วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ตอนที่17คนตายนิรนาม2

ตอนที่17คนตายนิรนาม2ตอนที่34 คนตายนิรนาม
อาจซ้ำ(7158)
         จากวิถีชีวิตบ้านลับที่เมืองดิโบจิ
เป็นมิติพิศวงที่เนพมาพบสิ่งนี้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด คิดว่ามันเป็นเพียงนิยายที่เขาแตางให้สนุกอ่านเท่านั้นและ แต่มิได้อยู่ในหัวข้อวิจัย
ไม่เข้าไปไกลและติดตามในร
ายละเอียด
        ที่นี่มือถือใช้ฟรี เนตใช้ฟรีคลื่นฟรีสัญญาณหรืออะไรฟรีหมด
เสรี ไม่มีปิดเข้าถึงไม่มีอะไรเลย
พวกมิจฉาชีพหมดภารกิจมาหลอกคนที่นี่เมืองจินี้ได้
      มันฟรีแต่ไม่มีคนใช้มันสักคน และจนทุกคนไม้รู้ว่ามือถือและเนตคืออะไร?และมีประโยชน์อย่างไรและทำอะไรได้บ้างเนฟงงไปหมด เขาปกครองบริหารทำกันอย่างงี้ได้งัย

     วันๆหนึ่งเขาพอใจกับธรรมชาติของลำธารห้วยละหานและนกกา
     ในที่มีสายน้ำใส่มีปลาว่ายน้ำเล่นอย่างพอใจ  "เนฟพลันเหลือบสายตาไปมอง"
     มองเห็นตัวปลาแหวกว่ายปทุมมาอยู่ไหวๆเหมือนเห็นแม่นางขาอ่อ
น สีขาวเนื้อผัดแป้งฝุ่นดูอุ่นตาและทำให้จิตนี้คิดได้ชุ่มฉ่ำละไม
เกมือนกวีนิพนธ์ของถังท่านหนึ่ง
เขียนว่าด้วยอารมณ์จินตกวีอันเลิศเลอว่าเป็นนัยะว่า:- 
เมื่อ"ชินหวา"ยามมีฝนตกพรำ 
ดั่งใจรวนเรที่เร่ร่อนไป...
จึ่งถามเด็กเลี้ยงควายว่า
โรงเตี้ยมแห่งเมืองนี้อยู่หนใด
พลันรู้แจ้งว่า
นั่นงัย มันไม่ไกลตรงโพ้น"(ถอดความเข้าใจาของเนฟ)
     แม้บัดนี้เนฟยังไม่เข้าใจเลยว่าท่านสื่อเพื่อให้เห็นความหมาบว่าอะไรคือเพราพลำพัง "ฝนตกปรอยๆคนมีจิตหงอยเหงาอยากกินเหล้า พบเด็กเลี้ยงควาย จึงบอกว่านั่นคือทางตรงไปโรงเตี้ยม"เพียงข้อความเท่านี้มันธรรมดา มันเป็นกวีนิพนธ์ของยุคราชสำนักถังได้อย่างไร" เนฟอ่านอยู่หลายวันหลายครั้งหลายหนก็พบความหมายตามตัวอักษร แต่เพราะ
อ่านหลายครั้ง"เนื่องนี้"จากการจีความว่าในลำนำกวีนิพนธ์บทนี้ ต้องมี
ปรัชญาวิเศษแบแฝงอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ดั่งเห็นลูกตาลอ่อนหล่น เนฟเห็นแล้วอยากกินจาวตาลและน้ำในจาวตาลนั้น เห็นซูกิบอกว่า"มันหวานอร่อยลื่นคอหอมชื่นน่ากินและดมมันยิ่งนัก" เนฟจึงพลันเก็บมันมา แฃะพยายามจะเจาะกินจะเจาะก็แสนยาก ใช้มีดเฉาะก็กลัวมีดบาดมือเลือดออกหรือเฉาะสับโดนมือขาด
จะไหว้วานคนอื่นทำ ก็ไม่พอส่วนแบ่ง
ค่าแรงเฉาะลูกตาลให้ตามที่เราวาน
เพราะดนฟเชื่อว่าทุกอย่างในโลกนี้มีค่าแรง การใช้เขาฟรีเป็นบาป ฉะนั้น"
     ทันทีที่อุปนัยลำนำกวีนิพนธ์นี้ได้
แล้วเนฟจึง หาเศษนิพนธ์ที่เหลือ
ของถัวมาอ่านอีก แต่ยากนักจะหาเจอที่เบลนดิสกีเพราะคนที่เบลนดิสกกีและที่เมืองจิไม่ชอบคนจีน ทุกคนที่นั่นจึงไม่สะสมงานนิพนธ์ของจีน แต่เมื่อเนฟอ่านพบกวีบทนี้ขิง"ถัง" เนฟเแลี่ยนใจทันทีว่า"คนจีนนั่นต้องมีดีมีอะไรอีกต้องสนใจและแอบรักติดใจเขาขึ้นมาทันทีไม่คำนึงลัทธิธการเมืองชาติเผ่าพันธุกรรมที่ทุกคนที่นี่ปักใจว่า"จีนนั่นช่างน่าเกลียดน่ากลัว เหมือนคนที่เคยเหยียดผิว
ระหว่างผิวดำผิวขาวหรือระหว่างชาติอารยันของแนวคิดทางการเมืองของนาซีกับชาวยิวผู้ถูกหาว่าเป็นอนารยันชนนั่นสดุดหยุดอยู่ทันทีในใจของเนฟ ต่อความคิดว่าจีนน่าเกลียดน่สกลัวกลับกลายมาเป็นมิตรรักเพราะจินตกวีสองสามประโยคนี้ตอนฝนตกพรำที่"ชินหวา" เท่านั้น
เนฟจึงเปล่งอุทานว่า
โอ้หนอ!
    กวีนิพนธ์นี่หนอมันคือสะพา
นสันติภาพและมิตรภาพและมวลมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง คือมันไม่มีแดนแห่งความล้าหลังอีกต่อไปให้
คนรุ่นใหม่เหล่านี้มา"ไฝ่คิดกันอีกเลย" ชาติวรรณะยศศักดิ์ฐานะและศริงคารเป็นของนอกกาย
ไฉนเล่าพวกเราตาบอดหมดมองว่า
มันคือ"รั้วเหล็กหนามคมกั้นมิให้เรารู้อะไรอีกที่ดีและดีกว่าและ'เอนจอย'(enjoys )กว่าไปได้"
จิตของเนฟตอนนี้ทเหมือนเบอร์ลินเลิกมีคำว่า"เบอร์ลินตะวันออกเบอร์ลินจงตะวันตกขึ้นมาพลันทันที"
"โธ่เอ๋ยสันติภาพเนฟคิดว่ามันหาได้ยากเย็น"
ที่จริงสันตติภาพหาพบได้เพียงทกวีนิพนธ์ประโยคเดียวแท้ๆสันติภาพมิได้หาได้จาก"อำนาจ-หรือความชิงชัง-หรือจากสงครามหรือด้วยร
ระเบิดไฮโดรเจนนิวเคลียร์ที่เขย่าขวัญเท่านั้น"
 ถ้าเช่นนั้น เนฟคิดว่าตนเอง
จงเขียนบทกวีเถอะ
แต่อนืจจาเนฟชอบกวีนิพนธ์มาก
ชอบกวีนิพนธ์ยิ่งกว่าชีวิตแม้ก่อนวินาทีสุดท้ายได้อ่านกวีนิพนธ์สักบทที่ดีมีความมันไพเราะกินใจจนสามารถทำให้
ขึ้นสวรรค์ในทันที ที่จิตของตนเองดับลง แต่ว่าเนฟเขียนกวีไม่เป็นและคิดกวีไม่เป็นเนฟชอบแต่เสียงเพลงเพราะเนฟเชื่อว่าเสียงเพลงมันสามารถกล่อมเกลาจิตใจตนเอง และมอมเมาสังคมที่เบลนดิสกีและเมืองจินี้ให้หลับสนิทลงได้
        ขอให้ตนเองได้พบและอ่านบทกวีเป็นนิจ!
      เนฟอยากเห็นกวีนิพนธ์ผ่านหูประสาทและได้ยินนกร้องเพลง
อยากเห็นผีเสื้อบินว่อนไปม
าอยู่ต่อหน้าต่อตา
ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้บุพชาติอันสง่างาม

      "ใช่!เนฟเริ่มคิดและเข้าใจสรรพสิ่งได้ดีขึ้น หลังการมาเที่ยวเยือนเมืองจินี้" จึงอุทานว่ส"โลกนี้จริงๆหนอหมดพรมแดน หมดผิวหมดเผ่าพันธุ์
หมดสงคราม หมดลัทธิการเมือง
ด้วยกวีนิพนธ์เพียงบทเดียว
       เนฟย้ำเตือนกับซูกิว่า:ตนเองเขียนกวีนิพนธ์ไม่เป็น และไม่หัดเพราะเนฟเชื่อว่า'กวีมันต้องมีพรสวรรค์
มันจึงทำได้'
     มันต้องเกิดเป็น"ไม้อ้อ"มันจึงจะเป็นปากกาชุบหมึกจารู้กลงบนพระราชลัญจกรประทับเขียนของ
แท่นประทับหมึกที่พระราขอาสน์ของกษัตริย์ฟาโหร์ของชาวไอยคุปต์แห่งอียิปต์ที่พระองค์ทรงทำได้
ขณะลงลายเซ็นต์พระคำสั่งเพื่อ
 ประกาศเป็นรัฐโองการประศาสนรัฐโชบายใดๆได้


    ในตู้กระจกของโรงงานอาบอบนวดเพื่อสุภาพ อันปดปิดมิดชิด
ชนิด เมื่อใครเกิดเห็นจะตาถลน และตอนใครติดมากกว่าได้เห็นอนามัยของมนุษย์ที่ไม่กลัดมันทำกันแบบถูกๆวัฒนธรรมหทัยประจำในทุกวันนี้
ได้อย่างวิเศษยากนักที่ใครจะปฏิเสธ
เพราะมนุษย์มีความเป็นคนขึ้เมื่อยเป็นธรรมชาติทั่งหญิงชายอย่างเนขนบธรรมมดาอันเอกอุนั่นเอง

     อาหารทุกอย่างมีผักผลไม้เพียบเกินความต้องการ "ที่นี่"เมืองลับแห่งจื
     ดอก"ทิตทู"กินอร่อยมากมันมีโปรตีนและคาโบไฮเดรตแต่เนพไม่รู้ว่า ดอก"ทิตทู"คืออะไรและไม่สนติดตามมัน เพราะจะทำให้รกสมอง
  
      ทุกคนดูมีความสุขที่นี่ ไม่มีหน้
าคนกินวิตามินที่นี่
       ถึงจะมีก็คือหน้าเนื้อแห่งธรรมชาติสร้างสรรค์มาอย่างงัยอย่างงั่น
      มาอีกมิติหนนึ่งก็คือคือ
คนตายนิรนามหมายถึงตายแต่
ชื่อแต่ตัวตนจริงยัง!
     คือเวลาตายเขาเอาคนปลอมมาทำผีแทน แต่มิใช่ที่บ้านลับในเมืองจินี้
    มันอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า"แคทตาคาม""
ที่มีคนตายนิรนามมาหลบซ่อนถาวรอยู่ใกล้บบ้านลับ
อมตะที่ไม่ตายนี่เอง 
แต่คนในบ้านลับเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยและเขาไม่สนใจมันว่ามันคืออะไร

      ที่นี่!นี่มีอีกหมู่บ้านหนึ่งชื่อ"เมโลเน"มีคนแอบซ่อนอบู่ที่นั่น !
เขามาจากโลกแห่งความจริงสู่โลกแห่งความมซ่อนเร้นและปกปิดมิดชิด
ซ่อนเร้นและเป็นสถานที่ที่ราวกะที่สมณะหัวโล้นธุดงค์มาปักกลดเพื่อบำเพ็ญฌานและแอบมีใจรักปลีกวิเวกตลอดกาล
     ในป่าใหญ่และที่ปิดตนเองโดยสิ้
นเชิง แต่ทั้งหมดนี่อยู่ที่เมืองดิโบจิ(เมืองนี้มีชื่อย่อว่าเมืองจิ)


       เขาที่นี่รับเก็บดูแลคนตายแต่ชื่อแต่ตัวจริงแบบแอบซ่อนอยู่ ส่วนใหญ่จะมีเงินมากแอบมาซ่อนไว้ก่อนที่ไม่มีใครจับได้ ด้วยกลวิธีแยบยลสุดขีด
"ซูกิยืนยัน"
       เนฟพึ่งจะรู้ความลับของสิ่งเหล่านี้ว่า"มีอยู่จริง"
      ตอนแรกตนเองคิดว่างเหล่านี้ ถ้าจะมีคงเป็นนิยายเท่านั้น จึงมีได้)
       เนฟจึงคิดต่อไปว่า"ถ้างั้นในโลกนี้ยังมีสรรพสิ่งมหัศจรรย์น่า"ทึ่ง"อีกมากที่ยังไม่ค้นพบ เช่นตามทะเลลึก
ถ้ามีและในใต้ทะเลโลกอื่นที่เราไปไม่ถึง คงต้องมีสิ่งเร้นลับซ่อนเร้นและแอบแฝงยู่เป็นสังกัป
      ฉะนั้นในการทำวิจัยนี้
คือเพราะฉะนั้นการมาวิจัยเรื่อง
กัญชากระท่อมและฝิ่นที่เมืองจิ
นี่มีเหตุผลตรงประเด็นแล้วในภาคสนามที่จะทำต่อไป "เนฟคิดว่า'ผู้ให้ทุนเราคงคุ้ม'
ถ้าไม่เสร็จดีจะได้มีคนนำไปย่ต่อยอดให้เป็นประโยชน์สักอย่างขึ้นมาเป็นรูปธรรมได้กับมนุษยชาติได้
เป็นแน่ เช่น เกิดภาวะอสงคราม
เกิดสันติภาพเกิดมโนธรรมสากล
และอรรถประโยชน์สากลได้เป็นต้น

       กล่าวคือมิใช่เพรสงไปพบเห็น
กวีพขน์ลำนำเช่นอย่างกวี"ถัง"เพียงว่า"ยามเมื่อชิงหมิงฝนพรำ......" แล้วเกิดประทับใจ ที่ทำให้เนฟชอบจนเกือบจะเลิกวิจัยงาน
หลังพบกวีนิพนธ์บทนี้เข้าโอยบังเอิญที่เมืองจิ "กวีมีค่าทางใจต่อเนฟมาก"

      ต่อไป
ที่นี่หมู่บ้านนี้ๆชื่อว่า"หมู่บ้านไม่มีชื่อ"เนพจึงให้ชื่อว่าบ้านใกล้
หมู่บ้านลับว่า"หมู่บ้านอมตา"เผื่อไว้อ้างอิง เพราะสรรพสิ่ง(สรรพสิ่งเนฟ
ชอบใช้คำๆนี้เพราะมันอาจเป็นเหมือนสรรพยามชนิดหนึ่ง แต่มิใช่
จะเป็นคำปรัชญานามเเสมอไปก็ได้จึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกัน
)
             "มันต้องมีชื่อ" เหมือนคนเกิดมาต้องมีทั้งชื่อและนามสกุลทุกคนนี้
ที่บ้าน เบลนดิสกี 'หมา แมว กระรอกกระแต ผีเสื้อ นก ไก่ ที่มาพบเห็นกัน
ประจำ เนฟตั่งชื่อให้หมด แม้ปืนและมีดดาบ หนังสะติ๊ก ที่เนฟสะสมก็จะมีชื่อให้มันเสมอ)

      ที่หมู่บ้านใกล้หมู่บ้านลับ"อมตา"นี้
โลกภายนอกเขาหมดสิทธิเข้ามาเห็น
      "ถามว่าทำไมเนฟได้สิทธิเข้ามาเนฟเดาว่าเป็นเพราะว่า "เนฟเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย-รักแม่ เชื่อฟังเพศแม่มาตลอด
จากการตรวจสอบสายตาและบุคลิกภาพและยาชุดทดสอบของตำรวจสันติบาลในเมืองจิที่สอบผ่
านอนุญาตให้เนฟเข้ามาเมืองนี้ได้นั่นเอง


    ที่บ้านลับ"อมตา" วันๆหนึ่งๆเขามีแค่ฟืนและหม้อข้าวหุงและสาวงามสายพันธุ์นางไม้คอยดูแลคนที่มาหลบซ่อนอยู่เนฟไม่ได
ถามซูกิว่า คนที่มาหลบซ่อนรนั้นเป็นคนดีหรือคนเลว ในวินาทีนั้นที่ไปเห็นด้วยกัน


      เนพไม่กล้าเข้าไปวิจัยนิกเรื่องที่ขออีก งัย เพราะเชื่อว่าอาจารบ์ผู้ควบคุมงานวิจัยของเนฟคงไม่ต้องการ เพราะไม่ตรงประเด็นในหัวข้อวิจัยที่เสนอไปและได้รับอนุมัติมา
      กล่าวคือเพราะมันอยู่นอกขอบเขตการทำงานตามจุดหมาย
ที่หนีเมียมาทำแบบนี่ที่เมืองจืโบติ
ๆ มีไวน์เหล้าที่หมู่บ้านลับมีให้กินเพียบฟรี
       แต่กินกันแต่ไม่เมามายเพราะเขาไม่มีเลือดเมา
       สำหรับกัญชามีเป็นกะตั้กๆ ทุกแห่ง มีขึ้นตามริมฟุดพาท เหมือนดอกหญ้าเพตจารีกา (p a t g a r i g a )และหญ้าเดฟฟาดิล(d i f f a d i l )
ที่มีในตะวันตก แต่ไม่มีใครสนใจมัน
     
      กัญชาที่นี่ นอกจากไว้บูชาเทพเจ้าและผสมในมื้ออาหาร
     เนฟลองกินกัญชาพบว่ามันทำให้กินอาหาจุและนอนหลับขึ้เซาเอาเลยทีเดียว มีกลิ่นตัวกัญชาถ้าเสพมากๆเข้า และยอดกระเต็นที่เป็นขั้น"ช่อดอกอ่อนกะหรี่เมล็ดอ่อนก่อนเป็นกระเต็น"นั้นมันตากแห้งแล้วนำมวนสูบดีหอมมัน"เนฟพบมันที่นี่"
    ส่วนกระท่อมพืชกินแล้วขยันทำงาน ทนแดด ทนฝน มันมีรสขมลิ้น
     ที่นี่ที่นี่มีแต่ภูเขาเนินเป็นทิวสูงต่ำไปหมดเมืองจิ
      คนที่นี่เขาไม่รู้จักกิน
บางครั้งกระท่อมเขานำมาเคี้ยวเล่นแก้หิวข้าว แบบคนเคี้ยวหมากฝรั่
งที่เบลนดิสกีทำแล้วเพลินลิ้นดีกระนั้น

     นอกจากนั้นก็จะมีก็นกชนิดหนึ่งชอบกิน ๆ เสร็จมันจะร้องเพลงแห่งความสุขเป็นภาษามนุษย์ได้
ควายมหิสามีเครายาวเขางอนเผือก
ที่นี่สัตว์ตัวนี้ ที่นี่มีตัวใหญ่อ้วนพีเพราะกินแต่พืชกระท่อมมันชอบมาก
เพราะไม่มีหญ้าอื่นให้กิน
     
         กัญชาและกระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษผิดกฎหมายที่เบลนดิสกีแต่ผ่อนปรนเพื่อการบำบัด
 แต่ที่นี่ฟรีโลดไปเลยไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัด แต้เงื่อนไขห้ามนำเคลื่อนย้ายออกนอกเมืองจิเด็ดขาด"จับได้ใครทำโทษหนัก ปล่อยเกาะงูพิษทันทีถ้าใครฝืนทำ" และห้ามส่งออกนอกเมืองจิเป็นสินค้าอีกด้วย



วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ตอนที่34 คนตายนิรนาม(งานร่าง)นิยายเรื่องยาว"เบล็นด์-เบลนดิสกี( The Blend-blendisKY)

ตอนที่34 คนตายนิรนาม
ข้อความซ้า5800
จากวิถีชีวิตบ้านลับที่เมืองดิโบจิ
เป็นมิติพิศวงที่เนพมาพบสิ่งนี้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด คิดว่ามันเป็นเพียงนิยายที่เขาแตางให้สนุกอ่านเท่านั้น
และ
แต่มิได้อยู่ในหัวข้อวิจัย
ไม่เข้าไปไกลและติดตามในรายละเอียด
ที่นี่มือถือใช้ฟรีเนตใช้ฟรีคลื่นฟรีสัญญาณหรือฟรีหมด
เสรี ไม่มีปิดเข้าถึงไม่มีอะไรเลย
พวกมิจฉาชีพหมดภารกิจมาหลอกคนที่นี่ได้
มันฟรีแต่ไม่มีคนใช้มันสักคน และจนทุกคนไม้รู้ว่ามือถือและเนตคืออะไร

วันๆหนึ่งเขาพอใจกับธรรมชาติของลำธารห้วยละหานและนกกา
สายน้ำใส่มีปลาว่ายน้ำเล่นอย่างพอใจ
อาหารทุกอย่างมีผักผลไม้เพียบเกินความต้องการ ดอกทิตทูกิยอร่อยมากมันมีโปรตีนและคาโบไฮเดรตแต่เนพไม่รู้ว่า ดอกทิตทูคืออะไรและไม่ติดตามมัน
ทุกคนดูมีความสุขที่นี่ไม่มีหน้
าคนกินวิตามิน ถึงจะมีก็คือหน้า
เนื้อแห่งธรรมชาติสร้างสรรค์อย่างงัยอย่างงั่น
มาอีกมิติหนนึ่งก็คือคือ
คนตายนิรนามหมายถึงตายแต่
ชื่อแต่ตัวยัง คือเวลาตายเขาเอาคนปลอมมาทำผีแทน แต่มิใช่ทีทบ้านลับนี้มันอีกแห่งที่มีคนตายนิรนามมาหลบซ่อนถาวรอยู่ใกล้บบ้านลับ
อมตายนี่เอง แต่คนในบ้านลับไม่ร๊เรื่องนี้เลยและเขาไม่สนใจมัน

ที่นี่นี่มีอีกหมู่บ้านหนึ่งมีคนแอบซ่อนเขามาจากโลกแห่งความจริงสู่โลกซ่อนเร้นและสมณะหัวโล้นธุเงค์มาปลีกวิเวกตลอดกาลในป่าใหญ่และปิดตนเอง แต่ทั้งหมดนี่อยู่ที่ดิโบจิ

เขาตายแต่ชื่อแต่ตัวจริงแบบซ่อนอยู่ที่นี่หมู่บ้านนี้ๆชื่อว่า"หมู่บ้านไม่มีชื่อ"เนพจึงให้ชื่อว่าบ้านใกล้
หมู่บ้านลับอมตาเพื่อไว้อ้าง
อิง เพราะสรรพสิ่งต้องมีชื่อ เหมื
อนคนเกิดมาต้องมีทั้งชื่อและนามสกุลทุกคนนี้นแล
ที่หมู่บ้านใกล้หมู่บ้านลับอมตานี้
โลกภายนอกเขาหมดสิทธิ
วันๆหนึ่งๆเขามีแค่ฟืนและหม้อข้าวหุงและสาวงามสายพันธุ์นางไม้คอยดูแล
เนพไม่กล้าเข้าไปวิจัยอีก งัยอาจารบ์ผู้ควลคุมงานนวิจัยของเนพคงไม่ต้องการเพราะไม่ตรงประเด็นในหัวข้อวิจัยที่เสนอไปและได้รับอนุมัติมา
กล่าวคือเพราะมันอยู่นอกขอบเขตการทำงานตามจุดหมาย
ที่หนีเมียมาทำแบบนี่ที่ดิโบจิ
ไวน์เหล้าที่หมมู่บ้านลับมีกินเพียบฟรีแต่กินแต่ไม่เมาเพราะเขามีเลือดเมา
สำหรับกัญขามีเป็นกะตั้กทุกแห่งขึ้นเหมือนดอกหญ้าเพตจารีกา
ที่ในตะวันตก
แต่ไม่มีใครสนใจมัน
นอกจากไว้บูขาเทพเจ้าและผสมในมื้ออาหาร
กระท่อมพืชกินแล้วขยันทำงาน
ที่นี่ที่นี่มีแต่เขาไม่รู้จักกินบางครั้
งเขานำมาเคี้ยวเล่นแก้หิวข้าวแบบคนเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วเพลินลิ้นดีกระนั้น

นอกจากนั้นก็จะมีก็นกชนิดหนึ่งชอบกินๆเสร็จมันจะร้องเพลงแห่งความสุขเป็นภาษามนุษย์ได้
ควายมหิสาที่นี่สัตว์ตัวนี้ที่นี่มีตัวใหญ่อ้วนพีเพราะกินแต่พืชกกระท่อม
กัญชาและกระท่อมเป็นพืขเสพติ
ดให้โทษผิดกฎหมายที่เบลนดิสกี

เนพก็ไม่ติดตามคือว่าเพราะลำพังมาวิจัยสืบเสาะข้อมูลเชิงลึก
เอาส่วน
คุณค่าของพืชกัญชาในเบื้องต้
นเท่านั้น
เพราะลำพังมาติดตามกัญาชาหัวข้อนี้เนพก็เต็มอ่วมแล้ว

สรุปไม่มีอะไรที่นี่ ในเรื่องคุณภาพชีวิต
และที่นี่เนพขอยืนยันว่าไม่ใช่ถิ่นมนุษย์กินคนของโลก
วันๆคนที่บ้านลับเขาเติมเต็มๆเสพความสุขเท่าที่เลือกได้ เท่าที่เนพเห็นคืออากาศบริสุทธิ์เท่านั้นที่เป็นจุดเด่น ส่วนกัญชาคือหญ้าเหมือนหญ้าแพรกเหมือนหญ้าแะจจารีกาและดงแห่งดอกดัฟฟาดิล 

ที่นี่จึงเหมาะสำหรับคนมีปรัช
ญาและผู้พลัดหลงเข้ามาจะพึงไ
ด้มันโดยบังเอิญเท่านั้นและเขาก็ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว
และรับคนติดกัญชาหรือจะสร้าง
รายได้กับกัญชาเขาไม่สนใจเรื่องเงินๆทองๆ
นอกรนั้นคนที่นี่ไม่มีความคิดใฝ่ฝันมันที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่อื่น
ชนิดที่มีปรัขญาว่าเกิดที่นี่ตายที่นี่จบสำหรับชีวิตคนๆหนึ่ง

ที่นี่ไม่ใช้ลัทธิยูโทเปียที่นี่ไม่มีข้
อกติกาสังคมไม่ทีอำนาตนิยมและ
หลักภาราดรภาพ
แต่เป็นอีกแบบหนึ่ง
ที่เนพๆไม่รู้จะนิยามมันอย่างงัย

ที่บ้านลับอมตา
มีหุบเขามีหมอกดูเหมือนสวรรค์ในเทพนิยายและหนังโกหก
เนพชอบมากจนเกือบลืมหัวข้อวิจัยเมื่อมาพบหุบเขา"เนพอุทานค้านกาลเวลาที่ไม่ถามตนเองก่อนว่าทำไมถึงชอบ"
ก่อนพูดออกไปกับตนเอง
ของเช้าวันหนึ่งที่หุบเขาดอยเคธา
ที่หีบเขานี้ไม่มีแม้วมีกะเหรี่ยงจะมีก็แต่นางไม้และนกสมิหลาดงและนกคีรีบูน

แต่ก็จะพบรอยยิ้มทและรอยแห่งความความรัก
พบรอยคุณธรรมประจำตัวประจำใจทุกคนที่นี่
ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง
แต่มิได้หมายความว่าที่บ้านอมตานี้จะเป็นบ้านแห่งสันติภาพ เพราะนิยามคำว่าสันติภาพมันยังกว้าง

ไกลเหลือเกินที่เนพจะใช้มันในตอนนี้
แต่สำหนรับที่ที่ตอนนี้นี่มีแต่สันติภาพนั่นคือสันติภาพแบบของเนพไปพลางก่อนนั่นเอง
เพราะคนอย่างเนพไม่เชื่อใครง่ายๆ
นอกจากเอว


หมู่บ้านลับแห่งนี้เนพจึงให้ชื่อมันคือหมู้ย้าน"คายา"
เนพคิดว่าใครน้อยคนได้มีโอกาส
มาที่หมู่บ้านคายานี้

และที่นี่มีผีเสื้อสมิงอยู่หนึ่งคู่
ผีเสื้อสมิงคืออะไร
มันคือผีเสื้อยักษ์มตาที่ปีก
ที่เราเห็นมันในจินตนิยาย
มันมีจริงเนพยืนยัน

ดอกไม้ที่ขื่อว่าคาวอน
เป็นดอกไม้ทีกลอ่นหอมคล้ายดอกราตรี
ที่เบลนดิสกี
มันหอมมากตอนดอกเควอนหอมมากมากในตอนเที่ยงวัน
แฃะหอมน้อยหน่อยตอนเชเยและเย็นและตอนค้ำคืน
แต่ในคืนเดือนหงายมันจะหอมเพียงนิดๆ เนพเคยเรียนชีววิทยาดอกไม้มากลับไม่สนใจว่าที่มันเป็นเช้นนี้เพราะเหตุอะไร
เวลาลมพายุโหดร้ายบัดโบกโชยมาทุกคนที่หมู่บ้านคาธานี้จะได้กลิ่นเควอน
แต่ว่า
มันมีแต่ที่นี่เท่านั้น
ส่วนตัวผีเสื้อสมิงนั้นมันตัวใหญ่ และกลิ่นดอกไมนี่คืออาหารของมัน
กลางคืนมันนอนพักผ่อนอยู่ในถ้ำแบบค้างคาวที่ที่หมู่บ้านไม่ทีค้างคาวถ้ำจึงสะอาดด้วยกลิ่นเว้นกลิ่นของดินแล
ะหินและกลอ่นของน้ำตกสายย่อยๆ
มันไม่กินอะไรมันกินกลิ่น
มันกินความมืดและความสงบ
ตาของมันเป็นสีเขียวสีดำมืดมรกต
คนเห็นแล้วจะกลัว เพราะนึกว่าผี
ซูกิเล่าให้เนพฟังฝ้ายเนพฟังเพลิน
จนเกือบโงกหลับ เยพๆม่ตื่นเต้นสักนิดเดียวและอยากจะรู้มันไปกว่าที่ซูกิเล่าและเนพไท่สนใจมัน
ที่จะมาทำวิจัย และเนพพบว่ามีกัญชาอยู่ประปรายที่นี่แม้อากาศเย็นกัญชาก็ขึ้น เพราะปกติกีญขามันชอบอากาศร้อนแสงสลัวฝนตก
มาบ้างหรือพายุต้นกัญชาชอบขึ้น
ส่วนอากาศเย็นเสียเรไรที่ดาษดื่นที่นี่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงียบสงัดเย็นกัญชาจะไม่ชอบ ใช่ที่นี่เป็นถ้ไที่ผีเสื้อสมิงมาพักอาศัยนอนแฃะทีดกาะใกลมันจะบินไปมาพักร้อนพักเย็นท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของคลื่นลมทะเลสีคราม น้อยคนนักจะ
ได้ผ่านมานอกจากเรือบินบินผ่านบ้างนานๆครั้ง

เนพมีโอกาสได้เห็นมันเวบหนึ่งรู้สึกพองขน แต่ไม่สนใจอะไรเพราะที่มหาวิยลัยเบลนดิสกีมีปรัชญาสอนให้คนไม่ตื่นตระหนกเมื่อพบของ
แปลก

เพราะกลัวมันจะมาทำร้าย
แล้วเนพก็ถอยบกบัจออกไปห่าง
เพราะไม่อยากจะรู้สิ่งแปลกๆเหล่านี้ มันรกสมองเปล่าๆสำหรับเนพ
สิ่งประหลาดเหล่านี้หลายอย่างเกิดขึ้นขณะเนพมาทำวิจัยเรื่องของกัญชา

สิ่งเหล่านี้เนพถือว่ามันคือความฝันและมันคือนิยายคือนิยายที่ๆม่มช่ตวามจริงอะไร
ตอนเนพมีชีวิตที่เบลนดิสกีเท่านั้น
ก็เพียงพอแล้วที่เกิดมาทีเรื่องรกสมองจนบางครั้งถือว่ามันสรรพสิ่งที่นี่รกเกินจนทำลายสมาธิของตนเอง

ที่หมู่บ้านคาธาและอมตานี้ไม่มี
ตำรวจทหารและกฎหมายอะไรนอกจากคสามพอใจของทุกคน
แต่ก็ไม่เคยมีเหตุเจ็บปวดอะไรเกิดขึ้นกับใครๆ
ความไม่มีวามไม่เหมือนกันของ
ที่นี่กับโลกภายยนอก สำหรับเนพ
มันเหมือนกันนั่นแหละแต่เจาไม่มีชื่อจะนิยามมันเท่านั่นเอง
เช่นกฎหมายมันต้องมีถ้าไม่มีสังคมก็คงตั้งอยู่ไม่ได้ คำสั่งแนะให้ลูกทำนั่นมันก็คือกฎหมายชนิดหนึ่งเอง
สำหรับเนพคิดอย่างนั้นเมื่อซูกิกเล่าว่าที่หมู่บ้านคาธาและหมู่บ้านอมตาไม่
มีกฎหมาย

แต่ทุกคนที่นี่เป็นตำรวจทหารและเป็นประชาชนในบุคคลคนเดียวกัน
ที่นี่รู้จักแต่ธรรมชาติดขาไม่รู้จักสสิ่งปรนเปรอความสุขในแง่ของเครื่องแสงเสียงสีเครือข่า
ยแห่งวิทยาศาสตร์ที่เจริญมากในเบลนดิสกีที่เนพเห็นมันไม่มีเสียงเพลงร้องประทับใจให้เนพเห็นก็ธรรมชาติสุดๆของที่นี่นั่นแหละ
คือเสียงเพลงที่สุดประทับใจของ
คนที่นี่ สำหรัยคนที่นี่ไม่รู้แม้คนที่นี่ไม่รู้ว่าคำว่าเพลงนั้นคืออะไร
สำหรับเนพ เพลงที่นี่เสียงนกเสียง
กาจั๊กจั่นตัวจิ้งหรีดเรไรเสียงงูร้องไห้นั่นปหละมันคือเพลงและมันมีคอร์มีคีย์ของมันยู่ใ
นตัว ยิ่งในคืนเดือนหงายน้ำค้างตก
แล้วจะพบสอ่งที่กล่าวมาแล้ว
ทั้งหมดได้ มันเป็นเพลงที่เกิดขึ้นในตัวมันเอง

เขาทุกคนมนคาธาและอมตาจะปิดหูปิดตาปิดจมูกปิดปาก
ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นจากโลก
ภายนอก เขาเห็นคนแปลหหน้าคือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งเท่านั้นและจะไม่ไว้ใจมันโดยสัญชาตญาณ
ของพวกเขา

พวกเขาเหมือนจะเป็นมนุษย์ไบ้
แต่เขาไม่ใช่มนุษย์เผ่ากินคน
ถ้าเป็นจริงเนพคงไม่ได้กลับเบลนดิสกีแน่ๆ

เขารู้จักกินสเต็กเนื้อแม้นานๆครั้
ง แล้วเขาก็ปล่อยช่วงมังสวิรัตในช่วงที่ยาวนานกว่าจะมาถึงสมัยกินสเต็กเนื้อกัน

โดนทุกคนคำนึงถึงความอบอุ่นที่ได้จากไฟว่าเป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต
พวกเขาจะรู้สึกตัวว่าอุ่นๆและร้อนเมื่อเข้าใกล้เตาผิงและฟืนๆควันๆเพราะตัวฟืนๆควันนั่นมันทำให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรงและอ่อนโยนอิ่มเอิบและมีแรงดุดันได้ในชีวิตจริงของที่นี่ เขาจึงชอบมัน และบูชามันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งไฟจากเตาผิง


แต่เขาพร้อมที่จะร้องไห้เมื่อเสี
ยใจเขาไม่รู้จักปกปิดมันเขา
จะปล่อยน้ำตาย้อยลงมาเปื้อนแก้มเมื่อเขาร้องไห้ โดยไม่เอาผ้าเช็ดเป็นเหมือนมนุษย์ที่เบลนดิสกีคิดเป็น
ที่เขาทำเช่นนั้นเพราะรอยน้ำตาคือคราบแห่งความจริงที่อมตะมันควรจารึกไว้เหมือนปูนซิเมนต์ผสมน้ำแล้วแข็งตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2566

เอว:เบลนดิสกี

ตอนที่6
เอว

เมื่อรักแรกของกอมส์สะดุดลง
รักสองก็ตามมา
มันก็สนุกดีแต่กอมมองๆแล้ว
มันก็อย่างนั้นๆแหละความรักและตัณหา
ไม่เคยอิ่มที่ท่านพูดไว้
กอมเริ่มมองว่าขนมปังปอนด์อาหารประจำวันมื้อหลักๆที่เรียกว่าอาหาร
มีข้าวสาลี่เป็นต้นมันก็ไม่เคยพอนั่นคือไม่อิ่มแม้อิ่มแล้วก็ต้องไปหามากินอีก
เอวกับกอมพูดถึงชีวิตรักแน่นอนอิ่มเอิบ
เอวไม่เคยตอบสนองกอมแม้ครั้งเดียว
นับจากแต่งงานกันมาเธอก็คงไม่อิ่มในรสรักและตัณหาเหมือนกันแม้ไม่เปิดเผยออกมาเป็นคำพูดว่าหิวข้าวมื้อต่อไปจะกินอะไร
เพื่ออิ่มคำว่าพอก็ไม่มี แม้ความจริง
พออิ่มมื้อหนึ่งไปแล้วคิดว่าพอ
แต่มื้ต่อไปด็หิวอีกไม่จบสิ้น
ตัณหาเชื่อว่าลดเมื่อแก่ลง เพราะเรี่ยวแรงที่จะถาโถมไปกับมันดูท่าจะหมด แม้กำลังใจ
และความอยากยังคงยืนกรานว่า"ยังต้องการมัน
แต่อาหารที่กอมและเอวกินนี้ มันไม่จบสิ้นมันอินฟิไนต์เสียจริงๆ
คิดดูวันหนึ่งเราต้องหิวสามครั้งมื้อ
แต่ว่าคนเราถ้าอายุขัย100ปี
ก็ต้องมี365*3รวม=1095มื้อปี
100ปีอายุขัยสมมุติก็จะเท่ากับรวม=109,500มื้อปี
อาหารที่เรากินแต่ละวันภารกิจมากเหลือสำหรับมนุษย์กอมนั่ง
ครุ่นคิดในวันหนึ่ง
ที่บ้านพักตากอากาศชายทะเลลมดี
และก็ที่ชายทะเลมีน้ำสีฟ้า ที่นี่เอง
กอมสนองความอยากของรสชาติและ
ความกระหายที่ลิ้นที่มันรูสึกว่าร้องขอตนอยู่
กอมจึงขออนุญาตเอวไปตกปลาและปลาหมึกกลางทะเลลึกชายฝั่ง
ถ้าสำเร็จก็จะได้กิน
ปกติกอมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ชอบเรื่องปาณา
ในชีวิตเหมือนที่พ่อแม่ของกอมเองคือคุณห้าว
และคุณหอยเป็น กล่าวคือท่านทั้งสอง"กินเจ"ที่เรียกเป็นภาษาวิชาการว่าถือ"มังสะวิรัติ"ตลอดชีวิต
เพราะท่านทั้งสองบอกว่าผักสีเขียวมันคือเนื้อชนิดหนึ่ง
นี่คือสิ่งที่ท่านยืนยันไว้ และกอมจำได้ดีกับประโยคนี้
แต่กอมส์ก็ไม่เคยให้เหตุผลกับใครเลยว่า"ทำไมตนเองไม่เป็นมังสวิรัติด้วย"
แม้วันที่กอมส์คิดเช่าเรือออกทะเลไปตกปลาและหมึกมากินกับ"เอว"ที่บ้านพักตากอากาศนี้
เอวพอใจตามคำร้องขอของกอมส์ แต่จนเองปฏิเสธจะออกทะเลไปด้วยกันกับเรือเช่า
เพราะเอวกลัวน้ำ และความลึกชองทะเลอย่างมากและสุดๆ
และเอวชอบเมาคลื่นทะเลและความลึกมืดของน้ำทะเล แม้พ่อของเอวจะเป็นนายทหารเรือ
แต่ให้นั่งดูน้ำทะเลเฉยๆเอวแสนชอบ "เธอสารภาพ"
มิใช่ว่าเธอคิดจะมีชู้ตอนกอมส์
ออกทะเลในกลางคืนไปหาปลาและหมึกแต่ทิ้งเธอๆว้ตามลำพัง-ก็หาไม่!
แต่เธอบอกกัลกอมส์ว่าจะนอนหลับพักผ่อนหรืออ่านหนังสื
อ และเธอคิดอยู่ในใจว่าจะภาวนาให้กอมส์ออกทะเลไปอย่างปลอดภัยและกลับมาพบกันอีกเหมือนตอนตกลงว่าจะมาเที่ยวพักผ่อนชายทะเลกันก่อนกอมส์บอกลา
"ใช่"
เอวจะนั่งนอนภาวนาว่า"ขอให้กอมส์ได้ปลามาเยอะๆและเธอเตรียมตัวและใจลจะเป็นคนทำอาหารทะเลรสคาวผสมตะไคร้และใบมะกรูดมื้อนี้มื้อนี้
เพื่อจะมากินกันให้สำราญท้อง หรือจะอย่างไรก็หาไม่หรือสุดแท้แต่ใครจะคิด!
การออกทะเลไปตกปลาและตกหมึก
คยประมงบอกว่า"มันต้องมีเหยื่อไปล่อปลาและหมึกมา
มันจึงจะติดเบ็ด
สำหรับเหยื่อมีทั้งเหยื่อเทียมและเหยื่อปลา
กอมส์จำได้ว่าตุ๊กตาจีนที่กอมว์ซื้อสะสมไง้ทีทบ้านเป็นรูปปั้นคนตกปลามีหมวกงอบคนแก่มีหนวดเครายาวสีขาวสวมใส่เสื้อผ้าสีเทา
รูปปั้นนั้นดูเป็นปรัชญาขีวิตดี
สำหรับกอมส์ๆจึงซื้อสะสมมันไว้
เพราะคนเรามีชีวิตอยู่รอดมาทุกวันมันก็เหมือน การมีชีวิตแบบเสี่ยงๆ การมีชีวิตแบบลองผิดลองถูก
ถ้าเหยื่อที่คนนำไปล่อหลอกปลา ในการตกปลา
ๆมาบังเอิญมาติดเบ็ด
คนหาปลาก็โชคดีได้กินสมใจ
ถ้าไม่มีปลาเชื่อมันรู้ทันมันก็ไม่ตอดกินเหยื่แล่อที่เบ็ด!
สอ่งที่ตามมาคือ"ก็คนตกเบ็ดประสบก็คือผิดหวัง"
ในเมื่อปลาไม่กินเหยื่อที่พรานเบ็ดล่อ
จะโทษใครไม่ได้แม้แต่พระเจ้า
ฉะนั้นการตกปลาคือการเสี่ยง ถ้าได้ปลามาก็ถือว่ามีโชคและโชคที่เราจะได้มาที่ต้องลงทุน ค่าเช่าเรือออกทะเลแลแรงกายใจ
ที่ต้องฝ่าคลื่นน้ำและกระแสลม และบางครั้งฝนทะเลจะมาเป็นระยะๆ อย่างท้าทาย
แต่อย่างไรเสีย กอมส์ตัดสินใจออกไปตกเบ็ดกลางทะเลคืนนี้
ที่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก
และปล่อยให้เอวนอนคนเดียวกอดหมอนเพื่อรอคอยการกลับมา และเปิดประตูบ้านพักให้ของเขาในคืนนี้
ช่วงเวลาผ่านไป 4-5ชั่วโมงเห็นจะได้ มันช้าหน่อยเพราะการเดินทางๆทะเลมันอันตราย
เมื่อเวลาแห่งรอคอยการกลับมาของเอวผ่านไป
กอมส์ก็กลับมาพร้อมกุ้งและปลาแมคคาเรล1ตัวกุ้งใหญ่ทะเล3ตัว
แทนที่จะเป็นปลาหมึกที่ตอนแรกอมส์นึกอยากกินและตตั้งใจไว้
เพื่อนเดินทางร่วมที่เช่าเรือไปด้วยกัน เขาได้ปลาหมึกมามากแต่มิใช่ปลาและกุ้ง
ที่ตนต้องการเช่นกัน
สรุปผิดหวังด้วยการกลับมาแต่ๆด้สิ่งอื่นแทนที่ 
เมื่อเรือที่ทุกคนตีตั๋วเช่ากันไป กลับถึงฝั่งด้วยแรงเครื่องจักรเล็กๆ
เรือทอดสมอบนริมหาดทรายทะเล

กอมส์รู้จักปลาแมคคาเรล
แต่กุ้งที่กอมส์ตกได้มาทั้งเอวและเขาไม่รู้ว่า
มันเป็นกุ้งชื่อว่าอะไรแต่ตัวมันใหญ่น่ากินลำตัวกุ้งจตัวสีฟ้าครามมืดๆ
แต่ทั้งสองเชื่อว่ามันกินได้ไม่เมา
สำหรับเอวไม่เป็นและสันทัดกับครัวอาหารทะเลเท่าไหร่
และตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
การจะไปตามหาจ้างแม่ครัวมาทำอสหารทะเลให้
ก็ใช่ที่!
สองคน จึงใช้นิ้วมือ แกะช่วยตนเองและความพยายามทำด้วยตาดูอย่างมีสติ และที่ห้องครัวบ้านพักตากอากาศหลังนี้มีแปกรณ์สะดวกทำครบเครื่องแนเป็นส่วนหนึ่งของบริการในสัญญาเช่าพัก
มื้อนี้ใช่วิธีทอดด้วยน้ำมันแทนการย่างอย่างที่ควรจะเป็น
ทอดเสร็จทั้งปลาและกุ้ง
เสริฟ์พร้อมน้ำจิ้มรสดีๆที่เอวเก่งเรื่องการทำน้ำจิ้มเป็นพิเศษ. 
ในชีวิตของเอว
ขาดมะนาวและพริกไม่ได้ชอบ
พิเศษ
เพราะฉะนั้นอาหารก่อนฟ้าสาง
มื้อนี้จึงมีน้ำจิ้มรสเด็ดฝีมือของเอว
และกอมส์เขาชอบมากกับน้ำจิ้มที่เอวทำ จนกอมส์เกือบจะโพล่งปากพูดออกมาว่า"ชื่อของเอวเธอน่าจะชื่อ"คุณน้ำจิ้ม"มากกว่าหรือ"คุณมะนาว"
แต่กอมส์บังคับตนเองกดสติเอาไว้ไม่พูดประโยคคำนี้ออกมา. 
เพราะมันอาจจะไม่ไปสบอารมณ์เมียรักขึ้นมาก็ได้"กอมส์เดาเอา"
เขาจึงเงียบไม่พูดอะไร คือคิดแล้วกลบให้มันหายไปกับใจที่ตนคิด
แต่ทั้งสองกินกันอร่อยไปเลยคืนนั้น ที่เป็นจุดเด่นในการมาทะเลครั้งนี้ก็คืออาหารมื้อนี้นั่นเอ
ง เป็นสิ่งต่างตอบแทนในการมาทะเลครั้งนี้เอาเสียทีเดียว นอกจากมุขอื่นๆ
สำหรับ

ทั้งสองอิ่มตื้อจากอาหารทะเลมื้อนี้
ที่ตนเองได้ไปตกมาด้วยมือและมีบรรยากาศทะเลในยามดึกสงัด
และก็ตื่นนอนสายมากเป็นพิเศษ แม้เวลาคืนห้องพักตากอากาศเป็นใจให้ขขี้เกียจ ที่ยังเหลือเวลาพักอสศัยอีกหนึ่งวันตามสัญญาที่ทั้งสองพร้อมใจกันจองเช่าไว้
อากาศทะเลที่นี่ ไม่น่าตำหนิสักนิดเดียว ไม่ว่ายามไหน ๆ แม้ลมพายุจะมาบ้าง บางครั้งลมก้อนโตมันจะกรรโชกแรง
ทะเลก็ยังสนุกเพราะน้ำทะเลหรือพายุทะเลจะมาแรงสักเพียงใดชายฝั่งของแผ่นดินไม่เคยจมไปกับน้ำทะเลที่กอมส์เองเชื่อว่าลมน่าจะพามา
"กอมส์รำพึงกับตนเอง"
เพราะฉะนั้นการได้มาพักผ่อนทะเล
มื้อนี้จึงเป็นสิ่งดีงามอย่างยิ่งสำหรับกอมส์
"เอว"พอใจมากที่สามีเธอชวนเธอมาเที่ยวที่บ้านพักผ่อนชายทะเลครั้งนี้
คลื่นทะเลที่นี่สวย มันรองรับกับสายลมมัรน ว่ายวนส่ายไปส่ายมาเหมือนกับว่าลมมันอยากจะพูดด้วยกับมนุษย์ที่ยืนมองเห็นมัน
ทะเลมันอมตะเสียจริงๆ!
กอมส์เคยอุทาน
นกหลายชนิดตัว เช่น นกนางแอ่นเป็นต้น
เจ้านางแอ่น มันบินหากินอย่างเสรี และ มันคืออิสรภาพ และสันติภาพสำหรับนกมัน ในท่ามกลางกลางบรรยากาศทะเล
นกนางแอ่น มันร่อนบินขึ้นๆลงๆสูงๆต่ำๆ มันแอ่นลมให้ธรรมชาติและสรรพสิ่งและคนเห็น
เมื่อมองมันอย่างพินิจ 
กอมส์รู้สึกว่า:

มันแสดงได้อย่างเพราะพริ้งและสวยงาม เหมือนมันอบากจะชวนให้เราไปเป็นอย่างนกเยี่ยงมัน
แล้วทุกคนจะพบความสุขอมตะอย่างแท้จริงอย่างที่มันเป็นอย่างงั้น
อาหารในทะเลมีมากมายนัก
สำหรับมันเมื่อเทียบกับนกนางแอ่นที่กำลังบินวน "มันมีเพียงไม่กี่ตัวนับได้" แต่โอ้โห! แต่ปลาในทะเลนั้นอนันต์ และแสนนับยากว่ามีปลาทะเลกี่ตัว
สำหรับมัน
ทะเลกว้างเคว้งคว้างกว้างใหญ่มหาศาลสุดลูกหูลูกตาเมื่อใครมองออกไปข้างหน้าทะเล
ใครหนอบ้างที่ไม่ชอบทะเล "กอมส์คิดๆ"
นึกจะถามเอวว่าชอบทะเลมั้ย"คุณ"
แต่กอมส์ไม่กล้าถามเมียรัก
กอมส์ปล่อยให้สายตาของตนเองมันโต้ตอบกันเอง
เมื่อมีอะไรที่กอมส์อยากถามเอวขอความเห็นจากเอว
กอมส์ให้เกียรติเอวอย่างยิ่ง "กอมส์บูชาความเงียบ"ไม่พูดไม่ถามและโต้ตอบอะไรเลยกับเอวเมียรักของเขา" ไม่ว่าจะชอบหรือจำเป็นที่จะฝืนชอบอะไรขึ้นมา
และการที่กอมส์มีนิสัยอย่างนี้ในการดำรงชีวิตสมรส 
"อันนี้"
เลยเป็นคุณสมบัติพิเศษที่กอมส์มี
ที่เอวนึกชอบกอมส์อยู่ในใจ
ในความที่สามีตนมีและการทำตัวของสามีเป็น
เอวคิดเสมอว่าตนเองที่โชคดีที่ได้สามีอย่างกอมส์ที่ถูกใจมากในชีวิต เหมือนดั่งเป็นราวกับว่า "พระเจ้าท่านเลือกให้มา
แต่เอวหารู้ไม่ว่า กอมส์คิดอะไรอยู่ในใจนอกจากนี้

ขากลับกอมส์และเอวนำปลาและกุ้งที่เหลืออีกอย่างละตัวมาฝาก"โนว
า"ที่
บ้าน
เขาทั้งสอง"แพค"มันย่าง
ดีคือปลอดมดและปลอดเชื้อโรคและปลอดกลิ่นหมึกทอดและปล
าแมคคาเรลทอด กลิ่นจะพบมันก็ต่อเมื่อเปิดเพคออกมาพร้อมกินเท่านั้น



วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565

"ป่าวโกรธ"อาจหา อ่านที่เด็กดี.คองดโฆษณา

ป่าวโกรธ
ป่าวโกรธ

ก่อนอื่น...มาตกลงกันก่อนดีมั้ย
"ผมพูกกับนางเอก"

นิยายนี้มันคือการโม้นิ่งๆแต่มันเป็นนิยาย
และมันมิใช่อัตชีวประวัติของใครคนหนึ่ง แต่มันเป็นนิยาย
มันเหมือน"ผักข้างเคียง"เมื่อเราจะกินอาหารมื้อที่แสนอร่อยได้และจะได้ลงตัวมันขาดผักข้างเคียงมิได้เพราะมันคือ(Hors d'oeuvres) หรือ แอพพิไทเซอร์ (Appetizer)/ref/ของคนกินอาหารเป็น

โลกนี้แสนจะสมบูรณ์
อาทิตย์และจันทร์ยังอยู่เป็นเพื่อนเราทุกเช้าค่ำ
สายลมทำให้ผมและคุณชัญญา
หายใจได้อื่มอกเสมอ
เจ็บบ้างปวดบ้าง มนุษย์เราเติมแต้มมันเอง"ผมคิดว่า"

ผมหนีพ่อจากนครพุนพินของผม
มิได้โกรธเกลียดพ่อ
แต่ผมคิดถึงแม่มาก ยิ่งเมือโดนพ่อตีผมเลยคิดหนัก

เราจะผิดจะถูกเมื่อพ่อแม่ตีเราๆ
จะไม่วสู่และเถียง "แต่เดินหลีกไปให้พ้น"
ผมเคยคิดทำร้ายคนอื่นเมื่อถูกเย้ยว่า"ลูกไม่มีแม่"ที่นครพุนพิน

ผมจับมีดหั่นกมูได้ไล่ฟาดฟันเขาผู้นั้นทันที
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาวิ่งหนี และหนังเหนียวและแรงเงื้อมฟันของผมไม่มี "แต่ผมโกรธมาก"
เมื่อมีคนพูดอย่างนี้กับผม
ให้ผมำด้ยินถนัดๆซึ่งๆหน้า

ผมเสียใจผมถูกพ่อตีว่า"ทำไมทำอย่างนั้น"
ผมรู้ตัวว่าผิดไปแล้วจึงกลับไปขอโทษเขาในวันรุ่งขึ้น

เขาเห็นหน้าผมอีก"เขากลัวมาก และวิ่งหนี
ไม่ต้องกลัว ผมถูกคีเลือดโซกแล้ว
และพ่อผมสั่งให้มาขอโทษคุณ

เขาคงจะได้ยิน
วันต่อมาเขาโดนแมาเขาตีจนหัวเลือดสาด
เพราะคะนองปากเกินไปกับผม

เตรียมตัวเตรียมใจได้ทุกคน
"ทนายพูด"
ใครบ้างที่มีมูลเบี้ยวทรยศหักหลังพ่อผมและผมที่ขัดกับหลักนิติธรรม

นี่งัย!โลกมีค่าวี ดูสงครามยูเครนเป็นตัวอย่างเขารบกันเหมือน
สนามโรงหมูหั่นในภาวะสงคราม
แต่พอมาในวาระจะขนย้ายธัญญพืชสู่ตลาดโลก
เขางดโจมตีธัญญพืชและเรือที่พ
าธัญพืชไปเลี้ยงคนอดอยากหิวโหย
และครไม่มีอาหารธัญพืชนั้นๆเพียงพอที่จะกินกัน

แสดงว่าสงครามยูเครนก็มีค่าวีเช่นกัน
ฉะนั้นสิ่งที่ผมกล่าวถึงมีมูล
ก็จะมีเทพเจ้าแห่ง"ค่าวี"มาจัดให้
เติมเต็มให้ผใแน่นอน
ผมไม่คิดฆ่าตัวตาย ถ้าผมผิดหวัง!

แต่ที่แน่นอนดอกทบต้นๆทบดอกเป็นค่าของแรงงานที่เกิดจากทุนคือแรงงาน แม้มองไม่ออก
แต่มันมีสัจธรรมอีนศักดิ์สิทธิ์
แม้ผมจะตายไปความศักเสิทธิ์นี้คงตราตรึง และค่าชองมันยังคงติดไปเป็นอนันต์จนกว่า
วันสิ้นสุดแห่งศาลท่านตัดสินให้แล้ว"ความไพเราะก็จะตามมา"

แฃะผมเองมีพินัยกรรม
อะไเหลืออยู่กลังผมต่ยจะเป็นมูลนิธิให้ทนายผ่านคราสินอำเภอเอาไว้อย่างมั่นคง
เพื่อนางเอกของผมทุกคนและลู
กๆแบบลับๆล่อๆททั้งหลายถ้ามีและเจ้ากรรมนายเวรของผมจะได้พอใจ
แม้ผมจะอยู่หรือตาย ผมทำพินัยกรรมไว้คือไม่มอบมรดกให้ใคร แต่มอบให้ทำมูลนิธิเท่านั้น
บันทึกนางเอกทุกคนของผมล้วนมีปรัชญาไม่พึ่งผัวทุกกรณีและบรรลุนิติภาวะเราอยู่กันพบหน้ากันได้รักกันแต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนอันอมต
ะเท่านั้น "แต่เราก็รักกัน"

ปรัชญานี้ติดเอาไว้
เพื่อมิให้และไม่ให้สังคมเขาพูดได้ว่า"รักกันภาษาบ้าบออะไรว่ะ"
ดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่มันก็เป็นไปแล้ว

ผมนับจากวัย9ขวบตื่นนอนพร้อมพ่อทุกเช้าที่นครพุนพิน
เพื่อก่อไฟหุงข้าวและเตรียมโน้นนี่นั่นให้ะพ่อได้หาบคอนสิ่งของไปขายสิ่งนั้นคือก๋วยเตี๋ยว

หลายคนสงสัยว่าพ่อใส่กัญชามอมลูกค้าในน้ำก๋วยเตี๋ยวที่พ่อขาย
เพราะร้านพ่อขายดี
ผมก็จับตาดูพ่อทำจริงหรือป่าว
เพราะกลัวตำรวจจับตอนนนั้นกัญชาผิดกฎหมายจารีตกสรบริโภคที่ร้ายแรง แต่ถ้าจริงถูกจับได้พ่อต้องถูกเนรเทศกลับไปเมืองจีนบ้านเกิด

แต่ผมพบว่าพ่อไม่ได้ทำพ่อไม่ชอบ
สิ่งผิดๆพ่อใช้ เครื่องเทศจีน
ที่ไปชื้อมาจากตลาดบ้านเพื่อนที่
บ้านดอนใกล้ทะเลตะวันออกมานิดนึงและเกาะสมุย

มันเป็นห่อดำๆใส่ในหม้อน้ำลวกเส้นขายก๋วยเตี๋ยว

มันทำให้ก๋วยเตี๋ยวของพ่อรสดี
คนกินติด ชามละบาทเดียวเอง
ใส่ก้ามปูดำ3บาท ผมชอบกินปูแต่ไม่เคยขโมยหยิบใส่เข้าปากตนเอง
ตอนพ่อให้ทำปูดำให้
ก้ามมันใหญ่คีบมือขาดได้

พ่อมีลูกจ้างเดือนหนึ่ง150บาท
ผมไม่ทราบว่าทำไมพ่อชอบขายก๋วยเตี๋ยวแต่พ่อกินข้าวชอบซื้อแกง
หมูผัดถั่วมากินทุกวันมื่อเช้าก่อนหาบของไปขายที่ร้านแผงลอยที่ท่าเรือนครพุนพิน
ก๋วยตี๋ยวเป็นอาหารประชารัฐนิยมสมัยท่านจอมพลแปลกฯเป็นนายกรัฐมนตรีของไทบ

เพราะก๋วยเตี๋ยวพ่อขายดีจึงมี
ลูกจ้างคนหนึ่งเป็นน้าต่างครอกครัวขอผมมารับจ้างและน้าตนนี้เองเป็นกุนซือแนะวิธีผมหนีไปหาแม่จากนครพุนพินถ้าผิดใจกับพ่อเมื่อไหร่?

จนตาส่งน้องแม่คนหนึ่งมาอบู่ด้วยเพื่อดูแลผมและะ่อและขายลอดช่องสิ
งตโปร์ แต่พบว่าไม่ลงตัวพ่อไม่ชอบและน้าสาวคนนี้ก็ไม่ชอบ
สุดท้ายจึงต้องจากกันแบบลบๆ

พ่อเริ่มตั้งตัวติดถูกชม
แม้น้องชายต่างครอกครัวสองคน
ที่กรุงเทพฯก็ถูกตาทีสองคนจีนน่ะ
ถูกส่งๆมาอยู่กับพ่อเพื่อเรียนรู้การตั้งตัวแบบพ่อผมเป็นมีเงินเดือน150บาททุกคน

น้องสาวต่สงครอกครัวพ่อก็มาเยี่ยมพ่ออยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์
เพื่อดูแลงานและตลาดนครพุนพินเพียงมาพัก
ไม่มีเงินเดือนมาจากเมืองนางรองบุรีรัมย์

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เองได้

"เองได้" ผมอาจจะโม้มากไปสักหน่อย แต่มันเป็นนิยายมันธรรมดาอยู่เอง เมื่อพบคลื่นลมหวิว ถ้าในความหวิวแห่งลมพัดมีตัวหิ่งห้อยตัวหนึ่งบินผ่านมาด้วยความเร็ว"แวบ"หนึ่ง. เพราะว่าสายลมหวิวมันมีตลอดเวลาเมื่อสังเกตมันเห็นกันทุกคน ไม่จำเป็นต้องบอก เหมือนตอนผมแวะไปริมฝั่ งแม่น้ำบางปะกงตอนใกล้มืดที่พิกัด บางคล้า ผมพบเห็นหิ่งห้อยมากมายที่พุ่มไม้ชื่อว่า"ต้นลำพู"ริมฝั่งบางปะกง ผมรู้สึกประทับใจที่ได้มีโอกาสไปที่นั้น แ ม้หิ่งห้อยมันเหมือนกระสือ"ผมคิด" ผมจึงแปลกมากและนึกกลัวมัน แต่มันไม่มีอะไร มันเป็นธรรมชาติจริงๆ มันประดับริมฝั่งแม่น้ำบางปะกงให้สวยงามในยามใกล้มืด หรือเหมือนถ้าเราจะกินอาหารซีฟู้ดม้นต้องมีน้ำจิ้มรสเด็ด อาหารซีฟู้ดจานนั้นมันจึงจะอร่อยมาก กว่าเท่าตัวนอกจากปลาหรือหอยมีชื่อที่ดูน่ากินกว่าคือน้ำจิ้มเป็นตัวเน้นความอร่อย ด้วยเหตุนี้การยูฟิว(euphues )"โม้"ไปบ้างในนิยา ยนี้จึงจำเป็นเพื่อนิยายจะได้มีสื่อแปลกๆและมีรสชาติที่ดีขึ้น"ผมว่า" ผมได้กลิ่นกระดังงา ผมพบว่าชีวิตเป็นทั้งอุปนัยและนิรนัยๆ(deductive&inductive) ถามว่า 2คำนนี้มันคืออะไร"นั่นมันคืออะไรกัน" ช่วยบอกกน่อยได้ไหมว่า"มันคืออะไรกัน"ที่แท้จริง คำตอบมีว่าในมุมมองของผมคือ มันก็เป็นเพียงมุมมองชนิดหนึ่งของคนจาก"การมองอะไรแบบกว้างๆสู่จุดโฟกัดอันยิ่งใหญ่" (จากน้อยไปมากและจากมากไปน้อย) และในทางกลับกันอีกอันหนึ่งตรงกันข้ามกัน"จากการมองอะไรในจุดโฟกัส(focus) เล็กสู่การมองออกไปแบบกว้างๆ" เพื่อนนักศึกษาหลายคนเคยถามผมคำ2คำนี้ ผมย้ำเตือนเพื่อนทุกคนว่าภาาษาอังกฤษมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้ไปอยู่ร่วมกินหลับนอนกับภาษามัน แล้วมันจึงจะเข้าใจดีจำดี นอกนั้นถ้าไม่มีตัวนี้ คือต้องกำหนดจำาสถานเดียวถ้าจำไม่ได้อีกกินพริกขี้หนูเข้าไปหนึ่งเม็ด เพื่อนผมเป็นผู้พิพากษาท่า นหนึ่ง ท่านเคยบอกผมตอนเรียนหนังสือที่อังกฤษพบกันที่ลอนดอน(London) ท่าน ว่า"ทุกๆมาตรากฎหมาย ผมจำได้หมดด้วยพริกขึ้หนู"และท่านเคยเข้าสำนักบัณฑิตยสภา"เกรอินน"(Gray's Inn) หลังจากจบกฎหมายชนิดท็อบเทน(Top ten)จากไทยมาและเรียนเป็นสืบๆ ต่อมา พ่อและคุณชัญญาของผมสั่งผมมาก่อนท่านทั้งสองตายลง ว่าให้ "ลูกไปตามเอาทั้งหมด"ที่พ่อและคุณชัญญทำอะไรไป เช่นเงินยืม คือเป็นเพราะเหตุที่ว่าที่พ่อและคุณชัญญาทำไปแล้วนั้น คือทุกคน คิดว่า"ลูก"คือตัวผมได้หายสาบสูญไปแล้ว ตายไปเพราะความที่ครอยครัวตายึดหลัก"ค่าวี"อย่างแม่นมั่น จึงไม่ทำสัญญาแต่ทำเผื่อบอกล้าง ได้ทางเพ่งพิสดาร"ว่างั้น" พ่อเขาดีนะ่ "ผมว่าแม้พ่อจะขึ้ตีลูกขึ้หึงแม่ก็จริง" เขาดูแลแม่ด้วยตนเอง หอบแม่ไปโรงพยาบาลเปาโล หอบไปวิรัช ศิลป์ สองคนตายาย ไม่ให้ผมมาลำบากแต่ปล่อยให้ผมอิสระในการเรียนและอีกหลายอย่าง จนพ่อเองนต้องเป็นไข้ ยังบอกผมอีกว่า"จะทำอะไรให้ไปทำอะไรให้ไปทำที่บ้านพ่อดูได้" "ลื้อไม่ต้องเป็นห่วง" ผมจึงได้โอกาสเรียนสถานเดียว ผมโชคดีเทวดากับสายลมหวนช่วยพัดกระพือจน ใด้รับทุนเรียนสูงๆชนิดไม่มี เงื่อนไขบัวคับก่อน ต่อมาระยะใกล้จะตายของพ่อแลคุณชัญญาๆ ของผมเค้าก็มาคืน ดีกัน มันน่าเสียดายที่หนังชีวิตของผมคือพ่อและคุณชัญญาเค้ามาคืนดีกันอีกเมื่อหนังชีวิตสมรสอันพิสดารนี้ใกล้จะจบม้วน" "ผมนึกเสียดายว่าท่านทั้งสอวน่าจะอยู่ด้วยกันตลอด" จากพุนพินเมืองริมฝั่งแม่น้ำตาปี ที่มีเมืองท่าอันสมบูรณ์ด้วยผลหมากรากไม้และเรือแลผู้คนและวัฒนธรรมเรือแข่งและตัดสินใจเลิกขายก่วยเตี๋ยวถ้วยกลับมาอยู่เฉยๆที่วังเวงมีรายได้จากสวนมะพร้าวมรดกเดิมของคุณชัญญาๆลูกสาวคนโตของอดีตเศรษฐีในชุมชนวังเวง ส่วนผมตอนนั้นกำลังเดินทางออกจากอังกฤษเข้าฝรั่งเศส และก็เข้ามาผ่านเมืองบ้านเกิดเมือง นอนเก่าของ"กีย์ เดอ มองปัสซังก์"นักเขียนดังของโลก ตอนผมไปเยี่ยมโลกปู่ผมที่เมืองจีน ลิโอว โผวเล้ง กวางตุ้ง (Canton province) ผมนั่งเรือบินไปลงฮ่องกง Kaitak airport, Kowloon territory) ผมพักที่โรงแรมห้าดาวMirama hotel แล้วย้ายมาพักที่YMCA ก่อนจะเข้าจีน ต่อจากนั้น คือผมพบสถานบริการทัวร์จีน(China travel service) ที่นั่น ผมติดต่อไปเยี่ยมปู่ทันที ผมที่หน่วยบริการนี้ ถูกยึดหนังสิอเดินทางไว้และได้ หนังสือเดินทางใหม่ เข้าจีนวีซ่าเสร๊จแล้วเดินโดยสารเรือจากฝั่งฮ่องกงด้วยไฮโดรฟอยด์(Hydrofoid) แล้วไปถึงมาเก๊าเมืองท่าของปอร์ตุเกศ(Portigal)ติดชายแดนจีนแดง ผมเที่ยวที่มาเก๊าเที่ยวคาสิโนมาก็าสองคืนมิได่เล่นการพนัน จากมาเก็า(Macau)ผมพบอนุสาวรีย์ของมาร์โคโปโลนักสำรวจยุคแรกของโลกที่นี่(Marco Polo) ผมเดินทางโดยสารรถยนต์เข้ามณฑลกวางตุ้งพักโรงแรมประจำมณฑลนี้1คืนจึงเข้าบ้านปู่โดยขึ้น รถมานั่งมาโดยรถยนต์คล้าย (บขส)ของไทย ไปไผวเล้ง ลิโอว เผาเล้ง ถึงบ้านก่อนเข้าบ้าน ผมต้องรอจนกว่า อาน้องชายพ่อผมปั่นจักยานมารับ ทางเข้า หมู่บ้านปู่คือ"แพแจ้-ซงแปะอุ้ย" บ้านปู่คือบ้านที่พ่อมส่งเงินาทำให้ พ่อเอาเงินส่งมาให้ปู่ใช้ประจำตลอดเวลา จากเมือวไทยและ ต่อมามีปมสงสัยเกิดขึ้นหลังผมรับมรดกซึ่งอยู่มนระหว่างการสอบสวน เงินพ่อนี้หายไปมาก อันนี้อาจถูกโกงจรืงหรือเปล่าหรื ว่าพ่อแอบส่งไปให้ปู่ที่เมืองจีน เพราะช่วงนั้นจีนกับไทยมีสัมพันธ์ทางการฑูตไม่ราบรื่นและสืบๆมาจนรายรื่น ผมกำลังสอบสวน เพราะหลังพ่อตายไม่มีเงินเหลือ ให้ผมเลยนอกจากบ้านและรถจักรยานและมอร์และนาฬิกา1เรือนและมือถือโนเกีย(Nokia )1เครื่อง ค่าโลงหัวหมูผมออกเองยืมเงินเพื่อนมา ที่เมืองจีนผมอยู่กับปู่และย่า ที่บ้ำนท่าน ผมจับนมย่าเล่นเล่นกับ ย่าเล่นนมย่าใหญ่มาก ย่าไม่ถือตัวเพราะย่ารักผม ผมดึงหนวดปู่ๆก็ยาวและขาวผมลูบหนวดปู่เล่น รูปหนวดปู่เหมือนหนวดคนแก่จีนถือลูกท้อและไม้เท้าในปฏิทินจีนในไทย "ผมจำได้" ย่าและปู้รักผม ท่านไม่ว่าอะไร ขออย่าออกนอกตัวเมืองอย่างเดียว ที่เมืองจีนมียุงเหมือนเมืองไทยที่บ้านวังเวง ผมอยู่1เดือนมิได้ไปไหน ผมจะแวะเข้าพยท่านประธานเหมา"เหมา" ผมถือหนังสทอเดินทางไทยอาชีพนักหนังสือพิมพ์ แต่ไม้ไดรับอนุญาต คงปัญหาการเงินและค่าใช้จ่ายไปปักกิ่งและผมไม่มีญาติที่ปักกิ่งเป็นเหตุผล ทีแรกผมคิดว่าที่จีนแดง ท อะไรก็ฟรีหมด เพราะจีนเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่"ผมเข้าใจตอนนั้น" ผมเห็นรถไถเฟอกุสัน(Ferguson)กำลัง พรวนดินในชนบท กำลังทำพรวนดิน ที่จีนแดงตแนผมเข้าไปตอนนั้น ผมเห็น ไม่มีป้ายโฆษณาเลยสักอย่างเดียว จะมี ก็แต่ป้ายภาพผู้นำ และภาพผู้นำลัทธิเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์เช่นคาร์มากร์ เองเจิล...(Karl Marx- Angle, Engels,Lenin, Stalin ,Mao..) เป็นต้นเท่านั้น ทั่วไปหมด ครบหนึ่งเดือนตามสัญญาวีซ่า ผมเดินทางกลับมาทางมาเก็าตามเดิมถึงฮ่องกงทำงานช่วยทำหลุมสุสานคนตายกับเพื่อนพ่อคนหนึ่ง ที่ฝั่งฮ่องกง ในเจตปกครองใหม่(New Teritory) และผมมาพักที่บ้านเพื่อนพ่อจนวี ซ่าเข้าฮ่องกงของผมหมด ผม เข้าพบท่านกงสุลใหญ่ของไทยประจำฮ่องกงท่านประชาฯ และท่านเมตตาฝากผมลงเรือสินค้ากลับไทยถึงคลองเตย กรุงเทพฯต่อมา เรือทะเลแล่นผ่านเวียดนามขณะผ่านทะลจีนใต้ มีเรือบินตรวจการมาเฉี่ยวดู "ผมตกใจ" เพราะตอนนั้นมีสงครามอินโดจีน เพื่อนผมคุณแสงไทยฯนสพ.เดอะเนชั่น(The Nation) ได้นำข่าวนี้ลงหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง ไทยรัฐและนสพ.ต่างประเทศ ผมถูกเขิญตัวไปปทุมวันที่สันติบาล ผมพบท่านผู้การชัชฯแลพถูกสอบสวน และถูกปล่อยตัวกลับบ้านได้ และผมเดินทางไปเรียนต่ออังกฤษต่อมา ผมจะพบายามระลึกนอนกให้ออกว่าคือคิดความหลังเหล่านี้ให้ออกว่าอย่างไรอีกมันน่าอัศจรรย์มากมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกับตัวผม แต่ในวันต่อๆไปอีกผมจะเล่าต่อถ้าคิดได้ ผมเคยคิดว่า "ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย" แต่ตอนนี้ถ้าให้ผมทำอีกผมเดินไม่ไหวแล้วและผมพิการสายตา ผมคิดว่ามันสนุกและลำบากมาก ทางจิตวิทยา ผมถือว่าผมมีพลังฉุด เกิดขึ้นเพราะผมหนีพ่อจากพุนพิน มาหาแม่ที่กรุงเทพฯและมีอุปสรรค จนกลายเป็นอุปราการและมหากาพย์ชีวิตอันยิ่งใหญ่สำหรับผม ในโอกาสต่อมาที่ผมจะกำหนดวันลืมเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ได้ลง พอว่ายทที้10(4200ช "คนถางป่า" ภาค4ตอนที่98 "พอว่า" ทันทีที่เข็มนาฬิกาบ่งชี้มีเข็มสั้นบอกว่าตีสี่มาถึง ผมตื่นขี้นมาดูแมลงกินผักที่ผมปลูและเถาตื่นมาดูต้นถั่วฝักยาวผม พบตัวสีส้มมันเกาะอยู่ที่ก้านใบ          ผมจับมันใส่ขวดไว้ดูพฤติกรรมไม่รู้แมงอะไรจะถาม พบว่ามันคือแมงมวนศัตรูตัวร้ายแต่ย่ารักในสวนครัวผม           หนอนทากชอบกินคึ้นช่าย(ผักชีใบใหญ่)มากกินหมดถ้าเผลอ ดอกกระดังงาป่าหอมกรุ่นและอุ่นละไมจริงๆผมชอบมากมันหอมเย็น แม่ผมปลูกไว้ก่อนตาย และบอกผมว่าถ้างูแมวเซากัดได้กลิ่นดอกไม้หอมขนิดนี้ รีบหากาแฟกิน มิฉะนั้นตายทันที ตั้งแต่นั้นมา ผมเข้าสวนครัวแม่ ผมพกกาแฟผงติดตัวไว้ ที่นี่ไกลหมอไกลพยาบาล เป็นอะไรขึ้นมาทำนายไว้เลยว่า ตายสถานเดียวหรือถ้าหายก็คางเหลืองเช่นยายผมตายด้วยงูเห่าดอกจัน งูชุมมากที่นี่งูแมวเซางูกะปะ งูเห่าไฟในเวลาออกนอกบ้าน ผมจึวถือมีดงอเคียวติดตัวไปด้วย ตลอดเวลา ถ้าเจองูสู้เราจะได้แะลองยุทธกัน มัาเหมือนพูดเล่น แต่มีจริง มันเป็นพิษเงียบ คนทั่วไปจึงถามว่าแล้สคนที่วังเวง มันอยู่กันได้งัย คำตอบคือรอยยิ้มคือระวังตัวตลอดเวลาและไม่พูดมาก ทุกคนคิดว่าตายถ้าตายก็เผาที่ๆวัดมีเตาเมรุอย่างสะอาดและระเบียบรออยู่ใกล้ในชุมชนเลย "คนหนึ่งบอกยืนยันกับผม ที่จริงผมก็รู้วัดอยู่หน้าบ้านผมเอง แต่ผมไม่เลยไม่เข้าวัดอีกเลยหลังแม่ ตาย เพราะผมกลัวอันตรายเช่นจากงูและถ้าผมเป็นอะไรไปตัสฝวคนเดียวตอนนี้ มันก็น่าเกลียดไปรบกวนใครหามผี และบ้านมีพิพาทผมจึงเสมือนคนถูกตัดหางปล่อยวัด ทายาทผมคือมูลนิธิ ลองวาภาพดู "มันยังงัย" แม่ผมก็อยู่ได้ด้วยใจเป็นสุข คนเราสุขใจแล้วดีหมด ผมถืออย่างนี้แล้วก็จบกันเท่านั้น ใครจะว่างัยก็ช่างเพราะคนรุ่นใหม่ ที่นี่ที่บ้านผมมีบุญคุณกันมาก แม้ต้นใบมะกรูดยังไม่มีเลยบา งบ้าน "แม่ผมปลูกเก่ง" แม่ผมเลยมีบารมีมากเรื่องปากท้อวคนที่นี่ ผมไม่มีบารมีอะไรเลยเกิดมาที่นี่ มืหน่ำซ้ำไม่เคยอยู่บ้าน ไปแต่เมืองนอก พอปมกลับมามรดกเลือดของแม่ผมๆก็อาศัยบามีแม่ผมทุกวันนี้ ถ้าหมดบารมีแม่ผมก็คง ตายพลันแน่นอน ผมเริ่มเตรียมน้ำมัน(linseed brush pine oil Winsor colors set) และภู่กันและผ้าใบวาด(artist canvas) ภาพสีน้ำมัน ผมเห็นเมื่อ40ปีที่แล้ว ประจำ คนจะเป็นขอทานก็ไม่ใช่ คนพเนจรก็ไม่เชิง โจรดูคล้ายๆกันแต่มือไม่ไวเหมือนโจรและสุภาพ ผมเห็นทุกวันเมื่มองไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพบว่าะวกเข่เดินเข้าไปวังท่าพระ เขาเข้าไปทำไมในวัง "ผมนึกสงสัย" แต่แล้วต่อมา พบว่านั่นมันเป็นมหาลัย สร้างคนเป็นนักวาด ผมอยากเป็นนักวาดบ้างทำงัย ผมถามตนเอง คำตอบไม่มีตามมาหลังผมถาม วันหนึ่งในทุกปีปีต่อมา ผมพบว่า มีคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งไม่มากนัก แต่งตัวสุภาพ เรียบร้อยอย่างกะผ้าพับไว้ เสิ้อสีขาว กางเกงหลายชนิด ผมไม่อยากจำแนกมัน แต่เขาไม่ใส่รองเท้าแตะ พบว่าพวกนั้นเขามาสอบ สอบอะไร ผมถาม มาสอบเรียนวาดภาพที่มหาลัย ได้บ้างตกบ้างส่วนใหญ่จะสอบตก อีกๆไม่นานในเช้าวันหนึ่ง ผมพบว่ามีเสียงอึกทึก แต่วตัวดีชุดคนเรียนแต่หน้าตาแแต้มเต็มไปหมดด้วย สี แต่ฟันทุกคนสะะอาดขาว ผมงงว่ามันคืออะไร ต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังรับน้องใหม่พิธีกัน สำหรัยคนสอบติดเท่านนั้น ผมโง่และบอดเขลา คิดอยากเป็นอยากทำอยากสนุกอย่างเขาแต่ผมเป็นไม่ได้ ตอนนั้นผมยังเด็กจึงนึกๆและหายใจเข้าๆออกแล้วก็กลับไปที่แพเรือริมฝั่งน้ำเอนหัวนอนม่อยหลับบไป 10ปีต่อมาผมได้ตามเก็บภาพวาดที่เขาฝึกและเสียแล้วทิ้ง ผมเห็นแล้ว พึมพำว่า"มันสวยดีไม่น่าทิ้ง" ผมเก็บมาทำฝาผนังเรือนแพของผมและเมื่อว่างผมจะนอนนอนดูมัน อีก5ปีต่อมาผมได้เป็นนักวาด จำไม่ได้ชัดว่าเพราะอะไรจึงเป็น แต่ที่รู้คือได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่มีขอบเขตใรคานวาสที่วาด ผมทำอยู่10ปีได้ภาพ3ภาพ และมีฝรั่งที่มาเที่ยววัดพระแก้วเห็นเข้าแล้วซื้อไป ต่อมาผมมาปารีสบินมามิได้เดินมา ผมเห็นเขาสาดภาพกันอีกแล้วสนุกมากที่มองมารต์(Montmartre Paris 7) เป็นเกาะกุ้งใจกลางกรุงปารีส ผมกินไวน์มึน ผมจึงคิดว่า อยากวาดภาพกับเขาบ้าง ผมทำงัย ผมจึงวาดๆและวาดไป ขายได้ฝรั่งซื้อไปอีก จนมีฝรั่งมาบอกผมวาดภาพเหมือน ให้เขาผมทำตาม ทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าไงดีรู้ดพียงว่าให้าเปื้อนบนคานวาส และอย่าให้เลอะออกมานอกกรอบภาพ ผมทำอยู่หลายนาที จนเพลินไปกับภาพน้ำมันลินซีด(linseed liquid) กลิ่นหอมชวนดมแทนกาวได้ ผมทำไปไม่เสร็จดี ฝรั่งคนนั้นเขาบอกว่าดากอ(d'accord)แปลว่าโอเค(OK =all correct or Oklahoma residenceคือผมฟังมาว่ามีที่มาเป็นอื่นอีกเดิดในอเมริกา) เขาควักเงินให้ผม ใใใใใฝฝฝใใใใใใใใใใจบตอนปูจิโอ ผมตอบว่าแทงกิ้ว(Thank you) แปลว่า"โบ กู"(beaucoup) ภาษาฝรั่งเศษเป็นไทยว่า"ขอบคุณ" แต่รอยยิ้มขอบคุณของผมกับยกมือสิบนิ้วไหว้เขามันสนิทกว่า คำพูดหนึ่งแทรกมามันยังไม่สมบูรณ์(not finish not finish) ( pas finis pas finis) อีกเสียงบอกว่า พอๆ(assez ..- assez..=enough) ผมชอบยังงี้ อีกคนอุทานว่า ใช่ได้(OK OK excellence excellence) มันเป็นภาพนามธรรมๆ(abstract! abstract art) คนหนึ่งอุทานขึ้น คำนี้ทำให้ผมตอนกลับไทยผมมาเปิดร้านที่จตุจักรโครงการ7และได้พบกับท่านเฉลิมชัยสำนักร่องขุ่นต่อมา หลายรายผ่านไป ผมถูกจับ ตำรวจพาผมไปโรงพัก ผมก็ไปกับเขา ได้เวลานอน เพราะผมถูกจับในเวลากลางคืน ผมนอนหัวเราะ เพราะอยู่ดีๆเจาก็พามานอนห้องนอนอุ่นๆอย่างนี้สบายไปเลย ที่ห้องพัก ผมนอนหนาวจะตายหิมะสาดตกมากับลมผ่านหน้าต่างชำรุดแถมกระเด็นตกใส่ สักครู่ต่อมา มีเสียงตะคอกว่า จับคนนี้มาทำไม อีกคนตอบว่า เขาไม่มีบัตรทำงานวาดภาพ เขาสั่งปล่อยตัวผมไป และกำชับว่า"คุณพรุ่งนี้คุณไปขอบัตรวาดภาพเสียเพียงไม่มีก้าว "คุณแวะไปจากโรงพักนี้ลงเขาน้อยนี้ไปเลี่ยวขวาข้ามถนนตึกข้างหน้าคือสำนักงานจดทะเบียน( (La Maison des Artistes )- Sécurité sociale ) แล้วขอขึ้นทะเบียนเสียภาษีเป็นนักวาดเขา" การสอบถามเกิดขึ้น ต่อมาใบอนุญาตของผมออกมาเป็นแผ่นหนังสือและต้องไปเสียภาษีประจำปีแต่นั่นเป็นต้นมาผมเป็นศิลปินอาชีพไปเลยแม้หลับๆนอนๆ ก็ได้เงินใช้ (Artist) ผมได้รับจดหมายขอบคุณจา กบรรณาธิการนิตยสารVogue สากลชมว่าภาพคุณสวยดีแต่ผมย้ายบ้านตลอ ดเวลาจดหมายนี้หายไปและจึงขาดการติดต่อเพื่อจัดแจงเสนอทำภาพประกอบ แต่นั่นมาหลังรับจดหมาย ผมเริ่มมีสุงสิงกับสาวๆและไวน์มากขึ้นจนสนุกมากจะเล่าทีหลังและ อีก5ปีต่อมาผมบินกลับไทย เพราะได้อารมณ์ลึกลับดี แต่คอยระวังไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์นักวาดมันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเผาบ้านวังเวงให้หมดได้ในพริบตา ฉะนั้นผมจะวาดภาพสักที มันเรื่อง มาก ผมขาดสแตน (Artist Easel Stand )แต่ถ้าผมอารมณ์ดีๆผมทำมันเองได้ ผมได้กลิ่นกระดังงา ผมพบว่าชีวิตเป็นทั้งอุปนัยและนิรนัยๆ(deductive&inductive) ถามว่า 2คำนนี้มันคืออะไร"นั่นมันคืออะไรกัน" ช่วยบอกกน่อยได้ไหมว่า"มันคืออะไรกัน"ที่แท้จริง คำตอบมีว่าในมุมมองของผมคือ มันก็เป็นเพียงมุมมองชนิดหนึ่งของคนจาก"การมองอะไรแบบกว้างๆสู่จุดโฟกัดอันยิ่งใหญ่" (จากน้อยไปมากและจากมากไปน้อย) และในทางกลับกันอีกอันหนึ่งตรงกันข้ามกัน"จากการมองอะไรในจุดโฟกัส(focus) เล็กสู่การมองออกไปแบบกว้างๆ" เพื่อนนักศึกษาหลายคนเคยถามผมคำ2คำนี้

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565

พบว่า




"คนถางป่า"

ภาค4ตอนที่98


"พอว่า"

ทันทีที่เข็มนาฬิกาบ่งชี้มีเข็มสั้นบอกว่าตีสี่มาถึง ผมตื่นขี้นมาดูแมลงกินผักที่ผมปลูและเถาตื่นมาดูต้นถั่วฝักยาวผม พบตัวสีส้มมันเกาะอยู่ที่ก้านใบ

         ผมจับมันใส่ขวดไว้ดูพฤติกรรมไม่รู้แมงอะไรจะถาม

พบว่ามันคือแมงมวนศัตรูตัวร้ายแต่ย่ารักในสวนครัวผม

          หนอนทากชอบกินคึ้นช่าย(ผักชีใบใหญ่)มากกินหมดถ้าเผลอ

ดอกกระดังงาป่าหอมกรุ่นและอุ่นละไมจริงๆผมชอบมากมันหอมเย็น

แม่ผมปลูกไว้ก่อนตาย
และบอกผมว่าถ้างูแมวเซากัดได้กลิ่นดอกไม้หอมขนิดนี้ รีบหากาแฟกิน มิฉะนั้นตายทันที
ตั้งแต่นั้นมา ผมเข้าสวนครัวแม่
ผมพกกาแฟผงติดตัวไว้
ที่นี่ไกลหมอไกลพยาบาล
เป็นอะไรขึ้นมาทำนายไว้เลยว่า
ตายสถานเดียวหรือถ้าหายก็คางเหลืองเช่นยายผมตายด้วยงูเห่าดอกจัน

งูชุมมากที่นี่งูแมวเซางูกะปะ
งูเห่าไฟในเวลาออกนอกบ้าน
ผมจึวถือมีดงอเคียวติดตัวไปด้วย
ตลอดเวลา ถ้าเจองูสู้เราจะได้แะลองยุทธกัน
มัาเหมือนพูดเล่น แต่มีจริง มันเป็นพิษเงียบ

คนทั่วไปจึงถามว่าแล้สคนที่วังเวง
มันอยู่กันได้งัย
คำตอบคือรอยยิ้มคือระวังตัวตลอดเวลาและไม่พูดมาก

ทุกคนคิดว่าตายถ้าตายก็เผาที่ๆวัดมีเตาเมรุอย่างสะอาดและระเบียบรออยู่ใกล้ในชุมชนเลย "คนหนึ่งบอกยืนยันกับผม
ที่จริงผมก็รู้วัดอยู่หน้าบ้านผมเอง
แต่ผมไม่เลยไม่เข้าวัดอีกเลยหลังแม่
ตาย เพราะผมกลัวอันตรายเช่นจากงูและถ้าผมเป็นอะไรไปตัสฝวคนเดียวตอนนี้ มันก็น่าเกลียดไปรบกวนใครหามผี และบ้านมีพิพาทผมจึงเสมือนคนถูกตัดหางปล่อยวัด ทายาทผมคือมูลนิธิ
ลองวาภาพดู "มันยังงัย"


แม่ผมก็อยู่ได้ด้วยใจเป็นสุข
คนเราสุขใจแล้วดีหมด
ผมถืออย่างนี้แล้วก็จบกันเท่านั้น
ใครจะว่างัยก็ช่างเพราะคนรุ่นใหม่
ที่นี่ที่บ้านผมมีบุญคุณกันมาก
แม้ต้นใบมะกรูดยังไม่มีเลยบา
งบ้าน "แม่ผมปลูกเก่ง"
แม่ผมเลยมีบารมีมากเรื่องปากท้อวคนที่นี่ ผมไม่มีบารมีอะไรเลยเกิดมาที่นี่ มืหน่ำซ้ำไม่เคยอยู่บ้าน ไปแต่เมืองนอก พอปมกลับมามรดกเลือดของแม่ผมๆก็อาศัยบามีแม่ผมทุกวันนี้ ถ้าหมดบารมีแม่ผมก็คง
ตายพลันแน่นอน


ผมเริ่มเตรียมน้ำมัน(linseed
brush
pine oil
Winsor colors set)
และภู่กันและผ้าใบวาด(artist canvas) ภาพสีน้ำมัน ผมเห็นเมื่อ40ปีที่แล้ว
ประจำ คนจะเป็นขอทานก็ไม่ใช่
คนพเนจรก็ไม่เชิง โจรดูคล้ายๆกันแต่มือไม่ไวเหมือนโจรและสุภาพ
ผมเห็นทุกวันเมื่มองไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพบว่าะวกเข่เดินเข้าไปวังท่าพระ เขาเข้าไปทำไมในวัง
"ผมนึกสงสัย"
แต่แล้วต่อมา
พบว่านั่นมันเป็นมหาลัย
สร้างคนเป็นนักวาด
ผมอยากเป็นนักวาดบ้างทำงัย
ผมถามตนเอง


คำตอบไม่มีตามมาหลังผมถาม
วันหนึ่งในทุกปีปีต่อมา
ผมพบว่า
มีคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งไม่มากนัก
แต่งตัวสุภาพ
เรียบร้อยอย่างกะผ้าพับไว้
เสิ้อสีขาว กางเกงหลายชนิด
ผมไม่อยากจำแนกมัน
แต่เขาไม่ใส่รองเท้าแตะ
พบว่าพวกนั้นเขามาสอบ
สอบอะไร
ผมถาม


มาสอบเรียนวาดภาพที่มหาลัย
ได้บ้างตกบ้างส่วนใหญ่จะสอบตก
อีกๆไม่นานในเช้าวันหนึ่ง
ผมพบว่ามีเสียงอึกทึก
แต่วตัวดีชุดคนเรียนแต่หน้าตาแแต้มเต็มไปหมดด้วย
สี แต่ฟันทุกคนสะะอาดขาว
ผมงงว่ามันคืออะไร
ต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังรับน้องใหม่พิธีกัน สำหรัยคนสอบติดเท่านนั้น



ผมโง่และบอดเขลา คิดอยากเป็นอยากทำอยากสนุกอย่างเขาแต่ผมเป็นไม่ได้
ตอนนั้นผมยังเด็กจึงนึกๆและหายใจเข้าๆออกแล้วก็กลับไปที่แพเรือริมฝั่งน้ำเอนหัวนอนม่อยหลับบไป

10ปีต่อมาผมได้ตามเก็บภาพวาดที่เขาฝึกและเสียแล้วทิ้ง ผมเห็นแล้ว
พึมพำว่า"มันสวยดีไม่น่าทิ้ง"
ผมเก็บมาทำฝาผนังเรือนแพของผมและเมื่อว่างผมจะนอนนอนดูมัน

อีก5ปีต่อมาผมได้เป็นนักวาด
จำไม่ได้ชัดว่าเพราะอะไรจึงเป็น
แต่ที่รู้คือได้ทำอะไรตามใจชอบ
แต่มีขอบเขตใรคานวาสที่วาด
ผมทำอยู่10ปีได้ภาพ3ภาพ
และมีฝรั่งที่มาเที่ยววัดพระแก้วเห็นเข้าแล้วซื้อไป

ต่อมาผมมาปารีสบินมามิได้เดินมา
ผมเห็นเขาสาดภาพกันอีกแล้วสนุกมากที่มองมารต์(Montmartre Paris 7)
เป็นเกาะกุ้งใจกลางกรุงปารีส
ผมกินไวน์มึน
ผมจึงคิดว่า
อยากวาดภาพกับเขาบ้าง
ผมทำงัย
ผมจึงวาดๆและวาดไป
ขายได้ฝรั่งซื้อไปอีก

จนมีฝรั่งมาบอกผมวาดภาพเหมือน
ให้เขาผมทำตาม ทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าไงดีรู้ดพียงว่าให้าเปื้อนบนคานวาส
และอย่าให้เลอะออกมานอกกรอบภาพ
ผมทำอยู่หลายนาที จนเพลินไปกับภาพน้ำมันลินซีด(linseed liquid) กลิ่นหอมชวนดมแทนกาวได้
ผมทำไปไม่เสร็จดี
ฝรั่งคนนั้นเขาบอกว่าดากอ(d'accord)แปลว่าโอเค(OK =all correct or Oklahoma residenceคือผมฟังมาว่ามีที่มาเป็นอื่นอีกเดิดในอเมริกา) เขาควักเงินให้ผม


ผมตอบว่าแทงกิ้ว(Thank you) แปลว่า"โบ
กู"(beaucoup) ภาษาฝรั่งเศษเป็นไทยว่า"ขอบคุณ"
แต่รอยยิ้มขอบคุณของผมกับยกมือสิบนิ้วไหว้เขามันสนิทกว่า
คำพูดหนึ่งแทรกมามันยังไม่สมบูรณ์(not finish not finish) (
pas finis pas finis)
อีกเสียงบอกว่า
พอๆ(assez ..- assez..=enough) ผมชอบยังงี้
อีกคนอุทานว่า ใช่ได้(OK OK excellence excellence) มันเป็นภาพนามธรรมๆ(abstract! abstract art) คนหนึ่งอุทานขึ้น
คำนี้ทำให้ผมตอนกลับไทยผมมาเปิดร้านที่จตุจักรโครงการ7และได้พบกับท่านเฉลิมชัยสำนักร่องขุ่นต่อมา


หลายรายผ่านไป
ผมถูกจับ
ตำรวจพาผมไปโรงพัก
ผมก็ไปกับเขา
ได้เวลานอน เพราะผมถูกจับในเวลากลางคืน
ผมนอนหัวเราะ
เพราะอยู่ดีๆเจาก็พามานอนห้องนอนอุ่นๆอย่างนี้สบายไปเลย ที่ห้องพัก

ผมนอนหนาวจะตายหิมะสาดตกมากับลมผ่านหน้าต่างชำรุดแถมกระเด็นตกใส่
สักครู่ต่อมา
มีเสียงตะคอกว่า
จับคนนี้มาทำไม
อีกคนตอบว่า
เขาไม่มีบัตรทำงานวาดภาพ

เขาสั่งปล่อยตัวผมไป
และกำชับว่า"คุณพรุ่งนี้คุณไปขอบัตรวาดภาพเสียเพียงไม่มีก้าว
"คุณแวะไปจากโรงพักนี้ลงเขาน้อยนี้ไปเลี่ยวขวาข้ามถนนตึกข้างหน้าคือสำนักงานจดทะเบียน(

(La Maison des Artistes )- Sécurité sociale

) แล้วขอขึ้นทะเบียนเสียภาษีเป็นนักวาดเขา"

การสอบถามเกิดขึ้น
ต่อมาใบอนุญาตของผมออกมาเป็นแผ่นหนังสือและต้องไปเสียภาษีประจำปีแต่นั่นเป็นต้นมาผมเป็นศิลปินอาชีพไปเลยแม้หลับๆนอนๆ
ก็ได้เงินใช้ (Artist) ผมได้รับจดหมายขอบคุณจา
กบรรณาธิการนิตยสารVogue สากลชมว่าภาพคุณสวยดีแต่ผมย้ายบ้านตลอ
ดเวลาจดหมายนี้หายไปและจึงขาดการติดต่อเพื่อจัดแจงเสนอทำภาพประกอบ แต่นั่นมาหลังรับจดหมาย
ผมเริ่มมีสุงสิงกับสาวๆและไวน์มากขึ้นจนสนุกมากจะเล่าทีหลังและ
อีก5ปีต่อมาผมบินกลับไทย









เพราะได้อารมณ์ลึกลับดี
แต่คอยระวังไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์นักวาดมันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเผาบ้านวังเวงให้หมดได้ในพริบตา

ฉะนั้นผมจะวาดภาพสักที มันเรื่อง
มาก ผมขาดสแตน (Artist Easel Stand )แต่ถ้าผมอารมณ์ดีๆผมทำมันเองได้





ผมได้กลิ่นกระดังงา

ผมพบว่าชีวิตเป็นทั้งอุปนัยและนิรนัยๆ(deductive&inductive)
ถามว่า 2คำนนี้มันคืออะไร"นั่นมันคืออะไรกัน" ช่วยบอกกน่อยได้ไหมว่า"มันคืออะไรกัน"ที่แท้จริง

คำตอบมีว่าในมุมมองของผมคือ
มันก็เป็นเพียงมุมมองชนิดหนึ่งของคนจาก"การมองอะไรแบบกว้างๆสู่จุดโฟกัดอันยิ่งใหญ่"
(จากน้อยไปมากและจากมากไปน้อย)

และในทางกลับกันอีกอันหนึ่งตรงกันข้ามกัน"จากการมองอะไรในจุดโฟกัส(focus) เล็กสู่การมองออกไปแบบกว้างๆ"

เพื่อนนักศึกษาหลายคนเคยถามผมคำ2คำนี้(?%A

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ปูจิโอคนถางป่าในเวบDek-D. com

วันนี้
"ปูจิโอ"เริ่มรู้จักใช้คำนี้ จากคำว่ารัก
แท้ที่ปูจิโอคือผมเคยเเสวงหาถึง40ปีแต่ไม่พบ หรือว่าพบแล้วแต่มิได้สังเกต

วันนี้ที่30 กค2555 ทศวรรตที่60
ตอนกลาง

ผมมาพบสิ่งนี้แทน
และพึ่งรู้ว่าการถูกกฏหมายฟอกเงินพาดพิงมาถึงการเปิดเผยข้อมูล
และให้คนอื่นรู้อาจจะมีความผิ
ดด้วย แม้จะสงสัยว่าเป็นแผนซ้อนแผน
ผมแก้ว่า" เราต้องคิดวิเคราะห์ต่อไปและไม่หิวข้าวถ้าเหนื่อย
นอนพักก่อนถ้านอนไม่หลับ หาหมอมิใข่คิดฆ่าตัวตายหรือวิ่งหนีความจริง ผมสอนรึป่าว
ตอบว่าป่าวสอน แต่นี่เป็นนิยาย


           phisingคือ  มีคนแอบเอาข้อมูลออนไบน์ของพระเอกไปทำมิชอบ
และมีหมายศาลมาแต่พระเอกไม่
ได้รับหมายประวัติพระเอกก็ขึ้นทะเบียนอาญากรรม"ทำงัย"
แจ้งความออนไลน์ได้พระเอกทำ
 แล้วเชื่อว่าฝ่ายเอคงคอยจ้องว่า
จะทีจดหมายมาที่ตู้จดหมายที่วังเวงแล้วส่งจารชนมาแอบหยิบจดหมายที่ถึงพระเอกไป

กรณีหนึ่ง
สงสัยไปรษณีรวมหัวกันกับฝ่ายเอ
ทำมิดีเกิดปมสอบสวนขึ้นมา
พระเอกชอบการสอบสวนเพราะ
สนุก และได้วัตถุดิบถ้าเสียเงิน
ตอบว่าไม่มีอานาถา
จบเท่านั้ถ้างั้นไร้ความสามารถ!
"ไม่ซิ" พระเอกมีที่ดิน5เอเคอร์
ชื่อพระเอกคือผม
ถ้างั้นพาเข้าจำนองคำตอบทำไม่ได้เพราะผมอายุเกินไวกู้เงิน

จึวติดอยู่ตรงนี้ หาเงินจากคนใกล้ชิด
ส่วนใหญ่มีพิพาท

ต่อไปเป็นเรื่องศาล
จะเอาผมล้มละลาย
ผมไม่มีหนี้สินกับใคร

ต่อมาผมจะติดคุกเพราะไม่ไปตามนัดศาล
จึงเกิดการต่อรอง


ให้นำเงินทรัพย์สินมาบรรเทา
ผ่านวิธีการบังคับคดี
พระเอกคิดว่าต้อวดูคำสั่งศาลว่ายุติธรรมหรือไม่
ต่อไปจึงค่อยจัดกาไปตามศาลสั่ง
ก็มีเท่านี้
แต่ตอนนี่ทีคำเตือนว่าระวังพวก
มิจฉาชีพแบบฟิซอ่งนี้เข้าทามนชีวิตอีก
 ผมคิดว่าเรายืนพื้"ที่ไม่มีเจตนาทำมิดี"
ก็คงปลอดภัยเพราะหลักนิติธรรมทุกชนิดเป็นธรรมและสัจธรรม
"ขออย่างเดียวอย่าลื่นขณะปีนปาย"
เพราะถ้าลื่นมีกติกามากที่ต้องรับผิดสิ่งที่มิใข่ความผิดของเราในสมัยนี้ที่ผมต้องเฝ้าระวัง แม้จะเวทนา "ผมก็ต้องยอม"
ศาลคงเมตตาที่สุด

















                ปูจิโอ

คนถางป่า"ปูจิโอ" ตอน95

"คิดๆไว้ที่ยังไม่ลืม"

 นางเอกของผมคหนึ่ง"ยังนา"



เธอเป็นหญิงเชื้อสายมอญ พบกันครั้งแรกในคืนเทศกาลศิวราตรี
เธอสวยมากตอนคืนเพ็ญ. ผิวเหลืองอมขาวของเธอรับกับแสงจันทร์ ที่ชานมุข "บ้านหทัย"ของพ่อเธอแต่พ่อเธอตายไปแล้วเหลือแต่แม่ซึ่งพิการมี"ยางน
า"คอยรับผิดชอบดูและพร้อมน้องชายที่กำลังเรียนที่มหา
วิทยาลัยคนหนึ่งชื่อเยโน

           หลังจากวันเทศกาลศิวราตรี
ต่อมาเราก็เป็นเพื่อนกับยางนา
คบกันและเป็นนางเอกของผมในที่สุด ในคืนที่เธอจะเป็นางเอกของผมซึ่งไม่มีอะไรกัน คุยกันเฉยๆพบว่า
          เธอมีเงื่อนไขอย่างหนึ่งในเมื่อ
เราเป็นเพื่อนกัน " เธอบอก"
ด้วยสีหน้าแจ่มไส และไร้เดียงสา
"
คือเธอสั่งห้าม"ผมบอกเล่าโคตรเง่าอดีตตระกูลของเธอที่มีศักดิ์สูงมาก่อน และคืนนี้ได้มาคุยกันที่มุขของบ้านนี้ เพราะเธอเชื่อว่า
การมานั่งคุยกันแบบนี้แล้วไมีมีอะไรกันที่สมบูรณ์กว้านี้ "เป็นเหตุอาเพทผีบอก"
        เพราะที่ๆยังนาและผม
เราสองนั่งคุยกันคืนอาเพทคืนนั้นคือที่มีเตียงเป็นเตียงนอนของพ่อแม้เธอก่อนมีเธอจะได้ ยัวนามามี
ชีวิตมาดูโลกนั่นคือสิ่งที่พ่อเธอเล่าเมื่อ
4ปีก่อนตาย

มันเป็นมุขรับแสงจันทร์มีไม้จามจุรีใหญ่ด้านหน้าพุ่ม ดูเหมือนมี"กามิ雅味/がみ
=Gami
"=เทพชนิดหนึ่งครองสรรพสิ่งที่ชาว
ญี่ปุ่นขื่อว่ามี"กามิ"เช่นตามโรงนา เปลี่ยวกระท่อมเปลี่ยว เป็นต้น

"ใช่"ผีไม้สิงอยู่ 
ผมเป็นคนกลัวผี
แต่"ยังนา"ถือว่าผีคือเพื่อนและไม่กลัว
 เหตุนี้คืนนั้นผมและ"ยังนา"จึงได้นั่งคุยกันสองต่อสองในมุมมืดที่ที่มีลมเบาๆพัดผ่านตอนนั้น4ทุ่มดึกแล้ว



เพราะเหตุว่า"มันเกิดสงครามในอดีตในครอบครัวเธอ  จึงอยากให้เพื่อนรู้เพียงเธอคนสามัญธรรมดาๆพอ"
     ผมรับปาก"ยางนา" จะทำตามและ"ปกปิด"


และเธอเคยบอกผมว่าเธอไม่อยากดูอะไรที่มันมีลีลามากมาย
คือจะทำอะไรก็ทำจะคิดอะไรก็คิด
จะพูดอะไรก็พูดออกมา
ขอแต่ว่ามันมาจากใจเท่านั้น
เป็นพอ




คือเธออยากบอกผมว่า
อยากทำอะไรขอให้เข้าเนื้อหากันเลย อย่ามารีรออะไร
เราต้องการวันนั้ เราไม่ต้องการ
พรุ่งนี้ เว้นแต่สัญญารักก่อนแต่งงานเท่านั้นที่เราต้องเคารพประเพณี


      ผมจึงนำเอาวรรณศิลป์แนวนี้มาใช้
ทันทีเพราะตอนนี้ป็นยุคเศรษฐกิจแบบเงินตรานี้แบบชอบอะไรๆที่ทันทีและทันทีเลย! ฉะนั้น

ตอนนี้ผมกับยังนา
นั่งทันทีเลยนั่งคุยกันในที่ลับๆหูลับคาคนเปลี่ยวแต่มีแสงจันทร์เป็นเพื่อน
และผมสำนึกตนเองเสมอว่า"ผมมิใช่กบๆที่แอบซ่อนในสระและขึ้นขขี่หลังผสมพันธุ์กันเพื่อเอาลูก มากมายให้เกิดมาในสระเพียงพอเพื่อไว้ให้มนุษย์ที่ชอบกินผัดเผ็ดกบกินยามหิว


ตอนแรกผมคิดว่าทำอะไรแบบด่วนสรุป"ทำงี้มันนอกรีดร้อนรนเกิน"
คือผมคิดว่า"คนมิใช่ม้า คนต้องทำแบบค่อยๆไป"จึงศิริวิไลซ์วัฒนะ!

คิดให้ดีอีกที

มันคงไม่เหมือนภาพรถไฟที่กำลังวิ่งไปกลางดงหิมะที่มีทางเหล็กรองรับให้ม้าเหล็กแรงสูงที่วิ่งไปด้วยความเร็วควบกับวามเร่งและถึงปลายทางปลอดภัย

คือวิ่งได้เลยสบายๆไม่มีไม้หมอนกรือไม้ล้มหรือรถรบทหารมาขวางกั้น

และในกลางคืนเดือนหงายแบบนี้
ทุกคนรู้ดีว่าอะไร?จะเกิดขึ้นกับสายตาและอามณ์ของตนเองเมื่อใครได้โอกาสมาพานพบมัน
"คือหญิงชายกำลังจะกอดกัน"
"กำลังจะจูบกัน"

ประโยคต่อไปให้คนแอบเห็นไป
หาคำตอบเองว่า"มันดีหรือไม่ดี"



แต่ยุคนี้เป็นยุคซัดเดนลี่ (sudden-suddenly) ที่ผมนิยามและผมเคยแอบคิดซาโตริ (Satori =悟り)คือ"รู้แจ้ง"ภาษาของศาสนาลัทธินิกายมหายายญี่ปุ่น
    
         ใน'เซนญี่ปุ่น'แปลว่า"รู้"ทันทีของเซนญี่ปุ่นนั่น"ที่คิดสมาธิจิตทำให้ นั่นที่ทำให้ผมมีสมาธิคิดทันที และเผลอๆ ผมเอาปรัชญาว่าคำว่า"ทันที"แล้วจัดระเบียบสมองใหม่และจึงนำออกมาใช้ดูต่อมา

แม้จะรู้หรือไม่รู้ว่ามันจะ"ทันที"หรือไม่ทันทีตามหลักคำสอยของลัทธิทันทีเดิมหรือไม่

ก็ตาม 

  และผมไม่ได้เอา"ยังนา" มาเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของผมในค่ำคืนนี้และเอาคำรู้แจ้งในเซ็น
ของศาสนามาพาดพิงไรใน
ความคิดนี้เลยเพื่อทำให้คดีความ

แต่สมาธิอันกระจ่างเกิดขึ้นตอนผมกับเธอก็หาไม่!

แต่การคิดได้คิดดีว่า

ผมคือเพื่อนรักของเธอ
ผมจะไม่ละเ