีให้เป็นไปได้
           เพื่อลิขิตให้กบทองคำทั้งสอง ไปเกิดเป็นมนุษย์ และไปสืบห่ความสุขทุกช์ของมนุษย์ทุกคน ว่าใครมีความลำบากอะไรและจะให้เทพอสูรช่วยแก้ไขอย่างไร เพื่อให้มนุษยชาติทุกๆคนได้มีความสุขสุนทรีย์ทุกถ้วนหน้ากัน
        เหตุที่อสูรมองไม่เห็นด้วยตาตนเองเพราะแกก้ววิเศษของเทพอสูรถูกยิปซีคนหนึ่งบนสวรรค์และจอมซนขโมยไป ด้วยเหตุนี้ เทพอสูรจึงมองอะไรด้วยตาญาณหยั่งรู้เห็นอะไรได้
ตามใจนึก
         จึงใช้อำนาจที่ตนมีดลบันดาล
ให้ตนเองสามารถลิขิตชีวิตชะตากรรมของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดทั้งมวลได้ตามใจชอบ  
         เทพอสูรจึงลิขิตให้ลิเทลและคิมานมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นขุนนางและเลิกใช้ความเป็นขุนนางที่ตนเป็นแต่ให้ไปคลุกคลีสังคมกับพวกทาสและประชาชนธรรมดาเพื่อแสวงหาสัจจะและความจริงแท้ในสรรพสิ่ง
       ลอร์ดลิเทลจึงกลายเป็นคนอย่างทาสแต่มีใจเป็นมโนธรรมสูงสุด
ลอร์ดคิมานก็เช่นกัน
สนุปง่าบๆคือ ลิเทลและคิมานเกิดเป็นขุนนางแต่ประสบภับปัญหาชีวิตวิบัติจนตกไปอยู่ในกำมือของ
จารชนและพวกทาสที่ขาดมโนธรรม
ในขั้นตอนต่อๆมา
         จากปรัชญามนุษน์มีมโนธรรมแห่งความดีเป็นสมบัติฉะนั่นคำว่ารวยจนยากไร้เข็ญใจและพรมแดนที่อยู่ไม่มี
  
        อะไรมาขวางกั้นมโนธรรมแห่งควสมดีนี้ได้   แต่บางคนที่เป็นมนุษย์เลวไม่เชื่อว่า"มโนธรรมแห่งความดีไม่มีอยู่จริง "เป็นผลให้เกิดความริษยาหึงหวงเกิดสงครามจลาจลเกิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความชั่วเป็นฐาน
          สรุปอีกครั้งในชาติก่อน ลิเทลและคิมานเป็นคู่รักกันในชาติที่เกิดเป็นกบทอคำ และเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์
ทั้งสองได้มาเกิดเป็นขุนนางตกยาก
แต่มิได้เป็นพี่น้องกัน แต่ลิเทลมาพบ
     คิมานตอนเดินทางไปงานวิทวัสราตรี
บนเส้นทางสวรรค์และได้พบกับคิมานโดยลังเอิญ
ขณะที่คิมานไปหาเก็บยอดน้ำค้างที่ทุ่งโอเฟรนั่นเองได่พบกับลอร์ดลิเทล
ที่กำลังขับรถมา ทันทีที่ลิเทลเห็น
คิมานก็นึกชอบคิมานอยากเป็นกัลยาณมิตรด้วยคืออยากเป็นเพื่อนด้วย  ลอร์ดลิเทลแสดงตนอย่างสุขุมชวนคบมิได้แสดงอาการอยากคบเด็กเพื่อพาไปเล่นตูดอย่างที่คนไร้มโนธรรมชวนคิด และใฝ่ฝันหาแต่อย่างใด
      คิมานทราบท่าทีจากสายตาของสุภาพบุรุษผู้เฒ่าและคิมานอ่านความในใจข้อนี้ของผู้อาสุโสที่ชักชวนตน
   ต่อมา ลิเทลจึงออกปากชวนจริงๆเพื่อชวนคิมานไปงานราตรีวิทวัสด้วยกัน
    โดยลิเทลเสนอให้คิมานนั่งรถยนต์ไปด้วนกัน รถยนต์ของลิเทลนั่นเป็นรถฟอร์ดอัสตินคันสีเขียว
ไม่กินน้ำมัน ในรถของลิเทล
มีเครื่อง"ฮีตเตอร์"เครื่องทำความร้อนกันอากาศหนาว
     มือของคิมานแดงก่ำจึงกล่าวขออนุญาตลิเทลใส่ถุงมือผ้ากันหนาว
ส่วนจมูกและปากของคิมานพ่นควันหมอกพุ่งๆตลอดเวลาที่คุยกัน
แต่ไม่มีกลิ่นปาก
     เมื่อรถออกจากเส้นทาง
สวรรค์2 เขาเรื่มคุยกันนิดนึงและคุยกัน
ลืเทลถามคิมานว่า
'จะไปไหน?'
 คิมานอมยิ้ม
พลางพูดว่า
เรื่อยๆ
     ลิเทลจึงหยิบขนมบิสคิตที่ท่านหญิงกีด้าให้ลิเทลมาและนำมาเป็นสัมภาระระหว่างการเดินทางไปงานราตรีวิทวัสของสามี
     ลิเทลเปิดกระปุกไปพลางขับรถไปพลาง สายตาลิเทลมองไปข้างหน้ารถหน้าถนนไปด้วย
       มันเป็นบิสคิตยี่ห้อ"แฟรี่เทล"
พร้อมเสนอให้ลอดร์คิมาน
อันหนึ่ง"สำหรับคุณ"
ขอบคุณครับ
คิมานตอบรับพลันและใส่เข้าไปในปาก
       รสหวานอมช็อกโกเล็ตและกลิ่นหอมนั่นคือคุณสมบัติของขนมชิ้นนี้ที่เรียกว่าเป็นอาหารว่างมื้อโปรดของทุกชีวิตขณะเดินทางและเมื่อมุอาการว่าเหนื่อยหน่าย
 จึงใช้มันและกินมันอย่างเป็นวัฒนธรรม
    สักระยะต่อมาที่คิมานเคี้ยวกิน
ไปในปากที่"อมอย่างเเก้มตุ่ย"
    ลิเทลจึงเสนออีกอันหนึ่ง
คิมานบอกลิเทลว่าพอ
    และพร้อมพูดว่า"ผมไม่ชอบกินของเล่น" และพลางกล่าวต่อไปว่า
    ผมพึ่งจะไปหาเก็บน้ำค้างกลางหาวที่เทือกเขาโอเฟดื่มมาเมื่อสักครู่
 มันอื่มมาก "คิมานยินยัน"
     ลิเทลเงียบพร้อมปิดกระปุกบิสกิตไว้และสอดวางที่เบาะรถด้านหน้า
   "บิสกิตแฟร์รี่เทล"=biscuit fairy tale"นี้งัยที่ พวกโจรปล้นสวาทชอบคลุกยาปลุกกำหนัดให้หญิงหรือขายกินแล้ว"เงี่ยน"สุดขีดที่ใครๆสุดจะทนได้
     แต่คิมานไม่มีความรู้เรื่องนี้
 
      แล้วการเดินทางก็ดำเนินต่อไป
ตอนนั้นเป็นทิศเหนือที่เป็นตำแหน่งทิศที่ดาวประกายพรึกจะยอแสงจ้าในตอนเช้ามืด
     ลิเทลขับรถข้าๆไปเรื่อยๆ
คิมานมานม่อยหลับไป ส่วนศีรษะหัวเอียงเอนไปพิงที่กระจกรถด้านข้าง
     ลิเทลรู้อย่างนั้นจึงเอือมมือไปหยิบหมอนพิงด้านหลังเบาะรถให้คิมาย
คิมายกล่าว"ขอบคุณ"
รถวิ่งต่อไป เพื่อไปงาน"ราตรีสโมสรที่วิทวัส"
    ที่ลอร์ดลิเทลได้รับเชิญทุกปี
มันเป็นงานใหญ่โตมโหราฬสำหรับใครบางคน
     และมีแขกจำเพาะไม่มีดนตรีใดๆอึกทึก
แม้งานนี้จะจัดที่ปราสาทที่ตั้งของมันมันจะอยู่ในป่าเปลี่ยว
   นอกจากเสียงคุยและเสียงเพลงแห่งธรรมชาติเท่านั่นที่ที่นี่มี ตอนนี้
    นอกจากนั้นจะมีพิเศษก็กาแฟดำและเนื้อย่างแกล้มไวน์แดงเท่านั้น
     เท่านั้นและขนมปังย่างเนื้อหั่นจากก้อนแฮมสดขนาดใหญ่าไลด์กินเองตามชอบของแขกทุกคนที่มาจากตู้เย็นที่จะสไลด์กินกันได้ถ้าใครอยากเมื่อหิว
     มันเป็นเหตุการ์ที่ปราสาทคูฟอร์
มีหมาแอลซีเชียล20ตัวเป็นยามเฝ้าปราสาท ที่ปราสาทนี้เมื่อ200ปีก่อนมีโจรสลัดโหดร้ายชอบขึ้นทะเลมาปล้นและฆ่าพวกขุนนางที่
อ่อนแอและไม่เก่งปืน
   งานนี้ มันมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายการคุยกันสนุกและเย็นชาแบบๆไปเรื่อย แบบทุกคนไม่กลัวเสียเวลา คนมาที่นี่ในงานนี้เป็นชนชั้นไม่บริโภคเวลาทั้งหมด
    มันไม่มีเสียงโฮกฮาก !กระเติ๊กกระต้าก!!ใดๆ แต่จะมีด็แต่กลิ่นควันยามวนซิการ์พวยพุ่ง
และอาจจะเป็นกลิ่นน้ำจากควันซิการ์อันหอมเจือรสนิยมเฝื่อนๆชวนเพลิน และตามด้วยน้ำหอมกลิ่นดีหายาก รสจำเพาะจากการสั่งทำจำเพาะของชนิดจากโรงกลั่นสกุลน้ำหอมชั้นเยี่ยมแต่ไปรเวท
    มันจะโชยแผ่วมาทับกลิ่นบุหรี่มวนซิการ์อย่างกลมกลืน
ที่ทุกคนเพศชายจะสูบ  สถานก
การณ์ตอนนี้ส่วนหนึ่ง
มันเหมือนภาพวาดตามจินตนาการของนักวาดอย่าง"ฟาน-กอฟ"ศิลปินชาวฮอลแลนด์
   
     กลิ่นน้ำหอมมันจะมาจากกลิ่น
ตัวและกลิ่นน้ำหอมจากใต้ข้อมือของผู้หญิงที่ทาถูฝังเอาไว้ทุดคนที่มาในค่ำคืนงานราตรีวิทวัสนี้ทุกคนเลยทีเดียว
เว้นคิมานคนเดียวในค่ำคืนนี้ที่ไม่มีกลิ่นอะไรเลยติดตัวมา
     นอกจากกลิ่นไร้เดียงสาและกลิ่นมโนธรรทเท่านั้นที่ตนเองมี
แต่คิมานไม่เขินสักนิดเดียว
    มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า ลอร์ดเกอรีซึ่งคงเป็นขุนนางเก่าคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นมาว่า
    วันนี้พวกเรามีแขกไม่คุ้นหน้ามาด้วยกับลิเทล ตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นบุตรของลิเทลทีพึ่งโตและแก่แเดดแล้ว!
    ลิเทล กล่าวคำขอโทษทุกคนและจึงเอ่ยบอกทุกคนว่า"นี่คือคิมาน"เด็กหนุ่มน้อยอันมีเกียรติท่านผู้นี้
     คือว่าท่านผู้นี้ เราพบกันครึ่ง
ทางบนนทางสายสวรรค์สายสอง
ขณะเขามาเดินหาน้ำค้างกินที่เชิงเขาโอเฟ
    คิมานจึง"สวัดดี"ทุกๆคนและกล่าวทักกับทุกคนด้วยอารมณ์ดี
และพร้อมกล่าวขอโทษแขก
และแสดงความเสียใจที่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเขิญในค่ำของวันนี้
"ทุกคนเงียบ"
     คิมานไม่แสดงตัวว่าคิมานก็เป็นลอร์ดมาก่อนอยู่เหมือนกัน เพราะคำว่า"ลอร์ด"มันเป็นเรื่องไร้สาระกว่าการเป็นคนมีมโนธรรมนั่นเอง
"คิมานคิดอยู่ในใจ"
ทุกคนเงียบอีกครั้ง
แทนการปรบมือ และสังคมกลุ่มที่นี่ไม่นิยมการปรบมือเมื่อแสดงความยืนดีอะไรทั้งนั้น
มันทีทุ่ฃอร์ด
คิมานแสดงสายตาออกอย่าง
ไร้เดียงสาและยิ่มให้
ให้ทุกคนเห็นคิมาน
ฟันขาวและน่ารักของคิมาน
เสื้อผ้าสวมใส่มีสกุล ตนเองทำตนเหมือนหนูน้อยโอลิเวอร์อย่างในหนังเรื่องนั้นทีเดียวคืนนี้กับทุกคน
    การไม่แสดงตนว่าตนเป็นอะไร ก็เพราะไม่สำคัญอะไรเพราะ
ปกติของคน
ก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้นมิได้มาและมีหางเหมือนหมาก็แล้วกันเป็นพอ
คิมานรู้เรื่องเท่านี้ก็พอ
อย่างไรก็ตามอากัปกิริยามรน
ยาทดีงามและเสื้อผ้าการแต่งกาย
การพูดจาของคิมาน
น่าจะบอกแล้วว่าตนเองสมควรเป็นแขกไม่ได้รับเชิญในคืนนี้
นั่นก็เหมาะสมแล้วนอกนั่นให้ลิเทล
พูดและค้ำประกันก่อนที่ตนเอง
อาจจะถูกสังคมคืนนี้จับโยนไปให้ฝูงหมาป่าเร่ร่อนที่นอกปราสาทแทะกิน
     ทุกคนใมงานรังสรรค์ประจำปีนี้ที่เรียกว่างานราตรีวิทวัส
คงเข้าใจลอร์ดลิเทลดีว่าลอร์ดลิเทลมีชีวิตเศร้าๆเหงาไและไม่มีลูก
ใช้ชีวิตยู่กับเลดี้กีดาร์เมียรัก
ผู้ประสบภัยจากสงครามมาและมาและพบรักกันและลอร์ดและเลดี้ก็รักกันจริงๆไม่มีการเมืองหรือความเป็นสีเทาอะไรแอบแฝงข้องเกี่ยวในตัวเลดี้กีด้ามาก่อนใด
     จึงทำให้งานราตรีวิสิทวัสคืนนี้
ของปีนี้นี่เป็นได้ไปอย่างสนุก
ปราศจากข้อครหาทางใจของทุกๆคนในงาน 
ที่อาจจทำให้ใครเขินหรือเขื่อง หนือละเมิดกับอารมณ์ของตนเอ
งสักคนเดียวกับความเห็นในบริบทแห่งแขกที่ไม่ได้รับเขิญอย่างคิมาน ที่จะทำให้งานราตรีวิทวัสของค่ำคืนนี้แห่งปีนี้ต้องหม่นหมองและไร้วิญญาณและเงียบเหงาไปกระนั้นเลย
        ย้อนไปวินาทีที่ลอร์ดลิเทลมาพบ
        คิมานหลังจากเหนื่อยมาจากเดินวนหา เที่ยวเร่ร่อนไปเพื่อหากินดอกน้ำค้างบริสุทธิ์น้ำใสบนยอดหญ้า ที่ผุดปรากฏคล้ายใยแมงมุมตามทุ่งโอเฟ ในตอนเช้า
จากทุ่งโอเฟและเหนื่อยจึงตอบตกลงกับลิเทลทันที
"ไปก็ไป"" คิมานตอบรับ
-------

(3826@)ปราสาทคูเซอร์
         ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
    คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
          มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
 และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน  หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก



     ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
      ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด


     เสียงดนตรีแห่งความสนุก   ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
     เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่  ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
        "ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
      และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
     ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"


เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...

ขอย้ำอีกครั้งเพื่อเป็นเกียรติแด่ปราสาทครูเซอนนี้ที่ทำให้ลอร์
ผู้มิคานใต้ดิน และได้เป็นลอร์ดนิรนามเพราได้ท่านหญิงเคาน์ตสแห่งสะโลวาเนียโคโรเนตและคราวน์ให้ทำให้ความเข้าใจผิดในสังคม  ลดการกระเตื้องต่อคำถามทั่วไป ในสถานะภาพของลอร์ดมิคานที่ได้เป็น  แม้รายได้ในบัญชีศักดินาจะยังไม่เรียบร้อยก็ตาม

--@@@

ลอน์ดลิเทล3
(6221@)ปราสาทคูเซอร์
ทุกคนมีความสุขมาก และดื่มด่ำกันที่ปราสาทคูเซอร์(K u z e r cas t le) เว้นคิมานและลิเทลที่ไม่สูบบุหรี่ในคืนราตรีสโมสรนี้ และไม่กินน้ำเมา
แต่ลอร์ดคิมานและลอร์ดลิเทลชอบเนื้อย่างแกล้มที่หั่นสดดิบๆสุกๆอาจดูน่าแวดท้องแต่มีเม็ดยากันเชื้อไวรัสและเขาทั้งสองจะแกล้มตามมันกับโซดาและผักกาดสด (lucttace )โซดาที่เทใส่แก้ว
คิมานจำได้ว่าดูมันเดือดปุดๆผิดปกติ
มันเดือดปุดๆ !ที่แกะฝาจุกขวดโซดามีติดตัวมิคานเสมอแขวนคอไว้เป็นสรณะเลยทีเดียว
และจะเปิดให้ทุดคนได้ยินเสียโป้งเบิ้มเลยล่ะ!มันเหมือนเปิดขวดแชมเปญ (champagne)ทีเดียวด้วยแรงเปิดจะที่เปิดงัดขึ้นด้วยอุ้งมือตนเองเท่านั้น มันจึงจะคง ความสุขหฤหรรให้พลุขึ้นอันบรรเจิดจรัสได้มันจะระเบิดจ้า ทุกลอร์ดคนเมื่อได้ยินเสียงนี้มันจะมีความสุข มีจิตที่สมใจนึก จนทุกใจสะดุดมัน หลายคนลอร์ดที่มาร่วมงานที่ได้ยินคงไม่เชื่อว่า"นั่นเป็นเสียงโซดาที่ถูกเปิดขวดออกหรอก
ทุกคนคิดว่า"มันควรเป็นไวน์นอกอายุ100ปีที่บ่มหมุนเวีนมาหรือไม่ด็เป็นแชมเปญรสเลิศจากนอก
แน่นอน ที่ปราสาทคูเซอร์ก็มีมากมาย แต่รสนิยมต้องเอามาจากนอกแล้วมันจึงจะสมเกียรติกับราตรีสโมสรเช่นนี้
ไม่มีใครหันมามองเลย!
แต่ที่ที่คนที่มาร่วมงานไม่หันมามองเพราะลอร์ดทุกคนมีมรรยาทในการไม่เหลียวมองดูสิ่งประหลาดและทรนงตัวว่าที่จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเสียงดังอะรัยก็ตามที่มีอาการโป้งป้างเกิดขึ้น
ปรัชญานี้คือ ทุกชีวิยลอร์ดถูกสอนมาว่า"ตายสถานเดียวคนเราเป็นเช่นลอร์ด(ก็การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ดัวเหตุการณ์ที่ปะทะกัน การปฏิวัติ การล้มล้า
งระบบศักดินาในอดีตเป็นอุทาหรณ์) แต่การตายดังกล่าวมันรอเวลาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมาเป็นลอร์ดในที่นี้ทุกลอร์ดคนคิดอย่างนี้!ทั้งหมด
เสียงดนตรีแห่งความสนุก ในราตรีสงัดกลางป่ารอบปราสาทในฉากชีวิตฉากนี้
เมื่อใครได้ยินมีเช่นอาการอย่างนี้เช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนจะมีความรู้สึกสมานฉันท์และมันจึงจะมีชีวิต เหมือนทหารบรรเลงเพลงมาร์ชเพื่อนพลายทั่งหมดถ้าใครที่ได้ยืนฟังอยู่ ซึ่งเสียงแบบนี้แล้ว คือเพราะเสียงมันจะได้ให้พลังใจออกสู่สนามรบด้วยความกระหยิ่มแม้ในเวลาสันติภาพ ตอนนี้แต่อนาคตเสียงนี้มันคือการไม่กลัว
"ต่อเปิ้ลอ้ายศัตรูชาติ"กระนั่น
ใช่!"ทุกคนรู้สึกว่ามันกระตุกอารมณ์ดี" ในใจข้านี้!
ที่ลอร์ดมิคานประเมินเอา
"ขอดื่มถวายอวยพรให้กับทาสและแรงงานแห่งความเร่งและแรงเสียดทานทั้งมวล และแด่ทวยเทพเบื้องบนที่ตามนุษย์สามัญจะมองไม่เห็น
และตัวตัวข้าเองด้วย "จบ" คำสดุดี
ด้วยคำ
ไชโย!3ครั้งอย่างแรงอยู่ในใจของมิคานที่มิให้ใครรู้ นอกจากรอยยิ้มกริ่มประหลาดๆของข้าให้โลกภายนอกมองเห็นเท่านั้น"
เมื่อเวลาดึกคืบคลานเข้ามา...



-----_


ลิเทล4
"เรื่องของกาลเวลาและสายน้ำ""
ลิเทล4(8923)
          เรื่องเวลาแม้ว่าเป็น"มิติแห่งกาลเวลาและอวกาศ" ที่ทุกคนต้องยอมรับแม้เราสมมุติมันขึ้นมาเอง เหมือนปฏิทินพระเจ้าจูเลียสซีซาร์(Julius Caesar) ที่พวกโรมัน(Roman)เขา กำหนดขี้นมาแล้วใช้กันจนทุกวัน เพราะมันใช้ได้และจำเป็นยอมรับกันสากลไม่มีข้อโต้แย้งใดๆแต่ไหนแต่ไรมานี้
         แต่ที่ปราสาทนี่ คำนิยามทางฟิสิกส์ทั้งปวงที่มีในปัจจุบัน มันจะไม่มีความหมาย อะไรเลย ที่ปราสาทจะเคารพ นอกจาก"ก้อนขนมปังและไวน์แดงและน้ำชาร้อนเท่านั้นที่ปราสาทคูเซอร์นี้เคารพและบูชาว่านั่น
"นั่นคือมิติแรกของสรรพสิ่ง"
       ก็ในเมื่อแรงปะทะจากแรงงานของทาสที่เป็นขบวนยาวเหยียด นั่นมันคงสั่งให้ทุกชีวิตที่ต้องเดินออกนอกบ้านต้องดูและต้องใช้นาฬิกาในการดำรงชีวิตโดยไม่ผิดเวลานัดหมายไม่ว่าอะไร
นาฬิกาคือความเป็นกลางของทุกชั้นชนแล้วบัดนี้เวลาและที่เกิดจากเข็มนาฬิกา"มันไม่มีพรมแดนมันไม่มีภาษา มันไม่มีสีผิว""
 มันคือดวงตะวันอีกดวงหนึ่งของทุกคนในโลกของมนุษย์นอกจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
      ตัวเวลาจึงเป็นสิ่งศักสิทธิ์สำหรับทุกๆคน ตัว เวลามันสำคัญกว่าศาสนาและการปกครองและความหิวและแรงงานและความสุข" มิคานเชื่อ""เพราะว่าตัวเวลานี่เอง มันกำหนด หน้าที่ของศาสนา กำหนดเวลาของการปกครอง ตัวเวลา
กำหนดให้ความรักได้พบกันได้อย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ก่อนวันแต่งงานของคนรักกันจริงจะมาถึง
และตัวเวลามัน"ไม่เคยบิดพลิ้วและพูดปดได้""


     แต่ ลอร์ดมิคานไม่เคยใช้นาฬิกา กระทั่งจนมาพบกับลอร์ดลิเทลในภาวะครึ่งทาง นี้นาฬิกาจึงถูกกำหนดให้ชีวิตของมิคาต้องเปลี่ยนไป
คือมิคานต้องใช้มัน
      จะว่านาฬิกาคือตัวจักรกลของสัมคมพลวัตรและมีปฏิพัทธิ์ต่อกันกับเพื่อนมนุษย์และที่จะธำรงอยู่อย่างสงบไม่เดือดร้อน
    มิคาน พบว่า  เวลานี้ละเป็นตัวกำกนดที่จะทำให้สังคงมนุษย์มีระเบียบก็ได้ เพราะถ้ามีนัดกันกับเฟรนด์สาวมันต้องมีนาฬิกา เป็นอนุญาโตตุลาการให้ว่าใครที่เที่ยงตรงตาม
เวลานัดหมาย และถ้มมาตามนัดได้"นั่นคือการพิสูจน์รักแท้""
         
       ลอร์ดมิคานคิดเพ้อเจ่อต่อไปว่า
       ก็เทียบเป็นเหตุผลให้ฟัง อาทิ เช่น ประจำเดือนของสาวๆมันจะมาตรงเวลาเสมอน่ะ
     ประจำเดือนหรือที่สากลนิยมเรียกมันว่า"เมนส์"(mensturation -blood period as a duty for a woman) สิ่งนี้มันไม่มีคำว่าการผลัดวันประกันพรุ่งนะ! มันเป็นกลไกทางชีวะของเพศหญิงทุกคนแต่ผู้ชายมันไม่มีสิ่งนี้
   
          สรุปเวลาสำคัญเพราะเวลากำหนดวันเดือนปีและศตวรรตให้ทุกคนกำหนดนับยืดถือได้และได้เป็นอมตะเพราะฉะนั้น เวลาจึงอมตะมันไม่ตาย
คนเกิดมาแล้วก็ตายลง แต่"เวลามันคงอมตะต่อไป" มันไม่ตายตามมนุษย์ไปด้วย เมื่อมนุษย์แต่ละชีวิตตายลง
      
          แต่มิคานไม่มีวิ่งที่เรียกว่า ว่าเวลาและไม่ชอบนาฬิกาบอกเวลาแต่เคารพเทพเจ้าแห่งเวลาาด้วยดีนอกจากมโนธรรมแลความจริงเท่านั้นที่มีอยู่
จริงสำหรับมิคาน นอกนั้นมิคานไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง ทุกอย่างรอดออกมาจากเวลา
"นี่คือความเชื่อของมิคาน
และมิคานเชื่อต่อไปอีกว่าโลกนนี้เป็นมายา ด้วยเหตุนี้เอวชีวิตลอน์ดมิคานจึงฟุลสต็อปไว้เท่านี้
และเห็นชีวิตตนเองมีความสุขดี และได้กินน้ำค้าง
         ที่เทือกเขาโอเฟ ทุกเช้าและวันก็พอใจแล้ว นอกนั้นกินมรดกบุญตนเองก็รอดได้ แต่คนอื่นที่ไม่มีปรัชญาอย่างมิคานๆเห็นพบแต่คนเป็นทุกข์และผิดหวังฆ่าตัวตายไปมากหลาย เพราะเพ้อฝันวาดฝันแต่แล้วไม่จริง
อีกด้วยและไม่เชื่อว่าโลกนี้เป็นมายาอีกด้วย
ทำงัยถ้างั้น!
          ก็เพราะการสันนิษฐานว่าโลกนี้มันเป็นมายา เมื่อทำอะไรเข่นสอบได้สอยตกเป็นเรื่อวตลก แทนที่คิดว่าถ้าสอบต้องได้ที่หนึ่งเพราะเราเป็นลอร์ดอภิมหา
มนุษย์ แต่เมื่อทำเสร็จผลปรากฏว่า"สอบตก""
นี้ประการหนึ่ง
หรือบางคนลงทุนปลูกกาแฟ
แต่ผลคือขาดทุน ก็ผิดหวังถ้าเร่เห็นมันเป็นมายา จะขาดทุนหรือกำไรไม่รู้แต่ทำให้ดีที่สุด
       อย่างงี้จึงจะเรียกว่า"ชีวิตนี้เป็นมายา"นี่คือการตีความของลอร์ดมิคาน
จนมิคานเขาได้มาพบกับลอร์ดลิเทลที่เทือกเขาโอเฟในวันนั้น
          เพราะนับแต่มิคานเกิดมาไม่เคยมีนัดกับใคร นอกจากแสงแห่งดวงตะวันเท่านั้นมาตรฐานที่สุด
หลายคนอาจคิดว่ามิคานเป็นมนุษย์หมาป่าใน
จินตนิยาย หรือเรื่องแปลกแต่จริง แต่นี่มันเกิดขึ้นแล้วและมีจริง ในสังคมกลุ่มหนึ่ง
       "   ใช่มันเป็น"
แต่สำหรับมิคานถ้าจะให้แน่ระบุชั่วโมงนาที
มิคานก็ใช้"นาฬิกาแดด"(มีเข็มติดกำแพงมองดูเวลาจากเงาเข็มมิใช่มองเข็มที่ทำด้วยเหล็กส่วนมาก) ตอนขณะที่มิคานเรียนที่มหาวิทยาลัย
           และตั้งแต่เกิดมามิคานไม่เคยเป็นคนประสบภัยที่ต้องใช้นาฬิกาเลย แต่ทุกคนภายนอดโลกส่วนตัวของมิคานนั้นถือว่า"นาฬิกาคือเจ้านาย"ของตน
        ถ้ามิคานมีนัดกับแฟรนด์(friends)ก็มีวาระเดียวเท่านั้นคือความตาย
       มิคานโชคดีที่เกิดมาไม่เคยมีภาระกิจอะไรและอะไรเลยนอกจากสิ่งที่ตนเองมีคือลมหายใจและพลังจากร่างกายและมันสมองที่ฝึกปรือมา นับจากเกิดมา 
   
        นี่คือสิ่งอันเป็นอัจฉริยะและเป็นพรสวรรค์ของมิคานที่ในกลุ่มชนบางท่านเคยแวดงความเห็นและบอกว่า "นี่เป็นบุญแต่ชาติก่อนแน่นอน"
และที่สำคัญมิคาาไม่เคยพบอุบัติเหตุในชีวิต
และเป็นไข้ต้องเข้าโรงพยาบาลจากชีวิตที่เกิดมาจนบัดนี้แต่มิคานบอกว่า"พรุ่งนี้ไม่รู้อย่างไร"
         หลายคนบอกว่ามิคานเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งมาเกิดเพื่อดูว่า"โลกมนุษย์เคียงข้างเธอไปกันถึงไหนแล้ว" มิคานจึงเป็นโอมบัสแมน(omni-budsman)  ผู้ตรวจการมนุษย์โลกของสวรรค์
       แต่มิคานไม่เคยทรนงตัวว่าตนมีสิ่งแปลกที่ตนเป็นแต่ตรงกันข้ามลอร์ดมิคานกลับรำลึกถึงความตายอยู่ทุกเสี้ยววินาที ไม่เคยคิดว่าตนมีเทวาภิสิทธิ์นิยมอะไรในตนเอง
มีตอนหนึ่งมิคานพบผีในร่างมนุษย์
และคิดว่าตนจะถูกฆ่าตายทันใดนั่นเมื่อเหตุการณ์ไม่น่าคิดถึงก็เกิดขึ้นน่ากลัวและหวาดเสียวตำรวจหรือคนพยานเห็นคงช่วยอะไรไม่ได้
        นอกจากคำวิงวอนและคำร้องขอชีวิตที่มิคานน่าจะทำ และคำมั่นสัญญาที่ศาลอาจจะให้ต่อผีเร่ร่อนอย่างพวกมัน
       ทันใดนั้นมิคานก็หลับตาลงเอาละถึงเวบาตายของเราแล้ว "ก็จงตายไป" มิคานจะไม่ต่อสู้ไม่คัดค้าน ทันใดที่มิคานลืมตาขึ้นอีดครั้งเจ้าผีเร่ร่อนเทียบเท่าปีศาจร้ายนั่นก็พลันหายไปจากสายตาของมิคานทันที
         และแต่นั่นมาเแนเวลานานมากมิคานไม่เคยเจอปัญหานี้อีกเลย  แสดงว่าผีหรือปีศาจที่มิคานพบมาในร่างมนุษย์ตนนั่นต้องมีสมาคมมมีองค์กรที่
        เป็นอะไราสักอย่างที่มีปรัชญาในการทำงานว่า
"จะไม้รังแกและทำผีหลอกกับมนุษย์คนที่ไม่สู้และกลัวและพร้อมตายถ้าถูกแกล้งหรือถูกกระทำ"
         แล้วลอร์ดมิคานก็ได้พบกับเลดี้กีด้า(Gree- d ar)ที่ที่ปราสาทโนวาอันเป็นบ้านพักซุกหัวนอนนะดับกิตติศักดิ์ของลิเทล
มันอบู่บนภูเขาสูงมีน้ำไหล
           มิคานจำได้เท่านั้น สั้นกรึ่งคืนมินสยพีกมีทยี่นอย่สงสงบจำได้ว่าห้อฝสะอาดโปร่งใสสีจางแบบทุกอย่างตามธรรมชาติมอบให้และเท่าที่ธรรมชาติมี
     ในห้องไม่มีอะไรนอกเสียจากจากน้ำบริสุทธื์ขาวใสหนึ่งขวด มิคาน เชื่อว่าน้ำมันคง"ปราศจากเชื้อโรคแม้แต่คลอรีน"ก็คงไม่มีแต่ลอร์ดมิคานก็ไม่กล้าดื่มมันทันที เพราะสัญชาตญาณที่มิคานต้องแวดระวัง จากนิยายที่เคยอ่าน มันอาจจะมีฉี่แม่มดผ่านติดมา เพราะแม่มดดงผีนั้นไม่ชอบมนุษย์ผู้ดี และคนชอบแสวงหาความจริง
คนพวกนี้แม่มดถือว่า"รู้มาก"
       แต่เราไม่มีตาทิพย์เสียด้วยนอกจากตาปัญญาทางวิทยาศาสตร์อาจจะมีบ้าง"ที่มิคานรู้"
และแม้แต่ทาสที่นำน้ำมาวางไว้ในห้องก็ไมรู้
และที่สำคัญพวกทาสไม่รับผิดชอบถ้ามีการตายเกิดขึ้นเพราะกินน้ำมีพิษเข้าไปเพราะพวกทาสถือส่าคสามตายคือดารสิ้นสุดเข่ไม่เสียใจอะไรกับแขกทีทมาพักหรอก "มิคานเดาเอา"
           สรุปมิคานไม่ดื่มมันทันที ไม่เหมือดหยาดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟนั่นแน่นอน "ไม่มีพิษและปลอดภัย" มันไม่เปื้อนขี้มือพวกทาสและมันใสสะอาดตามตาเราเห็นประจักษ์ชัแจ้ง"
        ปกติลอร์ดมิคานเป็นคนว่านอนสอนง่ายแบบดนตรีบรรเลงในเสียงเพลง เชื่อคนง่าย แต่ที่คิดระแวดระวังตัวมากเพราะว่าตาปัญญาเป็นศาลสูงสุดให้ตนเองว่าจะทำอะไรจงใช้มโนคติที่สูงได้กว่าสติ
จึงค่อยทำลงไปเป็นปรัชญ์ และมิคานมิใช่เป็นคนโรคจิตขี้หวาดระแวงอะไรก็หาไม่!
           ภาพวาดสีน้ำติดกระจกกรอบคลาสสิคไม้สักโบราณห้อยแขวนอยู่ข้างขวา ภาพโทนเย็นหมดเป็นภาพน้ำทะเลสีครามอ่อนๆกับเรือหาปลา 1ลำมีธงสีแดงที่หัวเรือ แต่มิคานไม่เห็นลายเซ็นคนวาดและืนินเนียบร้อยเป,'!?
เครื่องที่นอนที่มีหมอนสีขาวเป็นจุดเด่นของห้องมีผ้าห่มและผ้าปูที่นอนขาวหมด  แต่ห้องไม่มีกลิ่นดอกไม้แห้งวางไว้เท่านั้น
            มันสุดสะอาด "มิคานอุทาน"
         นี่ถ้าเราวานจ้างหรือจ้างทาสมาทำความสะอาดห้องนี้หรือให้เราทำเองคงหลายวันเสร็จถ้าจะให้เราทำได้ตามที่ตาเห็นอย่างนี้
เพื่อทำให้ได้ระดับต้องใช้เวลาหนึ่งวัน กินเวลาหลายชั่วโมงจ้างทีเดียว มันเป็นความสะอาดระดับ"โรงแรมห้าดาว"ที่ลอร์ดมิคานเคยไปพักมา
ที่โรงแรมชาย"ทะเลมิฟอน"ที่ชื่อว่า"โรงแรมทาเรส" ใน"เมืองคิฟคอฟ"โน้นทีเดียวนะเนี่ย!
"มิคานได้หลับสนิทที่นี่""

  
        อีกสักครู่หนึ่งมิคานง่วงนอนอีกอยากจะหลับอีก และม่อยหลับไปได้สักพัก ที่กลางห้องโถง ก่อนที่ลอร์ดลิเทลจะมารับไปห้องนอนจริง
เหนื่อยไหม!
เป็นงัย!
สนุกมั้ย
ไปเราไปนอนที่ห้องชั้นบนกันเถอะ "ลิเทลถาม"
"ผมจะพาไป""
อย่างงัยก็ได้ผมไม่ถือนะ่ ลอร์ดมิคานงัวเงีย
ตื่นตระหนกพูดตอบโต้
ถ้าคุณชอบผมปล่อยคุณเอนหลังถึงพรุ่งนี้ก็ได้น่ะ
"ลิเทลถามความสมัครใจ""
พาผมไปทีาห้องชั้นบนที่เขาจัดไว้ก็ดีเหมือน
ถ้าคุณจะพาผมขึ้นไปชั้นดาดฟ้าลนประสาท ผมไปได้น่ะถ้าคุณว่างพอ"มิคานพูด"
ตรงนี้โซฟามีท่านหญิงหลายท่านชอบเดินผ่านมา
ดูมันน่าอายมิใชน้อย"มิคานพูดปรารภกับตนเองและสำนึกในเหตุการณ์บรรยากาศดึกมากแล้ว ซึ่งมันจวนจะใกล้อยู่รุ่งแล้ว""
ลอร์ดลิเทลตอบว่า"ถ้าอย่างงั้ย ขออนุญาตฉันพาคุณขึ้นไปนอนที่ห้องนอนของแขกที่ยอดประสาทน่ะ"
"ตกลงครับ"
         ทิ้งให้งานสโมสรที่หล่ยคนยังไม่หายอย่กจะคุยกันเพราะปีหนึ่งเขาทั้งหลาบะมีเหตุนี้เท่านั้นที่มันจะเจอกันได้ครั้งเดียวเท่านั้น 
ทั่งคู่จึงพยุงตนเองขึ้นไปยอดปราสาทซึ่งมีบรรไดใหญ่เกว้างเท่าเขา
ทั้งสองพากัรถ่อสังขารมาในงานนี้
     จึง   ปล่อยทิ้งบรรยากาศแห่งการสรวลเสเฮอาตามประสาผู้ชายกันต่อไป ไม่มีสุภาพสตรีสักคนเดียวเหลืออยู่เวลานี้ที่ห้องโถง
      ทำให้ มี ส่วนของเสียงเอะอะโวยวายอย่างลอร์ดลี่(Lordly)ยังคงมีต่อไปที่ห้องโถงของปราสาท
      มิคานคาดว่าะวกเขาคงคงจะโต้รุ้ง แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ ถ้ามีมี ก็มีหมอศัลยกรรมผ่าตัดร่วม
มาด้วย  รวมทั้งหมองูมีประจำที่เพราะที่ปราสาทคูเซอน์  นี้มันห่างจากโรงพยาบาลถึง100 กิโลเมตรไกลทีเดียว
       
      แต่คืนนั้นไม่เคยเกิดเหตุพิพาท และตามประวัติก็ไม่เคยมี  หรือเคยมีอะไรแม้การแย่งคู่สนทนา  หรือปัญหากับสครีเพศที่มาร่วมงานด้วยเลยแม้แต่น้อย  นอกจากความสนุก นับจากที่งานราตรีสโมสรนี้ก่อตั้งมากว่า2,500 ปีแล้ว
นักประวัติศาสตร์ไม่บันทึกอะไรไว้เลยหรือว่า
ปกปิด แต่มิคานคิดว่าเขาคงไม่ปกปิด หากมีอะไรเกิดขึ้นแต่ละครั้งปีที่จัด มันหลายชั่วโคตรคนทีเดียวน่ะและเมื่อมันไม่มีเหตุร้ายอะไรเลย ก็แสดงว่าสโมสรสมาคทราตรีนี้มีความเป็นโนเบลตี้ (Novelty=อย่างมีเกียรติยศอันสูง)อย่างแท้จริง
      
        ที่โต๊ะสนทนา ไม้โอค์และไม้สักทองเก่าแก่หลายตัวที่เป็นทรัพย์สินประจำปราสาท และห้ามมีการเคลื่อนย้านเด็ดขาดเป็นพินัยกรนม นับแต่วันสร้างปราสาทเสร็จจนบัดนี้
      และลอร์มิคานสังเกตดู  เหมือนว่ามีสองลอร์ดดูจะเป็นเพราะถือไม้ถ่องาช้างมาด้วย เขาดูจะชราๆชรามาก  แต่ทะมัดทะแมงพอเทียบเป็นแรงของคนแก่ของลอร์ดสองรายนี้   แรงนั้นมีพลังงานที่พอที่จะเตะหมาให้ร้องไห้ได้  "ถ้าท่านจะทำ""
       และเพราะไม้ถ่อนั่นเองที่ทำให้ที่แนกำลัง
อันมีพลังให้มีภาพที่เขาสูบซิการ์มวนใหญ่กว่าด้ามไม้กวาด เขากำลังนั่งคุยกันสองคนอย่างมีสมาธิดุจการประชุมลับของผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อวางแผนประกาศสงครามอย่างงัยอย่างงั่น แต่เปล่าหรอกที่นี่ไม่มีสงครามและสันติภาพ
"ที่นี่จะมีคือแต่เฉพาะสงครามชีวิต"" ลอร์ดโดฟว์เคยยืนยัน และโลกของสงครามและโลกของสันติภาพไม่เคยมีที่ปราสาทครูเซอร์
     
          สองลอร์ดนั่น นั่งพึมพำๆกันอยู่  แต่ที่จริงเขาเป็นคนวัยกลางคนเฉียดๆชรา  ที่น่าสงสารเห็นจะได้ เพราะร่างเขาดูเหมือนมีโลงผี  ไม้สักแสนเบาที่พกพามาอยู่ในรถม้าด้วย เขาจะมีมันในเวลาเดินทางไกล  กรณีเขาขาดที่นอนที่เขาชอบ แต่ถ้าสมมุติเขาตายลงในขณะเดินทาง
       โลงผีไม้สักที่เขาพกพามันสวยแววตา
ดังอาบด้วยชะลกเกอร์(s h a l e c k e r =น้ำมันทาไม้แววชนิดหนึ่งในยุคใหม่  แต่ของโบราณที่แววมิได้ใข้สิ่งนี)ทีเดียวด้วยนี้ละ!นี่คือเพื่อนรักของเขา "ลอร์ดโดฟว์ยืนยัน"กับผู้สนเท่ห์ที่ไร้เดียงสาทั่วไปแต่ไม่เคยมีใครถาม 
            จะมีก็ทาสหลังค่อมคนหนึ่งพบท่านเข้า
ก็แย้มสรวลออกมานิดนึงแล้วก็ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวอมยยิ้มกับต้นไม้
"มิคานคิด"
 
     และเขาทั้งสองจะพูดส่งสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดนสำเนียงพูดเป็นภาษาต่างประเทศแต่เขาก็เป็นชาวลิเทลปกติเท่านั้นที่ๆปราสาทคูเซอร์ตั้งอยู่
     "มิคาน"ฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกัน แต่สำหรับถึงแม้อะไรจะเพี้ยนไปสักเพียงไร
มิคานก็ไม่เงี่ยหูฟังมันว่า"เขาคุยอะไรกันสิ่งที่มิคานระวังก็คืออะไรบ้างจะหล่นใส่หัวเขา
     แผ่นดินจะไหวพังปราสาทคูเซอร์ในคืนนี้หรือไม่ หรือปัญหาเฉพาะหน้าที่ใกล้ตัวเขามากที่สุด
     และที่มิคานห่วงมากคือเหยือกของยอดน้ำค้างที่เทือกเขาโอเฟเท่านั้นที่สำคัญสำหรับมิคาน
แต่มิคานก็เชื่อว่า
สองท่านลอร์ดนั้นเป็นลอร์ดสมัยดึกดำบรรพ์และอพยพไปอยู่ต่างแดนมาสำนวนภาษาของท่านจึงเพี้ยนไป
      แต่มิคานฟังว่า:
   




ลิเทล5(6730)
ลิเทล5" รวงข้าวสีเหลืองทอง

      เขาจะเครียดตาย คืออยากจะตายไวๆแล้วไปตายและเกิดใหม่อีกครั้งและท่านอยากเกิดเป็นชาวนา เพราะว่าเป็นชาวนาจะได้เห็น
ทุ่งนาฟ้ากว้างกว้างตลอดเวลาเห็นนกนาบินแทนการเห็นทาสปู้ซื่อสัตย์และทหารหมัดกล้ายืนถืออาวุธอยู่หน้าวัง
         และได้เห็นความเขียวของนาและเมฆฟ้าสีครามเทาสวยงามสลับกัน และเห็น
ทุ่งท้องของนา เมื่อวาระ ที่ข้าวรวงในนาข้าว(rice farm) แก่จัดเป็นสีเหลืองทอง แลดูอร่ามตา ยิ่งเมื่อยามถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์อ่อนยามเข้า  ข้าวนี้ไม่ว่ามาจากสายพันธุ์อะไร  มันก็ดูศักดิ์สิทธิ์ไปหมด

       และสุกมาถึงหม้อคนกินจรดเมล็ดข้าวสุกที่ติดเหลือกับจานคนล้างเป็นอาหารวสาดไปให้ลูกไก่หิวได้กิน และ ก่อนที่ข้าวจะแปรเป็นขนมปังที่เราใช้เช็ดถ้วยน้ำซุ็ปกินตอนเช้า และมื้ออื่นๆในวัง
      
          ชีวิตทาสมันคงสนุกและชีวิตชาวนามันคงสนุกมากเพราะเแนชีวิตที่ไม่มีมายา
ทาสและชาวนามีแต่ความเหนื่อยและความกลัว
และความง่วงนอน แต่เราตอนนี้กำลังนุ่งห่มมายา
ลอร์ดคีโตพึมพำใส่กันกับวาระจิตที่ทะเลาะกันเองอยู่ในใจ แน่นอนความรู้สึกส่วนตัวนี้
ลอร์ดมิคาน(M i k an) จะไม่บอกให้ใครรู้เลยนอกจากความเงียบที่แฝงด้วยสัจจธรรม  ที่มีในตัวของมันและในตัวลอร์ดเอง
     ลอร์ดอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ:
 "มิใช่หวังว่าตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในปราสาทหลังเดิมเพื่อรับพินิยกรรมข้ามชาติที่บรรพบุรุษทำให้ไว้ก็หาไม่""
       "แต่เราอยากตายไวๆ ทว่าแต่มิใช่การฆ่าตัวตายนะ"ลอร์ดอีกคนพูดย้ำ" แล้วอีกคนก็หัวเราะ
        และถ้าได้เกิดเป็นชาวนาจะได้จับเคียวเกี่ยวข้าวจากทุ่งท้องนาที่เป็นสีทองมีนกกระจิบบินเแนฝูงมาช่วยทำและเป็นเพื่อน ใช้ชีวิตเหมือนดังมโนภาพที่ศิลปินวาดอย่าง
"ฟานกอฟ" ชาวดัชแห่งฮอลแลนด์ได้วาดไว้
     
      ปัจจุบันชาติเราเป็นเจ้าเป็นขุนมูลนายมีทาส
แต่ทาสหลอกลวงเราตลอดเวลาไม่เคยพูดความจริงให้เราฟัง "ฉันเดาเอานะ" เพราะเครื่องจับเท็จของทาสในระบบวาระจิตวางแผนล่วงหน้า ยังไม่มีใครคิดได้เหมะเจาะสักที
  
        "เราจึงขอเดาจากข้อเชื่อไปก่อนนะ"
ย้ำว่ามันยังไม่เหมาะเจาะอะไรเลยตอนนี้"เราจึงขอเดา"
         ที่จริงชาวนายังแข็งแกร่ง ชาวนายังเป็นนายของมนุษย์เสือโคร่งยังคงกินคนเป็นเหมือนเดิม
งูยังแอบกัดเราตายเหมือนเดิม แต่ที่เห็นว่าสัตว์ดุร้ายมันเชื่องนั่น ก็เพราะ"ยาฉีด"ที่เราทำมิใช่สันดานของมันที่มันจะเป็นมิตรที่ดีกว่าเรา
นะคุณ" 

        อย่าไว้ใจมันขณะเดียวเกลียดและกลัวมันไว้ก่อนเท่ากับว่าการไม่ไว้ใจตนเองดีที่สุดตามคติธรรมที่เราเคยเรียนมา"
และกล้าแข็ง กำลังมียืดยาวมาก เขาพร้อมจับเราไปสับคอทิ้งได้ถ้าเขาจะทำ เหมือนนิยายที่เป็นภาพยนต์แล้ว  ที่น่ากลัวหวาดเสียวและตื่นเต้นและเกิดขนลุกขนชันชนิดพองขนเลยล่ะ! ถ้าใครได้ชมมัน  หรือเมื่อใครมีโอกาสเมื่อไปชมมัน 
แต่ลอร์ดทุกคนที่นี่ นี่เขาทั้งหลายไม่ชอบดูหนังจะชอบก็แต่ฟังโอเปรา(opera) เท่านั้น

        ใช่!เมื่อมีเหตุการปฏิวัติชาวนาขึ้น  "สมมุติว่ามี"ตามจินตนาการเชิงลบ" แต่มันยังไม่เคยมี  เมื่อชาวนาเขาไม่พอใจค่าแรงที่เราจ่าย เขาจะอุ
ธรณ์ด้วย "วิธีการปล้นและฆ่าพวกขุนนางอย่างเลือดเย็น"" แม้จะไม่เคยมี จะมีก็กรณีโจรสลัด
ปลเนเรือขนเพชรและทองคำและเหล้าหมักอายุ100ปีทางทะเลลึก ที่มีเรือเดินสมุทรผ่าน
ในอดีตเคยมีเรื่องนี้

      และที่จริง ลอร์ดมิคาน"ทราบว่าชาวนาลำบากมาก" และน่าสงสาร"
ชาวนาเหมือนแร่ที่รอการถูกสกัดพวกเขามีกำลังกายกำลังใจที่แสนจะลำบากยามเขาถูกใช้และบังคับให้ทำงานด้วยค่าแจ้างเพียงน้อยนิด
เหลือเแนส่วนเกินให้นายทุนรีดเอาไปหมด แม้พวกเจ้าจะเป็นอีกฝ่ายคอยประณีประนอมและรับเงินส่วนเกินมาบ้างด้วยอำนาจเทวสิทธิ์

        ชาวนาเขาลำบาหในชีวิตประจำวัน แต่เขาไม่บอกให้เรารู้ เพราะเป็นมรรยาทของกรรมกร
เนื่องจากว่าปรัขญาการทำงานน่ะ"มันต้องลำบากแน่นอน ใครบอกว่าสบาย" แต่หลายกลุ่มแรงงาน
ใฝ่ฝันเพื่อทำความดีสุดขีดเพื่อจะได้เกิดมีอำนาจเทวสิทธิ์อย่างนายทุนและขุนนางบ้างในชาติต่อๆไป แทนการคิดกบฎหักล้างพวกเจ้าและนายทุน
ที่ขูดรีดเอาส่วนเกินเขาไปตามทฤษฎีปรัชญาทุนนิยมฝ่ายซ้ายสุด(เช่นลัทธิคอมมิวนิสต์=communism เป็นต้นจะพบในหลักสูตรการเมืองการปกครอง ในระดับมหาวิทยาลัย)
   
       ลอร์ดมิคานเคยคิดว่า "  เราจึงอยากตายไปเกิดใหม่แล้วไปเกิดเป็นชาวนา"  จึงจะได้รู้ความจริงว่าชาวนาลำบากกันอย่างงัย การเดินขบวนเพื่อขอค่าแรงนั่นมันเป็นเพราะอะไร และเหตุอะไรกันแน่และกันแน่! ว่ามันเกิดจากการเมือง
การปกครอง หรือระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการเอาเปรียบ หรือว่าอะไร? ลอร์ดมิคานสงสัย
      มันเป็นการเมืองหรือความอดอยากหรือเป็นทั้งคู่ โลกจึงไม่สงบเหมือนดั่งภาาพวาดสักทีแต่เราถูกทาสข้างเคียงเราหลอกว่า"ทุกคนสบาย ทุกอย่างสงบเรีบบร้อยแต่ที่จริงโลกกำลังร้อนระอุดั่งไฟแต่ฉาบทาด้วยากมอกอละน้ำทะ่ลสีคนงรสมเป็นธรนมชาติและทะเลสีครามมันพูดไม่เป็น
         นอกจากการทำคลื่นกระทบฝั่งให้
เราเห็นตลอดเวลา ไม่ว่า จะร้อนอ่อนหนาวเย็นยังงัยทะเลก็ยังครวญเหมือนเดิมทะเลไม่เคบปริปากพูดอุทธรณ์ว่าเราเหนื่อยหรือเจ็บปวด
อีกสักครู่ต่อมา
ลอร์ดบลิเทลมา!

        เดินเข้ามาและมาปลุกมิคานที่กำลังหลับสไศลอยู่อย่างหมดสติ ตอนเงีายหูฟังสอวลอร์ดผ๊เฒ่านั่วคุยกัรฟังไม่ได้สัยได่แสงจนืำให่มิคานมีสมาธิเงี่ยหูฟังว่าเขาพูดอะไรกัน

         หรือว่าจะพาเรามิคานไปเผาย่างกินจิ้มน้ำซอสหอยนางรมกินกันในค่ำคืนคืนนี้ตอนดึกหรือไม่!  เพราะที่ปราสาทคูเซอร์นี่มองอีกทีมันลึกลับมหัศจรรย์

        และน่ากลัวมากสำกรับคิมานตอนนี้ มิคานนรู้สึกเมื่อเวลาดึกผ่านเข้ามามาก และไร้สตรีผู้มีธรรมชาติอ่อนโยนและเมตตาและไร้ผู้คนมากมายเหมือนตอนเริ่มงานราตรี"วิทวัส"เป็นพยาน
   
          เราคิมานแม้จะเป็นลอร์ดคิมานผู้อาภัพก็จริง แต่สันดานมนุษย์เมื่อนึกสนุกและโมหันต์ขึ้นมา มันก็อาจจะกินคนได้เหมือนกัน เหมือนมนุษย์กินคนที่แม่น้ำอเมซอน ที่ทุกคนเชื่อว่ามีจริง 
"แม้คิมานกำลังคิดมากไป และฝันร้ายไปเพราะได้ยินสองลอร์ดชรานั้ยพูดเป็นสำเนียงเพี้ยนเป็นคนต่างแดน"

         ลอร์ดมิคานผงะตื่นขึ้นมาแบบอารมณ์งัวเงีย
ลิเทลถามว่า
"เป็นไรมั่ย"
ลอร์ดมิคานตอบว่า
ทุกอยางดูเหมือนว่าจะโอเคหมด

         ลอร์ดลิเทลจะพามิคานไปพักที่ห้องดาดฟ้าของปราสาทคืนนี้ที่เรียกว่าแอททิค-สมอล(attic small) คล้ายเพนท์เฮาส์(penthouse)
    " กลัวผีหรือเปล่า"
ลอร์ดมลิเทลถาม
มิคานตอบว่าแบบ" อมยิ้ม"ตอบ"
  มิคานไปหลับพักผ่อนที่ปราสาทชั้นบนทำให้สมาธิดีขึ้น

          มี"ท่านเคาน์เตส"(countess)สาวสวยคนหนึ่งที่มาในงานนี้ด้วย"มิคานเห็น"ท่านเคาเตยท่านนี้ม่เคาะประตู3ครั้งที่หน้าห้องนอนของมิคาน
ประตูห้องมิได้ลงกลอน
มิคานคอบรับว่สา"เข้ามา"
ตอนนั้นมันดึกมากแล้วดึกมากเลย

         พอจวนจะรุ่งสางของวันใหม่
มิคานกล่าวว่า
"หวัดีตอนเช้า"ด้วยอารมณ์แจ่มใส
เพราะเธอเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์
เธอบอกกับมิคานว่า
อยากจะคุยด้วยเพราะว่า
มิคานรูปหล่อและน่ารัก
เคาเตสสโลเนียจึงเอ่ยถามต่อไปว่า
มิคานเป็นใคร?
มาจากไหน?

            คำถามนี้เป็นคำถามแรกที่ถูกผู้หญิงถาม เพราะในชีวิตมิคานไม่เคยถูก
ถามแบบนี้มาก่อน
   แม้ลิเทลยังไม่เคยถามแม้ไม่รู้ว่า
มิคานเป็นใครมาจากไหน
หรืออย่างไร?

        ลิเทลรู้เพียงแค่เห็นมิคานเดินอยู่ข้างทางไปสวรรค์สายสอง และมีโคลนเปื้อนเท้าที่เส้นทางไปสวรรค์มันต้องผ่านทุ่งน้ำค้างโอเฟก่อนที่ลิเทล

         จะเดินทางมา ร่วมงานราตรีสโมสรวิทวัสปนะจำปีที่ปราสาทคูเฟอร์เท่านั้น
มิคานเมื่อถูกเธอถามว่า
เธอมาจากไหน
ชื่ออะไร
และอย่างไร

      เหตุที่เธอถามอย่างนี้
เพราะเธอเชื่อว่ามิคาน
ต้องเป็นลูกขุนนางสกุลใดสกุลหนึ่งแน่นอน
จึงถามอีกครั้ง

       เมื่อมิคานแสดงออกว่าไม่อยากให้ใครถามคำนี้และสงวนไม่ตอบมัน
แต่บอกกับเธอว่า
ประมาณนั้นแต่อย่าไปพูดถึงมันเลยความหลัง"ปมเป็นเจ้าก็จริงแต่บังเอิญช่างอาภัพอัปภาคย์อย่างสุดเหลือ  และลอร์ดมิคานเงียบไม่อยากที่จะอธิบายอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอะไรให้เป็นสิ่งเป็นอ้น"
   
        ขอเป็นแค่คนมนุษย์ธรรมดามีอากาศหายมจแฃะชอบกินน้ำค้างเป็นอาหารก็พอ นอกนั้นตามตาเห็น แล้วแต่ใครจะคิดอะไรอักนอกนั้น เท่านี้ก็พอแล้ว  แต่เป็นมนุษย์ที่รู้จักแปรงฟันก่อนนอนตื่นนอนแล้วรู้จักล้าวหน้า ผ้าเสื้อรู้จักซักและทำความสะอาดเป็นมาตรฐานเป็นพอ

         รักความสะอาดและเป็นคนมีมโนธรรมเท่านี้ก็พอ นุ้สำคัญมากคือความสะอาดและมโนธรรม

          ลอร์ดมิคานไม่ขอตอบคำถามเป็นตรรกะแบบนี้
ท้ายสุดเธอถามว่ามิคานชื่ออะไรจริงๆ

        "ผมชื่อลอร์ดมิคานแห่งคลิงวู้ด(เมืองลึกลับที่สูญหายไปแล้วเพราะถูกทำลายจากพิษของสงคราม) จาก
คนใกล้ชิดบอกผมมา "มิคานสารภาพ""
    
          แต่ผมเป็นลอร์ดผู้อาภัพออกจากบ้านมานับจากวันคลอดจากท้องมารดา และไปทั่วตามชีวิตและชะตากรรมกำหนด
     เหลืออย่างเดียวตอนนี้และตอนนั้น
แต่ผมไม่เป็นขโมยและเป็นโจรสะอย่างเท่านั้น "คุณคงเข้าใจ"
"อย่าไปพูดถึงมันเลยมันยาวมากถ้าจะเล่าชีวิตและชะตากรรมเของผม
ให้คุณฟัง
"เธออมยิ้ม""
เคาเตสโลเนียนั้น

          สวยน่ารักวัยสาวเกินขนาดาวัยสะรุ่นนิดๆแล้วมิคานจึงเฝ้าคอยให้เธอพูดอะไรต่อไปถึงสาเหตุที่เธอมาเคาะประตูในยามดึกเช่นนี้ "ปกติตอนนี้คนจะหลับจะนอน"เคาเตสแสดงอาการเสียใจและขอโทษกลับต่อมรรยาทที่เธอทำ"
    
       ลอร์ด มิคานจะรอฟังหลังจากนั่งคิดและ้หม่อมองและมองออกไปทางหน้า
ต่างดูก้อนเมฆยามเช้ากำลังวิ่งชนกันอย่างสนุกบนท้องฟ้า
เคาเตสสโลเนียทวนคำตอบของมิคานว่า
"ผมเคยเป็นเจ้าแต่ตอนนั้นผมพลัดพรากและไม่สนุกเหมือนการเป็นมนุษย์ติดินที่คิดถึงอยู่ตอนนี้
คือ
    
        ผมคิดถึงอาหารทุกมื้อ
ที่จะอิ่มท้องได้
และทุกๆแนวทางที่จะทำให้ผมพอใ
จโดยคนอื่นไม่ลำบากและมีมโนธรรม "นั้นคือตัวผม"
"นี่คือความจริงของผมและชีวิตของผมนะ"
ทันทีที่มิคานพูดจบ
เคาเตสโลเนียหัวเราะลั่น
หลายคนยินคงตื่นขึ้น   เมื่อมาฟังถ้าได้ยิน
เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดของ
เธอ  "ที่น่าทึ่ง"