วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566
ตอนที่17คนตายนิรนาม2
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566
ตอนที่34 คนตายนิรนาม(งานร่าง)นิยายเรื่องยาว"เบล็นด์-เบลนดิสกี( The Blend-blendisKY)
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2566
เอว:เบลนดิสกี
วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565
"ป่าวโกรธ"อาจหา อ่านที่เด็กดี.คองดโฆษณา
ก่อนอื่น...มาตกลงกันก่อนดีมั้ย
"ผมพูกกับนางเอก"
นิยายนี้มันคือการโม้นิ่งๆแต่มันเป็นนิยาย
และมันมิใช่อัตชีวประวัติของใครคนหนึ่ง แต่มันเป็นนิยาย
มันเหมือน"ผักข้างเคียง"เมื่อเราจะกินอาหารมื้อที่แสนอร่อยได้และจะได้ลงตัวมันขาดผักข้างเคียงมิได้เพราะมันคือ(Hors d'oeuvres) หรือ แอพพิไทเซอร์ (Appetizer)/ref/ของคนกินอาหารเป็น
โลกนี้แสนจะสมบูรณ์
อาทิตย์และจันทร์ยังอยู่เป็นเพื่อนเราทุกเช้าค่ำ
สายลมทำให้ผมและคุณชัญญา
หายใจได้อื่มอกเสมอ
เจ็บบ้างปวดบ้าง มนุษย์เราเติมแต้มมันเอง"ผมคิดว่า"
ผมหนีพ่อจากนครพุนพินของผม
มิได้โกรธเกลียดพ่อ
แต่ผมคิดถึงแม่มาก ยิ่งเมือโดนพ่อตีผมเลยคิดหนัก
เราจะผิดจะถูกเมื่อพ่อแม่ตีเราๆ
จะไม่วสู่และเถียง "แต่เดินหลีกไปให้พ้น"
ผมเคยคิดทำร้ายคนอื่นเมื่อถูกเย้ยว่า"ลูกไม่มีแม่"ที่นครพุนพิน
ผมจับมีดหั่นกมูได้ไล่ฟาดฟันเขาผู้นั้นทันที
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาวิ่งหนี และหนังเหนียวและแรงเงื้อมฟันของผมไม่มี "แต่ผมโกรธมาก"
เมื่อมีคนพูดอย่างนี้กับผม
ให้ผมำด้ยินถนัดๆซึ่งๆหน้า
ผมเสียใจผมถูกพ่อตีว่า"ทำไมทำอย่างนั้น"
ผมรู้ตัวว่าผิดไปแล้วจึงกลับไปขอโทษเขาในวันรุ่งขึ้น
เขาเห็นหน้าผมอีก"เขากลัวมาก และวิ่งหนี
ไม่ต้องกลัว ผมถูกคีเลือดโซกแล้ว
และพ่อผมสั่งให้มาขอโทษคุณ
เขาคงจะได้ยิน
วันต่อมาเขาโดนแมาเขาตีจนหัวเลือดสาด
เพราะคะนองปากเกินไปกับผม
เตรียมตัวเตรียมใจได้ทุกคน
"ทนายพูด"
ใครบ้างที่มีมูลเบี้ยวทรยศหักหลังพ่อผมและผมที่ขัดกับหลักนิติธรรม
นี่งัย!โลกมีค่าวี ดูสงครามยูเครนเป็นตัวอย่างเขารบกันเหมือน
สนามโรงหมูหั่นในภาวะสงคราม
แต่พอมาในวาระจะขนย้ายธัญญพืชสู่ตลาดโลก
เขางดโจมตีธัญญพืชและเรือที่พ
าธัญพืชไปเลี้ยงคนอดอยากหิวโหย
และครไม่มีอาหารธัญพืชนั้นๆเพียงพอที่จะกินกัน
แสดงว่าสงครามยูเครนก็มีค่าวีเช่นกัน
ฉะนั้นสิ่งที่ผมกล่าวถึงมีมูล
ก็จะมีเทพเจ้าแห่ง"ค่าวี"มาจัดให้
เติมเต็มให้ผใแน่นอน
ผมไม่คิดฆ่าตัวตาย ถ้าผมผิดหวัง!
แต่ที่แน่นอนดอกทบต้นๆทบดอกเป็นค่าของแรงงานที่เกิดจากทุนคือแรงงาน แม้มองไม่ออก
แต่มันมีสัจธรรมอีนศักดิ์สิทธิ์
แม้ผมจะตายไปความศักเสิทธิ์นี้คงตราตรึง และค่าชองมันยังคงติดไปเป็นอนันต์จนกว่า
วันสิ้นสุดแห่งศาลท่านตัดสินให้แล้ว"ความไพเราะก็จะตามมา"
แฃะผมเองมีพินัยกรรม
อะไเหลืออยู่กลังผมต่ยจะเป็นมูลนิธิให้ทนายผ่านคราสินอำเภอเอาไว้อย่างมั่นคง
เพื่อนางเอกของผมทุกคนและลู
กๆแบบลับๆล่อๆททั้งหลายถ้ามีและเจ้ากรรมนายเวรของผมจะได้พอใจ
แม้ผมจะอยู่หรือตาย ผมทำพินัยกรรมไว้คือไม่มอบมรดกให้ใคร แต่มอบให้ทำมูลนิธิเท่านั้น
บันทึกนางเอกทุกคนของผมล้วนมีปรัชญาไม่พึ่งผัวทุกกรณีและบรรลุนิติภาวะเราอยู่กันพบหน้ากันได้รักกันแต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนอันอมต
ะเท่านั้น "แต่เราก็รักกัน"
ปรัชญานี้ติดเอาไว้
เพื่อมิให้และไม่ให้สังคมเขาพูดได้ว่า"รักกันภาษาบ้าบออะไรว่ะ"
ดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ผมนับจากวัย9ขวบตื่นนอนพร้อมพ่อทุกเช้าที่นครพุนพิน
เพื่อก่อไฟหุงข้าวและเตรียมโน้นนี่นั่นให้ะพ่อได้หาบคอนสิ่งของไปขายสิ่งนั้นคือก๋วยเตี๋ยว
หลายคนสงสัยว่าพ่อใส่กัญชามอมลูกค้าในน้ำก๋วยเตี๋ยวที่พ่อขาย
เพราะร้านพ่อขายดี
ผมก็จับตาดูพ่อทำจริงหรือป่าว
เพราะกลัวตำรวจจับตอนนนั้นกัญชาผิดกฎหมายจารีตกสรบริโภคที่ร้ายแรง แต่ถ้าจริงถูกจับได้พ่อต้องถูกเนรเทศกลับไปเมืองจีนบ้านเกิด
แต่ผมพบว่าพ่อไม่ได้ทำพ่อไม่ชอบ
สิ่งผิดๆพ่อใช้ เครื่องเทศจีน
ที่ไปชื้อมาจากตลาดบ้านเพื่อนที่
บ้านดอนใกล้ทะเลตะวันออกมานิดนึงและเกาะสมุย
มันเป็นห่อดำๆใส่ในหม้อน้ำลวกเส้นขายก๋วยเตี๋ยว
มันทำให้ก๋วยเตี๋ยวของพ่อรสดี
คนกินติด ชามละบาทเดียวเอง
ใส่ก้ามปูดำ3บาท ผมชอบกินปูแต่ไม่เคยขโมยหยิบใส่เข้าปากตนเอง
ตอนพ่อให้ทำปูดำให้
ก้ามมันใหญ่คีบมือขาดได้
พ่อมีลูกจ้างเดือนหนึ่ง150บาท
ผมไม่ทราบว่าทำไมพ่อชอบขายก๋วยเตี๋ยวแต่พ่อกินข้าวชอบซื้อแกง
หมูผัดถั่วมากินทุกวันมื่อเช้าก่อนหาบของไปขายที่ร้านแผงลอยที่ท่าเรือนครพุนพิน
ก๋วยตี๋ยวเป็นอาหารประชารัฐนิยมสมัยท่านจอมพลแปลกฯเป็นนายกรัฐมนตรีของไทบ
เพราะก๋วยเตี๋ยวพ่อขายดีจึงมี
ลูกจ้างคนหนึ่งเป็นน้าต่างครอกครัวขอผมมารับจ้างและน้าตนนี้เองเป็นกุนซือแนะวิธีผมหนีไปหาแม่จากนครพุนพินถ้าผิดใจกับพ่อเมื่อไหร่?
จนตาส่งน้องแม่คนหนึ่งมาอบู่ด้วยเพื่อดูแลผมและะ่อและขายลอดช่องสิ
งตโปร์ แต่พบว่าไม่ลงตัวพ่อไม่ชอบและน้าสาวคนนี้ก็ไม่ชอบ
สุดท้ายจึงต้องจากกันแบบลบๆ
พ่อเริ่มตั้งตัวติดถูกชม
แม้น้องชายต่างครอกครัวสองคน
ที่กรุงเทพฯก็ถูกตาทีสองคนจีนน่ะ
ถูกส่งๆมาอยู่กับพ่อเพื่อเรียนรู้การตั้งตัวแบบพ่อผมเป็นมีเงินเดือน150บาททุกคน
น้องสาวต่สงครอกครัวพ่อก็มาเยี่ยมพ่ออยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์
เพื่อดูแลงานและตลาดนครพุนพินเพียงมาพัก
ไม่มีเงินเดือนมาจากเมืองนางรองบุรีรัมย์
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2565
เองได้
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565
พบว่า
"คนถางป่า"
ภาค4ตอนที่98
"พอว่า"
ทันทีที่เข็มนาฬิกาบ่งชี้มีเข็มสั้นบอกว่าตีสี่มาถึง ผมตื่นขี้นมาดูแมลงกินผักที่ผมปลูและเถาตื่นมาดูต้นถั่วฝักยาวผม พบตัวสีส้มมันเกาะอยู่ที่ก้านใบ
ผมจับมันใส่ขวดไว้ดูพฤติกรรมไม่รู้แมงอะไรจะถาม
พบว่ามันคือแมงมวนศัตรูตัวร้ายแต่ย่ารักในสวนครัวผม
หนอนทากชอบกินคึ้นช่าย(ผักชีใบใหญ่)มากกินหมดถ้าเผลอดอกกระดังงาป่าหอมกรุ่นและอุ่นละไมจริงๆผมชอบมากมันหอมเย็น
แม่ผมปลูกไว้ก่อนตาย
และบอกผมว่าถ้างูแมวเซากัดได้กลิ่นดอกไม้หอมขนิดนี้ รีบหากาแฟกิน มิฉะนั้นตายทันที
ตั้งแต่นั้นมา ผมเข้าสวนครัวแม่
ผมพกกาแฟผงติดตัวไว้
ที่นี่ไกลหมอไกลพยาบาล
เป็นอะไรขึ้นมาทำนายไว้เลยว่า
ตายสถานเดียวหรือถ้าหายก็คางเหลืองเช่นยายผมตายด้วยงูเห่าดอกจัน
งูชุมมากที่นี่งูแมวเซางูกะปะ
งูเห่าไฟในเวลาออกนอกบ้าน
ผมจึวถือมีดงอเคียวติดตัวไปด้วย
ตลอดเวลา ถ้าเจองูสู้เราจะได้แะลองยุทธกัน
มัาเหมือนพูดเล่น แต่มีจริง มันเป็นพิษเงียบ
คนทั่วไปจึงถามว่าแล้สคนที่วังเวง
มันอยู่กันได้งัย
คำตอบคือรอยยิ้มคือระวังตัวตลอดเวลาและไม่พูดมาก
ทุกคนคิดว่าตายถ้าตายก็เผาที่ๆวัดมีเตาเมรุอย่างสะอาดและระเบียบรออยู่ใกล้ในชุมชนเลย "คนหนึ่งบอกยืนยันกับผม
ที่จริงผมก็รู้วัดอยู่หน้าบ้านผมเอง
แต่ผมไม่เลยไม่เข้าวัดอีกเลยหลังแม่
ตาย เพราะผมกลัวอันตรายเช่นจากงูและถ้าผมเป็นอะไรไปตัสฝวคนเดียวตอนนี้ มันก็น่าเกลียดไปรบกวนใครหามผี และบ้านมีพิพาทผมจึงเสมือนคนถูกตัดหางปล่อยวัด ทายาทผมคือมูลนิธิ
ลองวาภาพดู "มันยังงัย"
แม่ผมก็อยู่ได้ด้วยใจเป็นสุข
คนเราสุขใจแล้วดีหมด
ผมถืออย่างนี้แล้วก็จบกันเท่านั้น
ใครจะว่างัยก็ช่างเพราะคนรุ่นใหม่
ที่นี่ที่บ้านผมมีบุญคุณกันมาก
แม้ต้นใบมะกรูดยังไม่มีเลยบา
งบ้าน "แม่ผมปลูกเก่ง"
แม่ผมเลยมีบารมีมากเรื่องปากท้อวคนที่นี่ ผมไม่มีบารมีอะไรเลยเกิดมาที่นี่ มืหน่ำซ้ำไม่เคยอยู่บ้าน ไปแต่เมืองนอก พอปมกลับมามรดกเลือดของแม่ผมๆก็อาศัยบามีแม่ผมทุกวันนี้ ถ้าหมดบารมีแม่ผมก็คง
ตายพลันแน่นอน
ผมเริ่มเตรียมน้ำมัน(linseed
brush
pine oil
Winsor colors set)
และภู่กันและผ้าใบวาด(artist canvas) ภาพสีน้ำมัน ผมเห็นเมื่อ40ปีที่แล้ว
ประจำ คนจะเป็นขอทานก็ไม่ใช่
คนพเนจรก็ไม่เชิง โจรดูคล้ายๆกันแต่มือไม่ไวเหมือนโจรและสุภาพ
ผมเห็นทุกวันเมื่มองไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วพบว่าะวกเข่เดินเข้าไปวังท่าพระ เขาเข้าไปทำไมในวัง
"ผมนึกสงสัย"
แต่แล้วต่อมา
พบว่านั่นมันเป็นมหาลัย
สร้างคนเป็นนักวาด
ผมอยากเป็นนักวาดบ้างทำงัย
ผมถามตนเอง
คำตอบไม่มีตามมาหลังผมถาม
วันหนึ่งในทุกปีปีต่อมา
ผมพบว่า
มีคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งไม่มากนัก
แต่งตัวสุภาพ
เรียบร้อยอย่างกะผ้าพับไว้
เสิ้อสีขาว กางเกงหลายชนิด
ผมไม่อยากจำแนกมัน
แต่เขาไม่ใส่รองเท้าแตะ
พบว่าพวกนั้นเขามาสอบ
สอบอะไร
ผมถาม
มาสอบเรียนวาดภาพที่มหาลัย
ได้บ้างตกบ้างส่วนใหญ่จะสอบตก
อีกๆไม่นานในเช้าวันหนึ่ง
ผมพบว่ามีเสียงอึกทึก
แต่วตัวดีชุดคนเรียนแต่หน้าตาแแต้มเต็มไปหมดด้วย
สี แต่ฟันทุกคนสะะอาดขาว
ผมงงว่ามันคืออะไร
ต่อมาผมจึงรู้ว่าเขากำลังรับน้องใหม่พิธีกัน สำหรัยคนสอบติดเท่านนั้น
ผมโง่และบอดเขลา คิดอยากเป็นอยากทำอยากสนุกอย่างเขาแต่ผมเป็นไม่ได้
ตอนนั้นผมยังเด็กจึงนึกๆและหายใจเข้าๆออกแล้วก็กลับไปที่แพเรือริมฝั่งน้ำเอนหัวนอนม่อยหลับบไป
10ปีต่อมาผมได้ตามเก็บภาพวาดที่เขาฝึกและเสียแล้วทิ้ง ผมเห็นแล้ว
พึมพำว่า"มันสวยดีไม่น่าทิ้ง"
ผมเก็บมาทำฝาผนังเรือนแพของผมและเมื่อว่างผมจะนอนนอนดูมัน
อีก5ปีต่อมาผมได้เป็นนักวาด
จำไม่ได้ชัดว่าเพราะอะไรจึงเป็น
แต่ที่รู้คือได้ทำอะไรตามใจชอบ
แต่มีขอบเขตใรคานวาสที่วาด
ผมทำอยู่10ปีได้ภาพ3ภาพ
และมีฝรั่งที่มาเที่ยววัดพระแก้วเห็นเข้าแล้วซื้อไป
ต่อมาผมมาปารีสบินมามิได้เดินมา
ผมเห็นเขาสาดภาพกันอีกแล้วสนุกมากที่มองมารต์(Montmartre Paris 7)
เป็นเกาะกุ้งใจกลางกรุงปารีส
ผมกินไวน์มึน
ผมจึงคิดว่า
อยากวาดภาพกับเขาบ้าง
ผมทำงัย
ผมจึงวาดๆและวาดไป
ขายได้ฝรั่งซื้อไปอีก
จนมีฝรั่งมาบอกผมวาดภาพเหมือน
ให้เขาผมทำตาม ทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าไงดีรู้ดพียงว่าให้าเปื้อนบนคานวาส
และอย่าให้เลอะออกมานอกกรอบภาพ
ผมทำอยู่หลายนาที จนเพลินไปกับภาพน้ำมันลินซีด(linseed liquid) กลิ่นหอมชวนดมแทนกาวได้
ผมทำไปไม่เสร็จดี
ฝรั่งคนนั้นเขาบอกว่าดากอ(d'accord)แปลว่าโอเค(OK =all correct or Oklahoma residenceคือผมฟังมาว่ามีที่มาเป็นอื่นอีกเดิดในอเมริกา) เขาควักเงินให้ผม
ผมตอบว่าแทงกิ้ว(Thank you) แปลว่า"โบ
กู"(beaucoup) ภาษาฝรั่งเศษเป็นไทยว่า"ขอบคุณ"
แต่รอยยิ้มขอบคุณของผมกับยกมือสิบนิ้วไหว้เขามันสนิทกว่า
คำพูดหนึ่งแทรกมามันยังไม่สมบูรณ์(not finish not finish) (
pas finis pas finis)
อีกเสียงบอกว่า
พอๆ(assez ..- assez..=enough) ผมชอบยังงี้
อีกคนอุทานว่า ใช่ได้(OK OK excellence excellence) มันเป็นภาพนามธรรมๆ(abstract! abstract art) คนหนึ่งอุทานขึ้น
คำนี้ทำให้ผมตอนกลับไทยผมมาเปิดร้านที่จตุจักรโครงการ7และได้พบกับท่านเฉลิมชัยสำนักร่องขุ่นต่อมา
หลายรายผ่านไป
ผมถูกจับ
ตำรวจพาผมไปโรงพัก
ผมก็ไปกับเขา
ได้เวลานอน เพราะผมถูกจับในเวลากลางคืน
ผมนอนหัวเราะ
เพราะอยู่ดีๆเจาก็พามานอนห้องนอนอุ่นๆอย่างนี้สบายไปเลย ที่ห้องพัก
ผมนอนหนาวจะตายหิมะสาดตกมากับลมผ่านหน้าต่างชำรุดแถมกระเด็นตกใส่
สักครู่ต่อมา
มีเสียงตะคอกว่า
จับคนนี้มาทำไม
อีกคนตอบว่า
เขาไม่มีบัตรทำงานวาดภาพ
เขาสั่งปล่อยตัวผมไป
และกำชับว่า"คุณพรุ่งนี้คุณไปขอบัตรวาดภาพเสียเพียงไม่มีก้าว
"คุณแวะไปจากโรงพักนี้ลงเขาน้อยนี้ไปเลี่ยวขวาข้ามถนนตึกข้างหน้าคือสำนักงานจดทะเบียน(
(La Maison des Artistes )- Sécurité sociale
) แล้วขอขึ้นทะเบียนเสียภาษีเป็นนักวาดเขา"
การสอบถามเกิดขึ้น
ต่อมาใบอนุญาตของผมออกมาเป็นแผ่นหนังสือและต้องไปเสียภาษีประจำปีแต่นั่นเป็นต้นมาผมเป็นศิลปินอาชีพไปเลยแม้หลับๆนอนๆ
ก็ได้เงินใช้ (Artist) ผมได้รับจดหมายขอบคุณจา
กบรรณาธิการนิตยสารVogue สากลชมว่าภาพคุณสวยดีแต่ผมย้ายบ้านตลอ
ดเวลาจดหมายนี้หายไปและจึงขาดการติดต่อเพื่อจัดแจงเสนอทำภาพประกอบ แต่นั่นมาหลังรับจดหมาย
ผมเริ่มมีสุงสิงกับสาวๆและไวน์มากขึ้นจนสนุกมากจะเล่าทีหลังและ
อีก5ปีต่อมาผมบินกลับไทย
เพราะได้อารมณ์ลึกลับดี
แต่คอยระวังไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์นักวาดมันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับเผาบ้านวังเวงให้หมดได้ในพริบตา
ฉะนั้นผมจะวาดภาพสักที มันเรื่อง
มาก ผมขาดสแตน (Artist Easel Stand )แต่ถ้าผมอารมณ์ดีๆผมทำมันเองได้
ผมได้กลิ่นกระดังงา
ผมพบว่าชีวิตเป็นทั้งอุปนัยและนิรนัยๆ(deductive&inductive)
ถามว่า 2คำนนี้มันคืออะไร"นั่นมันคืออะไรกัน" ช่วยบอกกน่อยได้ไหมว่า"มันคืออะไรกัน"ที่แท้จริง
คำตอบมีว่าในมุมมองของผมคือ
มันก็เป็นเพียงมุมมองชนิดหนึ่งของคนจาก"การมองอะไรแบบกว้างๆสู่จุดโฟกัดอันยิ่งใหญ่"
(จากน้อยไปมากและจากมากไปน้อย)
และในทางกลับกันอีกอันหนึ่งตรงกันข้ามกัน"จากการมองอะไรในจุดโฟกัส(focus) เล็กสู่การมองออกไปแบบกว้างๆ"
เพื่อนนักศึกษาหลายคนเคยถามผมคำ2คำนี้(?%A